“ภาดากับลูกสาวเจ้านายนี่เหมาะสมกันดีจริงๆ นะ”
เสียงนั้นอยู่ห่างเพียงแค่ประตูห้องน้ำกั้นเอาไว้เท่านั้นเอง กานพลูก็ได้ยินประโยคนั้นชัดก้องเข้าไปในหู อยากจะคิดว่าเป็นเรื่องของคนอื่นที่หล่อนไม่รู้จัก แต่ในออฟฟิศนี้มีผู้ชายกี่คนกันเล่าที่ชื่อ ‘ภาดา’
ก็มีเพียงภาดาคนเดียวเท่านั้น ภาดาที่หล่อนรักจับใจ
หล่อนเสร็จธุระในห้องน้ำแล้ว รวบรวมกำลังใจให้เปิดประตูออกมายืนอยู่ตรงทางเดินแคบๆ ที่เป็นทางเดินระหว่างประตูห้องน้ำกับเคาน์เตอร์ยาวๆ ที่ฝังอ่างล้างหน้าไว้เป็นระยะๆ สามอ่างด้วยกัน
ผู้หญิงสองคนที่ยืนล้างมือตรงเคาน์เตอร์นั้น คุ้นหน้าคุ้นตากับกานพลูดี แต่ไม่เคยพูดกันมาก่อน
แล้วก็ทำหน้าเจื่อนๆ ไปด้วยกันทั้งสองคนเมื่อเห็นกานพลู ก็คนในออฟฟิศส่วนมากจะรับรู้กันว่าผู้หญิงที่เดินไปไหนมาไหนกับภาดามีแต่กานพลูนี่คนเดียวเท่านั้น แม้จะไม่มีการยืนยันเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่รู้กันอีกนั่นแหละว่ากานพลูกับเขาจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ หลังจากสร้างเนื้อสร้างตัวได้แล้ว
หล่อนล้างมือเช็ดจนแห้งแล้วจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ แข้งขาไม่สั่นมือไม่สั่น แต่กานพลูรู้ดีว่าหน้าของหล่อนปราศจากสีเลือดและใจก็เต้นรัวถี่อยู่ในอก อยากจะแล่นไปหาเขา แต่งานของหล่อนในห้องคอมพิวเตอร์ก็มีล้นมือจนไม่อาจจะปลีกตัวไปได้ดังใจปรารถนา
ต้องรอให้เลิกงานเสียก่อน
หล่อนดูนาฬิกาบ่อยครั้ง แล้วทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนเมื่อเห็นเข็มสั้นอยู่ตรงกลางระหว่างเลขสี่กับเลขห้า เข็มยาวอยู่ตรงเลขหก เลื่อนเก้าอี้ออกอย่างแรงได้ก็ลุกขึ้นเดินลิ่วๆ ไปที่ประตูห้อง กำลังจะเปิดออกไปก็พอดีกับบานประตูถูกผลักเข้ามา
“กาน...”
ภาดานั่นเอง
“จะรีบไปไหน”
หล่อนมองหน้าเขาเขม็ง ยังพูดไม่ออก มองดูหน้าซื่อๆ ที่เห็น...แล้วหล่อนก็ฉวยแขนเขาเดินออกมานอกห้อง มีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่เท่าที่ได้ยินเสียงตัวเองเล็ดลอดออกไปได้ก็คือ
“กานได้ยินเรื่องนึงมาจากห้องน้ำ ภาดาจะแต่งงานใช่ไหม”
หล่อนตาไม่ฝาดเมื่อเห็นสีหน้าผิดปกติของเขาแล้วก่อนที่เขาจะให้คำตอบ เขากลับส่งซองที่เขาถือมาในมือให้ หล่อนรับมาอย่างงงๆ ก้มลงมองดู แล้วก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่ถือในมือเป็นของร้อนสุดขีดจนอยากจะโยนทิ้ง แต่มือกลับกำมันแน่นเข้า ริมฝีปากสั่นระริก
“การ์ดแต่งงานของผม”
เขาอ้อมแอ้มบอก มองหน้าหล่อนไม่เต็มตานัก เพราะยังไม่เลือดเย็นพอจะเข่นฆ่าหล่อนมากไปกว่านี้อีก แค่เห็นหยดน้ำตาวาววามอยู่ในดวงตาของหล่อน ภาดาก็ใจไหวยวบ
“กาน...ผมเสียใจ”
เขารวบรวมคำพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น นึกภาวนาว่าอย่าให้หล่อนส่งเสียงกรี๊ดขึ้นมาตรงนี้เลย คำภาวนาของเขาก็ได้ผล เพราะกานพลูถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะถามเสียงเบาๆ
“มีอะไรจะให้ช่วยก็บอกนะ กานยินดี...”
หล่อนแสดงความมีน้ำใจออกไปมันหลุดไปโดยอัตโนมัติมากกว่า หัวสมองของหล่อนหมุนจี๋ตาพร่าพรายด้วยหยดน้ำตาที่ขึ้นมาคลอกลบ แล้วเขาก็นิ่ง หล่อนก็นิ่งงัน เงียบไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ในที่สุดกานพลูก็พยักหน้าน้อยๆ
“กานจะกลับบ้าน...” มือกำซองแน่นขึ้น “ดีใจด้วยนะ...ดีใจด้วย”
หล่อนเลื่อนบานกระจกกลับที่เดิมก่อนที่น้ำตาจะไหลพรากลงมาอาบแก้มให้เขาได้เห็น โผเผกลับมาที่โต๊ะทำงานโดยไม่ใส่ใจกับสายตาใครๆ อีกเลย หล่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะสะอึกสะอื้นจนตัวโยน กิริยาของหล่อนทำให้บุตราลุกจากเก้าอี้มาแตะไหล่หล่อนเบาๆ อย่างตกใจ
“กานเป็นอะไรไปน่ะ ร้องไห้ทำไม ไปทะเลาะกับภาดามาเหรอ”
กานพลูไม่ตอบแต่ส่งซองสีอ่อนๆ นั่นให้แทน บุตรารับไปเปิดดูเงียบๆ ก่อนจะนิ่งอึ้ง สอดบัตรเชิญเก็บเข้าซองไปตามเดิม
“นึกแล้วเชียว ไม่ช้าก็เร็ว เธอก็ต้องรู้เรื่องจนได้”
“หมายความว่าไง”
กานพลูเงยหน้าขึ้นมาหยดน้ำตายังเปรอะเปื้อนอยู่บนแก้มซีดๆ ไร้สีสัน “เธอรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วใช่ไหม”
“เอ้อ...จะเอายังไงดีล่ะ อย่างนี้ก็แล้วกัน ทุกคนน่ะพอระแคะระคายกันหมดว่าภาดากับคุณเภรีจะแต่งงานกัน เรื่องของเรื่องมันเกิดอีตอนที่เธอลาพักร้อนไปสองอาทิตย์นั่นแหละ...คุณเภรีเขามาฝึกงาน ได้ใกล้ชิดกันมากๆ แล้วหลังจากนั้นเขาก็เล่นเกมซ่อนหากับเธอ”
“ทำไมไม่บอกฉัน”
“บางทีการบอกในเรื่องแบบนี้ ก็เท่ากับยื่นมือเข้ามาแส่มากกว่านะ...” ที่บุตราพูดก็ถูก “เรื่องของคู่รักนี่น่ะพูดมากไปก็เท่านั้น...ฉันก็เลยมองดูอยู่ห่างๆ จะดีกว่า”
“ผู้หญิงที่ชื่อเภรีนี่เป็นใคร”
“ลูกสาวของผู้จัดการฝ่ายบัญชี”
คำตอบนั้นทำให้กานพลูนิ่งอึ้ง
“ภาดาเขาคงอยากจะเรียนทางลัด เดี๋ยวนี้น่ะ กาน...ทางตรงมันไกล แล้วก็ไม่มีประโยชน์โภชน์ผลให้เห็น นอกจากทำงานสายตัวแทบขาดกว่าจะเก็บออมเงินได้ดังใจหวัง”
ริมฝีปากของกานพลูเม้มเข้าหากัน คำพูดของบุตราสะเทือนใจหล่อนไม่น้อยนักหรอก
“คงจะจริง เพราะฉันไม่มีอะไรสักอย่าง นอกเสียจากผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีทรัพย์สมบัติ ที่ซุกหัวนอนทุกวันนี้ก็อาศัยพึ่งพิงป้าในบ้านหลังเล็กๆ มีแต่เงินเดือนรายเดือน กับเงินโบนัสอีกก้อนหนึ่งตอนปลายปี กับเฝ้ารอเงินงอกเงยในบัญชีที่เก็บออมไว้ เพื่อเป็นทุนรอนในการสร้างรังรักสักรัง...อนิจจา...มันแค่ความฝันจริงๆ รังที่ว่านั้นไม่มีการสร้างอีกแล้ว”
บุตราตบบ่าหล่อนเบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจ
“ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องซะ พรุ่งนี้จะได้เข้มแข็ง มาเชิดหน้าสู้กับเขาได้ เอาอย่างนี้นะ กาน...เศร้าโศกน่ะก็อย่าเพิ่งรีบกลับไปบ้าน”
เพราะบุตรารู้ว่าที่บ้านนั้นไม่มีใครพอจะปลอบขวัญให้กับกานพลูได้ ป้าหล่อนเป็นหญิงม่ายมานานปี มีลูกสาวสองคนที่ล้วนแต่สวยสดและไม่เคยมีกานพลูอยู่ในสายตา ทุกสาวล้วนแล้วแต่เห็นกานพลูเป็นเบี้ยล่าง กับเรื่องนี้บุตราแน่ใจว่าจะหาคนที่เห็นใจกานพลูได้ยากเหลือเกิน
“ไปด้วยกันก่อนนี่มันวันศุกร์วันสุดสัปดาห์...ไปดื่มไปเต้นรำกันดีกว่า หาเรื่องทำไม่ให้ว่างซะ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”
กานพลูเงียบไปนานก่อนจะบอกเสียงแห้งๆ
“ก็ดี แต่ขอโทร. กลับไปบอกคุณป้าก่อน เดี๋ยวท่านจะห่วง...”
“แล้วก็จะโดนด่าด้วย”
บุตราต่อเติมให้อย่างรู้รายละเอียดในบ้านของกานพลูได้ดี หญิงสาวเลยยิ่งหน้าจ๋อย หล่อนรู้ว่าหากบอกว่าภาดาจะแต่งงานกับผู้หญิงอื่น ทั้งป้าทั้งพวกพี่ๆ ของหล่อนก็จะพากันพูดเหมือนๆ กันหมดว่า หล่อนไปทำผิดพลาดบกพร่องเข้าแล้ว เขาถึงเมินเลยมองข้ามหล่อนไปเสียฉิบ
“ไม่โทร. ดีกว่า” กานพลูบอกต่อเสียงเบาๆ “กลับไปเมื่อไหร่ก็ได้เห็น โดนด่าเสียทีเดียว ดีกว่าโทร. ไปบอกแล้วท่านไม่อนุญาต แต่ยังดันทุรังไป ก็ยิ่งโดนด่าหนักข้อไปอีก”
“ไปเติมสีสันหน้าตาหน่อยไป”
บุตราออกปากไล่ แต่กานพลูส่ายหัวดิก
“ถือเสียว่าฉันไว้ทุกข์ตั้งแต่วินาทีนี้ก็แล้วกัน...ไม่มีกะจิตกะใจจะไปเติมแต่งให้มันดูดีหรอก...”
“ตามใจ...แต่พอไปโดนไฟแล้วซีดเซียวเหมือนคนไข้หนัก ไม่มีไอ้หนุ่มคนไหนมองแล้ว ‘ปิ๊ง’ อย่ามานั่งเสียใจนะ”
“ฉันคงจะเข็ดผู้ชายไปอีกนาน”
“น้าสุ…” พินิจนัยทักอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นน้าสาว แล้วพอพิจารณาสีหน้าของเธอถนัด เขาก็แอบถอนใจเบาๆ พอไม่ให้ได้ยิน “มาหาผมแต่หัววันเชียว” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากแปลงเพาะชำของตัวเอง ปัดมือที่เปื้อนคราบดินกับผ้าผืนใหญ่ที่ดูแทบไม่ออกแล้วว่าเดิมเป็นสีขาวหรือไม่จากเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ส่งมาให้ “เชิญน้าสุบนบ้านดีกว่า ตรงนี้มันสกปรก”“น้าเพิ่งมาจากบ้านของพ่อเธอ”เพียงอ้าปาก พินิจนัยก็เดาได้ปรุโปร่ง แต่ชายหนุ่มก็ถามเรื่อยเฉื่อยเหมือนไม่ได้ยินดียินร้ายด้วยประการทั้งปวง“พ่อคงกำลังเบิกบานซินะครับ เข้าหอมาเจ็ดวันแล้ว…เมียสาววัยเอ๊าะ…ให้กกกอด”“นี่เธอไม่รู้สึกอายบ้างหรือ”“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ” เขาแกล้งถามส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง “พ่อจะได้เตะผมตาย…ถ้าสาระแนเข้าไปวุ่นวายกับเขา”“เธอน่าจะไปกันท่าเอาไว้มั่ง น้าละไม่ชอบเล้ย ที่ถึงกับมาจดทะเบียนกันด้วย แม่คนนั้นน่ะทำหน้าซื่อ แต่น้าก็รู้ทันว่ามันหวังสมบัติ ก็ยังสาวแส้ปูนนั้น มันจะอยากมีผัวแก่คราวพ่อเชียวรื้อ…ป้ามันต้องส่งมาฮุบสมบัติที่จริงหน้าตามันก็ยังงั้นๆ คุณพี่ถูกเสน่ห์ยาแฝดหรือเปล่า”คราวนี้พินิจนัยหัวเราะก๊ากใหญ่“น้าสุก้อ ใครจะเชื่อ นี่มันพอศอสองพันห้าร
คุณจินดาก้าวเข้ามาในห้อง แล้วสิ่งที่เธอได้เห็นก็คือกานพลูคุดคู้หลบอยู่มุมหนึ่งของเตียง มีผ้าห่มพันกายเอาไว้แน่นหนา เมื่อเธอแตะมือลงบนเนื้อตัวของหล่อน กานพลูก็สะดุ้งโหยง กรีดเสียงออกมาอีกทั้งที่ยังหลับตาแน่น“คุณกาน...” เธอเรียกให้เสียง “ลืมตาก่อนเถอะค่ะ ไม่มีอันตรายแล้ว”แต่ในอกของเธอกำลังหนักใจแทน นี่กานพลูเกิดเป็นอะไรขึ้นมากันหนอ“คุณกาน ไม่ค่ะ...ไม่ต้องกลัว”ด้วยความเวทนาต่อสภาพของหญิงสาววัยคราวลูก ทำให้เธอกอดหล่อนเอาไว้แน่ แล้วปลอบโยนไปตามเพลง“เกิดอะไรขึ้นคะ คุณร้องเสียลั่นไปหมดทั้งบ้าน ท่านเองก็ยังกลัวนี่ไปตั้งหลักที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”“กาน...กาน...” น้ำตาไหลพราก หล่อนยึดคุณจินดาเอาไว้แน่นแล้วสะอึกสะอื้นบอกต่อ “กานกลัว...กลัวผู้ชาย กานไม่อยากนอนกับผู้ชาย”…แล้วมันจะลงเอยกันแบบไหนนะนี่…เธอรำพึงอยู่ในใจ“ท่านเป็นสามีคุณแล้วนะคะ ถูกต้องตามกฎหมาย…” เธอปลอบประโลมเท่าที่จะทำได้ “แล้วถ้าคุณยังบ่ายเบี่ยง คุณแน่ใจไหมคะว่าไม่มีปัญหา”กานพลูมองหน้าเธอเขม็ง แววตางุนงงสงสัย“ไอ้เรื่องปัญหาของคุณกานน่ะค่ะ ตรงนี้…” เธอชี้ที่ท้องของหญิงสาว ลดเสียงให้เบาลง “ถ้าเกิดมันป่องขึ้นมาแล้วคุณยังไม่เคยนอ
แม่กาน เฮ้อ...เป็นอะไรกันแน่นะ ดูซิ นอนตาปรอยเชียว”คุณนายจันทร์เพ็ญบ่นออกมาเมื่อเข้ามาเห็นหลานสาวนอนซมปากแห้งซีด ดวงตาลอยคว้างจับเฉพาะเพดานเหมือนไม่ยินดียินร้ายใดๆ อีกแล้ว อังมือดูตามหน้าผากและเนื้อตัวของกานพลูก็พบว่าเย็นชืดไปหมด “ไม่มีไข้นี่ ค่อยยังชั่วหน่อย เด็กบอกว่าข้าวเที่ยงก็ไม่อยากกิน กินแต่ยาแก้ปวดหัวไปหลายเม็ดแล้ว”“คุณป้า” หล่อนคว้าจับมือนางขึ้นมาบีบแน่น จ้องมองสบตากับนางเขม็งแล้วนางก็ได้เห็นน้ำตาเต็มตาของหลานสาว “กรุณากานสักหนได้ไหมคะ พากานกลับไปกรุงเทพฯ อย่าให้กานอยู่ที่นี่ มันเหมือนนรก”นางหันมองรอบๆ ตัวก่อนที่จะเอ็ดกานพลูด้วยเสียงเด็ดขาดนัก“พูดบ้าๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน ใครมาได้ยินเข้าเอาไปรายงานท่าน จะพลอยชวด”“กานไม่อยากอยู่ที่นี่ กานยังไม่อยากมี...สามี...”หล่อนกระดากปากที่จะใช้คำว่า ‘ผัว’ แต่คุณนายจันทร์เพ็ญมองหล่อนด้วยแววตาดุๆ ติดจะเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย พร้อมกับมือหนึ่งผลักร่างที่ผงกขึ้นมาของกานพลูให้นอนราบลง“ป้าน่ะหาทางออกที่ดีให้กับแก พูดมาได้ว่าไม่อยากมีผัว...คุณบดินทร์เขาไม่ใช่คนเลวเกวอะไร...ทีเวลาแกวิ่งไปหาผู้ชายข้างถนนมาทำผัวได้ ทำไมไม่เอามาคิดเทียบกันมั่งหรือ
แม่กาน เฮ้อ...เป็นอะไรกันแน่นะ ดูซิ นอนตาปรอยเชียว”คุณนายจันทร์เพ็ญบ่นออกมาเมื่อเข้ามาเห็นหลานสาวนอนซมปากแห้งซีด ดวงตาลอยคว้างจับเฉพาะเพดานเหมือนไม่ยินดียินร้ายใดๆ อีกแล้ว อังมือดูตามหน้าผากและเนื้อตัวของกานพลูก็พบว่าเย็นชืดไปหมด “ไม่มีไข้นี่ ค่อยยังชั่วหน่อย เด็กบอกว่าข้าวเที่ยงก็ไม่อยากกิน กินแต่ยาแก้ปวดหัวไปหลายเม็ดแล้ว”“คุณป้า” หล่อนคว้าจับมือนางขึ้นมาบีบแน่น จ้องมองสบตากับนางเขม็งแล้วนางก็ได้เห็นน้ำตาเต็มตาของหลานสาว “กรุณากานสักหนได้ไหมคะ พากานกลับไปกรุงเทพฯ อย่าให้กานอยู่ที่นี่ มันเหมือนนรก”นางหันมองรอบๆ ตัวก่อนที่จะเอ็ดกานพลูด้วยเสียงเด็ดขาดนัก“พูดบ้าๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน ใครมาได้ยินเข้าเอาไปรายงานท่าน จะพลอยชวด”“กานไม่อยากอยู่ที่นี่ กานยังไม่อยากมี...สามี...”หล่อนกระดากปากที่จะใช้คำว่า ‘ผัว’ แต่คุณนายจันทร์เพ็ญมองหล่อนด้วยแววตาดุๆ ติดจะเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย พร้อมกับมือหนึ่งผลักร่างที่ผงกขึ้นมาของกานพลูให้นอนราบลง“ป้าน่ะหาทางออกที่ดีให้กับแก พูดมาได้ว่าไม่อยากมีผัว...คุณบดินทร์เขาไม่ใช่คนเลวเกวอะไร...ทีเวลาแกวิ่งไปหาผู้ชายข้างถนนมาทำผัวได้ ทำไมไม่เอามาคิดเทียบกันมั่งหรือ
“คราวนี้เกิดอะไรขึ้นคะ ทุกทีไม่เคยเห็นคุณนิจจะขัดขวาง เวลาท่านจะมีเมียสักคน”“เพราะผมรู้ว่าแค่ของเล่นมังครับ นี่เกิดจะเอาจริงขึ้นมา อายุก็ปาเข้าไปปูนนี้แล้ว บอกจริงๆ นะครับ ตัวผู้หญิงน่ะยังพอจะวางใจได้ว่าซื่อๆ แต่ป้าของเขานั่นตะหาก ผมว่าท่าแกจะเค็มไม่เบา พาหลานสาวมาทำแบบนี้ก็นับว่าร้ายนะครับ...ไม่ใช่หวังดีหรอก”“เด็กไม่มีทางเลือกค่ะ” คุณจินดาบอก “แล้วก็กำลังมีปัญหามาด้วยซิ...”ชายหนุ่มหวนคิดถึงคืนนั้นที่เขาพากานพลูออกมาจากเธค แล้วไปที่โรงแรม แต่เขาก็ไม่ได้แตะต้องล่วงเกินหล่อนเลย เพียงแต่ยังไม่แน่ใจเท่านั้นว่า ก่อนหน้าคืนนั้นหล่อนเคยผ่านผู้ชายคนใดมาบ้าง...แล้วที่ป้าของหล่อนกลัวหล่อนจะท้องนั้น มันมีมูลความจริงเพียงใดกัน“คุณนิจรับปากดิฉันก่อนแล้วกันว่า จะไม่ไปหาเรื่องเธอ”ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย “นี่คุณจินดาเตรียมกางกั้นหล่อนเอาไว้แล้วหรือครับ”“ถ้าคุณกานจะต้องแต่งกับท่าน อยู่ที่นี่กับท่าน ดิฉันคิดว่าเธอควรจะมีใครสักคนเป็นพี่เลี้ยง แล้วการเป็นคุณนายบ้านนี้ เธอก็ควรอยู่บนลำแข้งตัวเอง ไม่ใช่เป็นหุ่นเชิดของคุณป้าเธอเอง...ไม่อย่างนั้นคุณเพ็ญแกคงจะสูบเลือดเอาไปจนหมดนั่นแหละ อย่างที่คุณนิ
“กานไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรเลย”หล่อนบอกซ้ำๆ ซากๆ แต่ดวงหน้าขาวเผือดนั่นก็ทำให้นายบดินทร์ไม่อาจจะปักใจเชื่อได้“แค่ตกใจเท่านั้นเองค่ะ เดี๋ยวก็คงจะหาย กานซุ่มซ่ามไปมากกว่า”กานพลูออกตัว และนั่นเป็นสิ่งที่คุณนายจันทร์เพ็ญเห็นด้วยอย่างมาก นางกล่าวเสริมว่า“แม่คนนี้น่ะ ได้แผลเพราะความซุ่มซ่ามมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะนี่ก็คงจะเพราะอยากลงไปเดินเล่น จนได้ดี มันยังมืดอยู่เลย...ทีหลังก็รอให้ฟ้าสว่างก่อนนะจ๊ะ แล้วเวลาเดินก็ดู ๆ ซะมั่ง เดี๋ยวดิฉันทายาเอง” นางบอกกับเขาให้คลายความห่วงใยลงไป พอเขาเดินไปจากห้องแล้ว นางก็เอ็ดหลานสาวทันที “ทีหลังระวังหน่อยนะ แกไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกแล้วจะได้ซุ่มซ่ามได้น่าเอ็นดูตลอด เขาจะเอือมระอาเอาได้ เพราะเขาจะให้แกเป็นเมีย ไม่ใช่เอามาเลี้ยงเป็นลูก”นั่นทำให้กานพลูไม่กล้าปริปากบอกนางเกี่ยวกับเรื่องพินิจนัยหล่อนนึกหวาดๆ ความหวาดนั่นทำให้หล่อนไม่อยากปรากฏตัวที่โต๊ะอาหารมื้อเช้า ซึ่งผึ้งบอกด้วยหน้าตาระรื่นว่า“คุณนิจจะมาทานข้าวเช้าด้วย เธอไม่ได้มานานแล้วนะคะ...ใครๆก็คิดถึงเธอ ยายแม่ครัวงี้ดีใจนักหนาที่จะได้ทำอาหารอร่อยๆ ให้เธอทาน”หญิงสาวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนั่งห้อย