เขาจ้างเธอมาเป็นภรรยาในนาม แต่เมื่อความใกล้ชิดทำให้ความสัมพันธ์เกินเลย และคนรักตัวจริงของเขากลับมา เธอจึงยอมเดินจากไปพร้อมลูกในท้องที่เขาไม่รู้ . . . . รมิดา เลขาสาวสู้ชีวิต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนได้ทำงานเป็นเลขาของ หัสวีร์ หรือ ไรอัน หนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ปู่ย่าของหัสวีร์ ไม่ชอบผู้หญิงต่างชาติ หัสวีร์มีผู้หญิงที่คบหากันอยู่เธอเป็นเน็ตไอดอลและเป็นนางงามเวทีชื่อ ‘คาเรน’ แต่ระยะนี้คาเรนไม่ได้อยู่เมืองไทย ปู่ของหัสวีร์ต้องการให้หลานชายแต่งงานกับผู้หญิงที่ปู่ย่าเลือก หัสวีร์ตั้งใจรอคาเรนกลับมา แต่เพราะไม่ต้องการให้ปู่ย่ามาวุ่นวายเรื่องว่าที่ภรรยาจึงตัดสินใจจ้างเลขามาเป็นเมียปลอมๆ เพื่อปู่ย่ายกเลิกการดูตัวทั้งหมด รมิดายอมรับเงื่อนไขเพราะต้องการใช้เงิน เขาทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเธอไม่ยอมหย่ากับเขาง่ายๆ แต่เมื่อได้ใกล้ชิดกัน ความสัมพันธ์จึงเกินเลย และเมื่อคาเรนกลับมา รมิดาจึงจากมาพร้อมลูกในท้องที่เขาไม่รู้
더 보기‘ได้เดิมตามฝัน จะมีอะไรเป็นของตัวเอง ชอบอิสระ ไม่พึ่งพาใคร ไม่ง้อใคร รวยด้วยลำแข็ง เก่ง แกร่ง เสน่ห์แรง เกินต้าน สวยมากจนน่าขยี้ หาเงินเก่ง หาเงินดุ เงินคือสามีที่เรารักที่สุด...’
หญิงสาวถึงกับสำลักเครื่องดื่มสีสวยที่กำลังยกขึ้นจิบ บาร์เทนเดอร์ที่อยู่ใกล้หันมามองอย่างห่วงใย แต่เจ้าของมือเรียวโบกมือไปมาก่อนหยิบกระดาษทิชชู่มาซับมุมปากแล้วกวาดสายตาอ่านข้อความที่หน้าจอสมาร์ทโฟนของตนเอง
“เงินคือสามีที่รักที่สุด”
รมิดาพึมพำอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้งแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะ มันเป็นหน้าแฟนเพจเวบดูดวงเพจหนึ่งที่เธอเลื่อนอ่านฆ่าเวลา แม้ไม่ใช่คนชอบดูดวงชะตาแต่ถ้าเจอก็อดอ่านไม่ได้ เธอเป็นสาวราศีมีน และหมอดูท่านนี้ก็ทำนายได้โดนใจเป็นที่สุด
สำหรับรมิดาแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเงิน
หญิงสาวนึกขำเมื่อเห็นภาพใบหน้าตนเองฉีกยิ้มหวานแล้วพูดว่า ‘ภูมิใจที่ได้ทำงานที่บริษัทในเครือศาตนันท์กรุ๊ฟ’ ซึ่งความจริงแล้ว เพราะเงินเดือนที่สูงกว่าบริษัทอื่นรวมทั้งค่าล่วงเวลาทำให้เธอกัดฟันทำงานที่นี่ต่างหาก
ต้องเรียกว่า ‘ฟาดฟันเพื่อให้ได้ทำงานที่นี่เลยต่างหากล่ะ’
หญิงสาวในชุดเดรสสีดำเรียบง่ายยกแก้วเครื่องดื่มของตนขึ้นมาจิบ เธอคิดถึงวันแรกที่มาสมัครงานที่บริษัทแห่งนี้ เธอเพิ่งเรียนจบยังไม่ทันรับปริญญาด้วยซ้ำ แต่ภาระของชีวิตผลักดันให้เธอต้องเร่งรีบหางานทำ และช่วงนั้นบริษัทศาตนันท์กรุ๊ฟประกาศรับสมัครเลขานุการของประธานบริษัท เงินเดือนสูงกว่าบริษัททั่วไป รมิดารีบยื่นใบสมัครทันที แม้จะรู้ว่าผู้ยื่นใบสมัครมีเกินห้าสิบคน แต่ละคนโปรไฟล์ยอดเยี่ยม แต่งกายเรียบหรูดูดี แต่วันนั้นเธอสวมชุดนักศึกษาไปสมัครไปงาน สะพายกระเป๋าผ้าไปรอสัมภาษณ์
ยังไม่ทันสัมภาษณ์ก็รู้ว่าเธอไม่ใช่ตัวเลือกในสายตาของกรรมการทั้งสามที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์ผู้สมัครงาน สายตาเธออดเหลือบมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนพิงกรอบหน้าต่างด้านหลังไม่ได้ เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวแต่พับแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอก เนคไทเลื่อนลงมาเล็กน้อย สายตามองไปนอกหน้าต่างของชั้นที่สิบหก
“แล้วเราจะติดต่อกลับไปนะครับ”
กรรมการท่านหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แต่รมิดารู้ทันทีว่าตัวเองพลาดงานนี้แน่นอน เธอทั้งเหนื่อย ทั้งหิวและเริ่มจะหมดแรง คนพวกนี้คงไม่รู้หรอกว่าแต่ละวันของเธอต้องเจอเรื่องใดมาบ้าง การมาเข้าสัมภาษณ์งานนี้ที่ก็ไกลบ้านที่เธอพักอยู่มาก ด้วยความประหยัดค่าใช้จ่าย เธอต้องนั่งรถเมล์ตั้งสามต่อกว่าจะมาถึง
“มีกำหนดไหมคะว่าต้องรอกี่วันถึงจะรู้ผล” เธอถามไปตรงๆ
“มีผู้สมัครเข้ามามาก เราคงต้องใช้เวลาคัดเลือกคนที่เหมาะกับตำแหน่งนี้สักหน่อย”
“กี่วันคะ” รมิดาถามย้ำ เธอรู้ว่ามันเสียมารยาท แต่เธอไม่มีเวลาสำหรับการรอที่ไร้ความหวัง “อันที่จริงถ้ามีตัวเลือกอยู่แล้วก็ไม่ควรเรียกคนอื่นๆมาสัมภาษณ์ให้เสียเวลาเสียค่าเดินทางหรอกค่ะ”
ประโยคของเธอเรียกสายตาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังให้หันกลับมาจ้องมองเธอ เขามีดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ยามที่ยืนอยู่ในทิศทางที่แสงตกกระทบทำให้เห็นชัดว่าผมเขาสีเดียวกับดวงตา
เสียงกระแอมไอของกรรมการทำไม่ได้ทำรมิดาหลบตา เธอกลับยืดแผ่นหลังตั้งตรงกว่าเดิม อาจเพราะรวบผมเป็นหางม้าทำให้ลำคอดูงามระหง
“คุณคิดว่าตัวเองมีอะไรดีกว่าผู้สมัครคนอื่น” ชายหนุ่มเอ่ยถามมุมปากยกยิ้มท่าทียียวนทำให้ดูเหมือนเด็กหนุ่มวัยรุ่น
“จ้างดิฉันสิคะ แล้วจะรู้ว่าดิฉันแตกต่างจากคนอื่น” เธอฉีกยิ้มหวาน
“ระยะทดลองสามเดือน” เขายิ้มกลับ
“ทดลองงานได้เงินค่าตอบแทนไหมคะ” เธอสบตากับเขา “ถ้าไม่ได้ ดิฉันไม่มาค่ะ”
คราวนี้เขาหัวเราะออกมาแล้วพยักหน้ารับก่อนจะชี้นิ้วมาที่เธอ
“ผมเอาคนนี้ ผู้หญิงแบบนี้ถึงจะทำงานกับผมได้” เขายิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูร้ายกาจ “แต่คุณต้องรู้เงือนไขที่จะทำงานกับผมด้วย”
“ค่ะ” เธอตอบรับ
“ถ้าผ่านโปรฯ ได้เซ็นสัญญาทำงานกับผม สัญญาทำงานห้าปี ระหว่างนี้ห้ามคุณคนรัก และห้ามตั้งครรภ์ ผมอยากได้พนักงานที่ทุ่มเทกับงานไม่ต้องมากังวลว่าจะลาคลอดเมื่อไหร่”
“ได้ค่ะ”
‘ชีวิตนี้ไม่คิดจะแต่งงานอยู่แล้ว!’
“ดี พรุ่งนี้เริ่มงานได้เลย”
“ได้ค่ะ”
“ไม่เอาชุดนักศึกษานะ”
“ค่ะ”
แม้ปากจะตอบรับไปแบบนั้น แต่ในใจได้แต่ร้อง ฉิบหายแล้ว! แต่จะพูดตามที่คิดก็ไม่ได้ เธอยกมือไหว้ลาแล้วเดินออกมา นั่งรถเมล์กลับบ้านมาขุดเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปทำงาน
จากวันนั้น ....ผ่านมาถึงตอนนี้ก็4 ปี 9เดือนแล้ว เธอยังหวังว่าตัวเองจะได้ต่อสัญญางานกับบริษัทนี้อีก
รมิดาดื่มเครื่องดื่มของตัวเองหมดแก้ว คนอย่างเธอไม่ยอมเสียเงินค่าเครื่องเดิมแก้วละหลายร้อยแบบนี้แน่นอน แต่เพราะเธอไม่ได้จ่ายและมาในฐานะเลขาของท่านประธานซึ่งดูเหมือนว่าได้เวลาที่เธอต้องกลับพร้อมกับเขาแล้ว
แก้วเครื่องดื่มแก้วใหม่ถูกเลื่อนมาวางตรงหน้า รมิดามองหน้าบาร์เทนเดอร์ด้วยสายตาตั้งคำถาม
“คุณผู้ชายตรงนั้นขอเลี้ยงเครื่องดื่มคุณครับ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นและส่งยิ้มตามมารยาท ตั้งแต่ทำงานหน้าที่นี้มาเธอยิ้มได้หลากรูปแบบจนนึกชื่นชมตัวเองจริงๆ
“แต่คงดื่มอีกไม่ได้แล้วค่ะ เกรงใจสามีค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” รมิดายังคงโปรยยิ้มแล้วหยิบกระเป๋าหนังสีดำขึ้นคล้องไหล่เดินออกมารอที่ประตูทางออกของผับหรู ไม่กี่นาทีต่อมา ประธานหนุ่มเดินออกมาเพียงลำพัง แม้รมิดาแปลกใจเล็กน้อยแต่เก็บอาการใต้สีหน้าเรียบเฉย
“จะให้เรียกรถเลยไหมคะ” เธอถามตามหน้าที่ เขาตอบด้วยการพยักหน้า
“กลับคอนโด”
“ทราบแล้วค่ะ” รมิดาหยิบโทรศัพท์โทรเรียกคนขับรถซึ่งเตรียมตัวไว้รออยู่ก่อนแล้ว จึงใช้เวลาไม่กี่นาที รถเก๋งก็เข้ามาจอด
หญิงสาวยื่นมือไปหมายจะเปิดประตูรถให้เช่นทุกครั้ง แต่ชายหนุ่มชิงเปิดประตูรถด้านหลังแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เธอเข้าไปนั่งด้านใด มุมปากของเธอกระตุกยิ้มเล็กน้อยแล้วเข้าไปนั่งด้านใน ชายหนุ่มตามเข้ามาข้างๆ ปิดประตูรถเรียบร้อยแล้วทิ้งตัวลงนอนบนตักของเลขาสาว
“บอสคะ?” ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เขานอนหนุนตักเธอแบบนี้
“ออกรถ”
“ค่ะ”
ถึงอยากรู้แต่เธอไม่มีหน้าที่ต้องถาม หญิงสาวบอกสารถีให้มุ่งหน้ากลับคอนโด เจ้านายพักอยู่บนชั้นบนสุด และเป็นคอนโดเดียวกับที่รมิดาพักอยู่เพียงแต่เธอพักอยู่ชั้นสิบ มันคือสวัสดิการที่เจ้านายมอบให้ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รมิดาต้อง ‘เกาะ’ ตำแหน่งเลขาของท่านประธานพันล้านไว้ให้นานที่สุด เพราะงานดีๆ แบบนี้เธอจะไปหาที่ไหนได้อีก
“คุณยังจำได้ไหม เงือนไขในการเป็นเลขาของผม”
“ค่ะ”
“ห้ามคุณมีสามี...รวมทั้งตั้งครรภ์”
“ค่ะ” เธอนิ่งไปเล็กน้อย “บอสอยากได้ใบรับรองแพทย์ไหมคะ”
“ช่างเถอะ เธอจำได้ก็พอ”
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมองเลขาสาวแวบหนึ่งแล้วหลับตาลง รมิดาแอบถอนหายใจเบาๆ ท่องไว้สิรมิดา เงินเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตมีความสุข อย่าได้เผลอไปยั่วโมโหผู้ชายที่ชื่อ หัสวีร์ ศาตนันท์ เด็ดขาด!
หัสวีร์ติดค้างรมิดามากเหลือเกิน แม้มีทรัพย์สมบัติเป็นพันล้านก็ชดเชยให้เธอได้ไม่หมด แค่เรื่องง่ายๆ อย่างพาเธอมาเที่ยว ‘ทะเล’ ก็ต้องรออยู่หลายปี ยังไม่ได้ทันได้ไปฮันนีมูนก็มีเรื่องเสียก่อน เขาอยากพาเธอไปต่างประเทศ แต่รมิดาก็เป็นห่วงลูกชายทั้งที่มีคนอาสาเลี้ยงลูกเป็นขโยง แต่ในที่สุด ก็ได้พาเมียมาทะเลเสียที “พี่วีร์ ตลกไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามเรียกชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ หัสวีร์หันไปตามเสียงก็พบรมิดาอยู่ในชุดว่ายน้ำทูพีชสีชมพูหวานฉ่ำ แม้จะเป็นชุดว่ายน้ำแบบเรียบๆ แต่รูปร่างอวบอิ่มของหญิงสาวก็ทำเอาทะเลเดือดได้เหมือนกัน “พี่วีร์” รมิดาทำหน้ามุยที่เห็นหัสวีร์มองหน้านิ่ง เธอก้มมองตัวเองแล้วก็ถอนหายใจ ว่ากันว่าหลังคลอดลูกแล้วรูปร่างเปลี่ยน มันก็จริงนะ ตอนนั้นเธอห่วงแค่ต้องเลี้ยงลูก และยังช่วยพี่สาวเปิดร้านเบเกอรี่ไม่มีเวลามาดูแลรูปร่างให้เข้าที่เหมือนคนอื่นเสียด้วย “อ๊ะ!” หัสวีร์ได้สติก็คว้าเอวคอดมานั่งตักแล้วกดปลายคางกับไหล่เนียนนุ่ม “ฝนทำให้พี่ตะลึงเลย หุ่นแบบนี้บอกว่ามีลูกแล้วคงไม่มีใครเชื่อ” “สรุปว่าดีหรือไม่ดีคะ”
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รมิดานั่งอ่านข่าวจากหน้าจอเครื่องไอแพด ข่าวตำรวจทลายแหล่งค้ามนุษย์เป็นที่พูดถึงในโลกโซเซียลอยู่หลายวันและมีการสืบขยายผลผู้เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย ไม่เพียงแค่ค้ามนุษย์แต่ยังมีเรื่องยาเสพติดสิ่งผิดกฎหมายอีกหลายอย่าง แต่ไม่มีการพาดพิงถึงเรื่องที่รวิศถูกจับตัวไป การมีเงินใช้เงินให้ถูกที่ก็ไม่ได้แย่นัก รมิดารู้ดีว่าที่หัสวีร์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก เขาไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นเป้าสนใจของสื่อทุกแขนงและยังจะกระทบกระเทือนจิตใจลูกด้วย รวิศเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด นอกจากการขาดน้ำ-อาหารและบาดแผลถลอกที่ไม่ติดเชื้อแล้วก็นับว่าร่างกายแข็งแรงดี ส่วนสภาพจิตใจนั้น จิตแพทย์เด็กได้ให้การดูแลอยู่เชื่อว่าความรักจากคนในครอบครัวจะทำให้เด็กน้อยผ่านความทรงจำเลวร้ายนี้ได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของปู่ย่าจึงอยากให้รวิศอยู่โรงพยาบาลสักวันสองวันเพื่อความมั่นใจ แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเพื่อนใหม่ของรวิศ...เด็กหญิงผักหอม เด็กแข็งแกร่งที่รมิดาเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก หัสวีร์ให้คนสืบเรื่องของผักหอมและเมื่อรู้ว่าครอบครัวไม่ได้อบอุ่นและยังทำร้ายร่างกายเด็ก ทำให้ทั้งสองปรึก
มือเล็กๆ จับกันแน่น รวิศเผลอหันไปมองด้านหลังทำให้เท้าที่ไม่มีแรงสะดุดก้อนอิฐที่ปูไม่เรียบตรงหน้า ร่างเขาเซถลาล้มลงแต่ผักหอมก็ไม่ยอมปล่อยมือ “อย่าหยุดนะ คนใจร้ายตามมาแล้ว!” “อื้อ” น้ำตาคลอเบ้าตา รวิศเจ็บมากแต่ไม่กล้าร้องไห้และไม่กล้ามองเข่าที่เจ็บมากและรู้ว่าเลือดไหลซึมออกมา ผักหอมออกแรงดึงแขนรวิศแล้วสบตากัน เด็กหญิงก็หวาดกลัวไม่น้อยแต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “เพี้ยงงงง หาย ไม่เจ็บแล้วนะ” ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เหมือนความเจ็บนั้นจะหายไปชั่วขณะ เสียงคนโวยวายดังไล่หลังทำให้เด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งโหย่ง ผักหอมเห็นท่าไม่ดีดึงแขนของรวิศให้มาหลบอยู่หลังกองไม้ “หลบอยู่ตรงนี้ อย่าสงเสียงนะ รอจนกว่าคนใจร้ายไปแล้วค่อยออกมาล่ะ” “แล้วเธอล่ะ มาหลบด้วยกันสิ” รวิศกระถดกายเข้าไปด้านในเพื่อให้ผักหอมเข้ามาหลบด้วยกัน แต่เด็กหญิงส่ายหน้ารัวๆ “นายเข่าเจ็บ วิ่งไม่ทันแน่ ฉันจะหลอกพวกมันไปอีกทางเอง” “ไม่ได้นะ! พวกมัน...พวกมัน...” เด็กหญิงฉีกยิ้มเศร้า เธอรู้...เธอเป็นคนจน...พวกมันเอาเธอไปขาย แต่ถ้าเ
รมิดาเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากอนามัยสีดำ ความหวาดกลัวที่มีหายไปหมดสิ้นเมื่อคิดว่าต้องช่วยลูกออกมาให้ได้ แม้จะมีหน้ากากปิดครึ่งหน้าแต่แววตามันกำลังแสยะยิ้มให้เธออยู่ “น่าปรบมือให้จริงๆ ภรรยาของประธานหัสวีร์กล้ามาด้วยตัวเองคนเดียวจริงๆ” ภาคภูมิที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพูดน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาหรี่มองอย่างประเมิน มิน่าเล่า จากเลขาถึงกลายเป็นเมียได้ ก็สวยขนาดนี้เลยนี่ สวยกว่ายัยปอไหมนั้นอีก “ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน” รมิดาถามรักษาระดับน้ำเสียงไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน เธอไม่ได้ตัวเองเป็นอันตรายแต่เป็นห่วงลูก กลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัย “ผมต้องค้นตัวคุณก่อน” ภาคภูมิสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวไม่ถอยหลังหนีซ้ำยังยืนนิ่งเชิดใบหน้าขึ้นไร้ความเกรงกลัว เขายิ้มพอใจแล้วยื่นมือข้างใบหูเพื่อสำรวจว่าเธอติดเครื่องมือสื่อสารอะไรมาหรือเปล่า “ฉันพกโทรศัพท์มือถือมา มันต้องใช้โอนเงิน” เธอยื่นโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องให้มันด้วยตัวเอง ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแล้วใช้มืออีกข้างแตะที่กระดุมเสื้อเชิ้ตของรมิดา หญิงสาวปัดมือเขาออกทำให้โจรชั่วเลิกคิ้วขึ้นเล
เด็กชายวัยสามขวบเศษเนื้อตัวมอมแมมแต่กระนั้นยังเห็นได้ชัดว่าเป็นมีเชื้อชาวต่างชาติ รวิศยกหลังมือจะเช็ดน้ำตาแต่ก็นึกได้ว่าแม่สอนไว้ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า เขาล้วงมือในกระเป๋ากางเกงเจอแท่งช็อกโกแลต เขาเผลอยิ้มอย่างดีใจเพราะตั้งแต่กินมื้อเที่ยงไปยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ขณะกำลังฉีกห่อขนมก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ เขามองกลับเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เนื้อตัวมอมแมมเหมือนเขาและน่าจะอายุพอๆกัน หรืออาจจะถูกคนใจร้ายจับมาเหมือนกัน “กินด้วยกันไหม” รวิศถามแล้วลุกขึ้นเดินไปยังมุมห้องที่เด็กผู้หญิงนั่งกอดเข่าอยู่ เขาเอียงหน้ามองแล้วก็อุทานตกใจคว้าหาผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นไปแตะๆที่หน้าผากของเด็กหญิงคนนั้น “เธอมีแผล ต้องเช็ดแผล” “เจ็บ” เด็กหญิงแบะปากอยากร้องไห้ แต่ท่าทางจะร้องมาหนักแล้วจนดวงตาบวมแดงและแห้งผาก “มาๆ เราเป่าให้นะ เพี้ยง!หาย” “ยังเจ็บอยู่เลย” “เราทำแบบที่แม่สอน เดี๋ยวเป่าอีกทีนะ เพี้ยงงงง หายยยย” อาจเพราะไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหญิงจึงอารมณ์ดีขึ้น เธอเผลอยิ้มแต่ก็ต้องร้อ
เสียงลูกชายดังขึ้นมาทันทีที่ยังพูดไม่จบ รมิดามือไม้สั่นไปหมดแทบจับโทรศัพท์ไม่อยู่ หัสวีร์รีบยื่นมือไปประคองมือของเธอไว้ ปลายสายตัดสัญญาไปแล้ว ร่างบางถึงกับเข่าอ่อนแต่เพราะมีหัสวีร์ประคองอยู่จึงไม่ได้ลงไปนั่งกับพื้น “สงสัยปู่ต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกำนันคมคายเสียหน่อย” เมื่อก่อนปู่ก็จัดว่าเป็นนักเลงเก่ามาก่อน เพราะได้เมียดีคอยเตือนสติไม่หลงเดินทางผิดจึงสร้างอาณาจักรศาตนันท์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ก็มี...เลี้ยงคนไว้ใช้งานอยู่บ้าง “ตั้งสติ” เสียงย่าพูดกับรมิดา “ผู้หญิงบ้านนี้ห้ามอ่อนแอ” “ค่ะ” รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วพยุงตัวเองขึ้น เธอยังสวมชุดกระโปรงที่ใส่ไปทำงานอยู่ “ฝนขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ พี่วีร์จัดการเรื่องเงินรอได้เลย จะให้ฝนทำอะไร ฝนพร้อมค่ะ” เงินห้าสิบล้านไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัสวีร์ รมิดาเป็นเลขาของเขามาห้าปีจัดการเรื่องการเงินให้เขาย่อมรู้ดีทุกอย่าง แต่การไม่รู้ว่าต้องเตรียมเงินเพื่อโอนไปที่ไหนหรือจะทำเอาไปให้ใครทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่า รมิดาสวมกางเกงยีนกับเสื้อยืดพอดีตัว ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าท่
댓글