ยามลมหนาวเริ่มพัดโชยมา ต้นไม้ในหมู่บ้านซีหลินเริ่มผลัดใบ ทิ้งความเขียวชอุ่มของฤดูร้อนไว้เบื้องหลัง ทว่าในใจของตู้เยี่ยนอวี่กลับมิได้มีแม้แต่ความเหี่ยวเฉา ดุจบุปผาที่ไม่เคยโรยรา ชื่อเสียงของหมอเทวดาตูได้แผ่ขยายออกไปไกลกว่าที่นางคาดคิด ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงเริ่มเดินทางมาขอความช่วยเหลือมิขาดสาย ตั้งแต่ยามอรุณรุ่งจนกระทั่งยามสนธยา
“คุณหนูเจ้าคะ มีชาวบ้านจากหมู่บ้านไผ่เขียวมาขอพบเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูรายงานด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่นัยน์ตากลับเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวนายหญิงของตน
ตู้เยี่ยนอวี่ที่กำลังจัดเรียงสมุนไพรในห้องปรุงยา หันมายิ้มอย่างอ่อนโยน
“เชิญเขาเข้ามาเถิดเสี่ยวจู”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ ใบหน้าฉายแววความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กสาววัยราวสิบขวบปีที่กำลังไอโขลก ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม
“คารวะหมอเทวดาตู้ ขอท่านโปรดช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด นางป่วยมาหลายวันแล้ว กินยาก็ไม่หาย ไอจนตัวโยน แทบจะขาดใจแล้วขอรับ” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน พร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเยี่ยนอวี่
ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงชายผู้นั้นขึ้น
“ท่านลุงมิต้องทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น” นางหันไปหาเด็กสาว “หนูน้อย มานี่เร็วมาให้ข้าตรวจดูอาการเสียหน่อย”
นางวางมือบนหน้าผากของเด็กสาวที่ร้อนรุ่ม ก่อนจะจับชีพจรที่เต้นอ่อนแรง ตรวจดูลิ้นและดวงตาที่ซีดเซียว
“ไอแห้ง มีไข้ ชีพจรแผ่วเบา ลมปราณในปอดติดขัด” นางพึมพำกับตนเอง พร้อมกับนึกย้อนถึงตำราแพทย์โบราณที่อ่านเจอเมื่อไม่กี่วันก่อน “นี่คืออาการของไข้หวัดวสันต์”
นางหันไปหาชายผู้นั้น “บุตรสาวของท่านเป็นไข้หวัดวสันต์เจ้าค่ะ มิใช่โรคร้ายแรงอันใด แต่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด”
ชายผู้นั้นถอนหายใจโล่งอก “ขอบคุณหมอเทวดายิ่งนัก ! ข้ากังวลใจแทบแย่ขอรับ”
“ข้าจะปรุงยาจากสมุนไพรให้ และเขียนวิธีดูแลบุตรสาวของท่านให้ท่านนำกลับไป” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว “อีกสามวันท่านพานางกลับมาให้ข้าดูอาการอีกครั้ง”
นางเดินไปยังชั้นวางสมุนไพร หยิบสมุนไพรหลายชนิดออกมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นรากบัว พุทราจีนแห้ง หรือแม้แต่เปลือกส้มตากแห้ง นางจัดแจงบดยาและชั่งตวงส่วนผสมอย่างพิถีพิถัน
“คุณหนู ท่านช่างจดจำสมุนไพรได้เก่งกาจนัก” เสี่ยวจูเอ่ยชมด้วยความทึ่ง “บ่าวอยู่มาตั้งนานยังจำมิได้มากเท่าคุณหนูเลยเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มตอบ มิได้กล่าวอันใด นางมิอาจบอกได้ว่าความรู้เรื่องสมุนไพรเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากความทรงจำในฐานะเภสัชกรจากโลกเดิม ที่เคยต้องเรียนรู้สรรพคุณของพืชพรรณต่าง ๆ เพื่อนำมาสกัดเป็นยา
หลังจากการรักษาไข้หวัดวสันต์ในครั้งนั้น ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่ก็ยิ่งเป็นที่กล่าวขวัญมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงการรักษาโรค แต่ยังรวมถึงความเมตตาและความใจเย็นที่นางมีต่อผู้ป่วยทุกคน
ยามหิมะแรกเริ่มโปรยปรายลงมา ตู้เยี่ยนอวี่มักจะใช้เวลาในยามว่างไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหมู่บ้านซีหลิน นางมิได้ไปเพื่อรักษาโรคเพียงอย่างเดียว แต่ยังไปเพื่อสังเกตการณ์ความเป็นอยู่ของผู้คน เรียนรู้ปัญหาที่พวกเขาเผชิญ และหาวิธีช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ
“ท่านป้าหลี่ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น ท่านต้องดูแลสุขภาพให้ดีนะเจ้าคะ” เยี่ยนอวี่กล่าวกับหญิงชราผู้หนึ่งที่กำลังนั่งผิงไฟอยู่หน้าบ้าน
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ” ท่านป้าหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นบุญของพวกเราชาวบ้านซีหลินยิ่งนัก ที่มีคุณหนูมาช่วยดูแล”
ในการเยี่ยมเยียนแต่ละครั้ง เยี่ยนอวี่มักจะพกพาความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากโลกเดิมไปเผยแพร่ด้วย เช่น การแนะนำเรื่องสุขอนามัยพื้นฐาน การดื่มน้ำต้มสุก การล้างมือบ่อย ๆ หรือการแยกภาชนะของผู้ป่วย สิ่งเหล่านี้แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาคนยุคปัจจุบัน แต่ในยุคที่ความรู้ด้านสาธารณสุขยังไม่แพร่หลาย สิ่งเหล่านี้กลับเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้
“หากเราดูแลความสะอาดของร่างกายและที่อยู่อาศัยให้ดี โรคภัยไข้เจ็บก็จะมิกล้าเข้าใกล้” นางกล่าวให้ชาวบ้านฟัง
ในตอนแรกชาวบ้านบางคนก็มิได้เข้าใจในสิ่งที่นางกล่าวมากนัก แต่เมื่อเห็นว่าคำแนะนำของนางช่วยให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีขึ้นจริง ก็เริ่มเชื่อมั่นในตัวนางมากขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ นอกจากจะรักษาโรคเก่งแล้ว ยังมีความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพอีกด้วยนะ” ชาวบ้านต่างพากันกล่าวชื่นชม
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้โอ้อวดในความรู้ของตน นางเพียงต้องการใช้ความรู้ที่ตนมีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น
-
เดือนสิบสอง รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก
ยามสิ้นปีใกล้เข้ามา อากาศยิ่งหนาวเย็นยะเยือก ตู้เยี่ยนอวี่ก็มิได้หยุดนิ่ง นางยังคงศึกษาตำราต่าง ๆ ในห้องสมุดอย่างต่อเนื่อง นางมิได้จำกัดอยู่เพียงตำราแพทย์เท่านั้น แต่ยังศึกษาตำราการเกษตร เพื่อหาวิธีเพิ่มผลผลิตให้แก่ชาวบ้าน หรือตำราการจัดการ เพื่อช่วยบิดาบริหารจัดการทรัพย์สินของตระกูลให้ดียิ่งขึ้น
วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังเดินสำรวจแปลงผักในสวนของตระกูล นางสังเกตเห็นว่าผักบางชนิดเจริญเติบโตได้ไม่ดีนัก แม้จะได้รับการดูแลอย่างดีแล้วก็ตาม
“นี่มิใช่ปัญหาที่เกิดจากดินฟ้าอากาศ” นางพึมพำกับตนเอง “แต่เป็นปัญหาที่เกิดจากการจัดการ”
นางนึกถึงความรู้เรื่องการปลูกพืชหมุนเวียน และการบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่เคยเรียนรู้มา
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาท่านเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่เอ่ยขึ้นกับท่านผู้เฒ่าตู้ในยามเย็น
ท่านผู้เฒ่าตู้ที่กำลังนั่งจิบชาอยู่กลางโถงเรือน มองบุตรสาวด้วยแววตาเปี่ยมรัก “มีอันใดหรืออวี่เอ๋อร์ ?”
“ข้าสังเกตเห็นว่าแปลงผักในสวนของเรามิได้ให้ผลผลิตที่ดีเท่าใดนัก” เยี่ยนอวี่กล่าว “ข้าคิดว่าเราควรจะลองปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกผักดูบ้างเจ้าค่ะ”
นางอธิบายถึงแนวคิดเรื่องการปลูกพืชหมุนเวียน และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำจากมูลสัตว์และเศษใบไม้แห้ง ซึ่งจะช่วยบำรุงดินให้สมบูรณ์ขึ้น ดุจการเติมอาหารให้แก่ร่างกาย ท่านผู้เฒ่าตู้รับฟังด้วยความสนใจ ใบหน้าของเขาฉายแววครุ่นคิด
“แนวคิดของเจ้าช่างแปลกใหม่นักอวี่เอ๋อร์ แต่ก็ฟังดูมีเหตุผลยิ่งนัก” ท่านผู้เฒ่าตู้กล่าว “เช่นนั้นก็ลองทำดูเถิด พ่อเชื่อในตัวเจ้า”
ด้วยความเห็นชอบของท่านผู้เฒ่าตู้ ตู้เยี่ยนอวี่ก็เริ่มลงมือปรับปรุงแปลงผักในสวนทันที นางนำความรู้ที่ได้ศึกษามาปรับใช้ในการปฏิบัติจริง เสี่ยวจูและบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ก็เข้ามาช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่
เพียงไม่นาน หลังจากที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลแปลงผัก ผลผลิตที่ได้ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผักเติบโตอย่างงดงาม แข็งแรง และมีรสชาติดีขึ้นกว่าเดิมมาก
“คุณหนู ! ผักของเรางอกงามยิ่งนักเจ้าค่ะ !” เสี่ยวจูร้องด้วยความดีใจขณะเก็บเกี่ยวผลผลิต
“เห็นหรือไม่เสี่ยวจู เพียงแค่เราปรับเปลี่ยนวิธีการเล็กน้อย ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว” เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความสำเร็จในการปรับปรุงแปลงผักนี้ ทำให้ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่มิได้มีเพียงแค่เรื่องการแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความชาญฉลาดในการบริหารจัดการและการเกษตรด้วย จนทำให้มีชาวบ้านบางคน บางกลุ่มเริ่มเข้ามาปรึกษาเรื่องการทำไร่ทำนาบ้างแล้ว
บรรยากาศตึงเครียดจนแทบระเบิด รองแม่ทัพจ้าวคุนยืนอยู่ที่ปากประตูด้วยรอยยิ้มแห่งผู้ชนะ สาส์นลับในมือของเขาเปรียบดั่งตราบาปที่ประทับลงบนชะตากรรมของคนทั้งสาม“ยอมจำนนเสียเถิดเหล่ากบฏ ! หลักฐานมัดตัวแน่นหนาถึงเพียงนี้ พวกเจ้ายังจะดิ้นรนไปไย !”กู้เหยียนหลงและจางอู๋จีชักอาวุธออกมาทันที แววตาของพวกเขาแน่วแน่และพร้อมที่จะสู้ตาย แม้จะรู้ว่านี่คือการต่อสู้ที่ไร้ซึ่งความหวังก็ตามทว่า ในขณะที่การปะทะกำลังจะเกิดขึ้น ตู้เยี่ยนอวี่กลับก้าวออกมาขวางคนทั้งสองไว้“รอก่อนเจ้าค่ะ !” นางกระซิบ “การต่อสู้ในยามนี้ คือสิ่งที่พวกมันต้องการที่สุด”นางล้วงหยิบเอาลูกกลอนกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ มันดูเป็นเพียงของประดับธรรมดาชิ้นหนึ่ง“สิ่งนี้... จะซื้อเวลาให้เราได้สามลมหายใจ”สิ้นคำพูด นางก็ขว้างลูกกลอนนั้นลงบนพื้นอย่างแรงเพล้ง !แทนที่จะเป็นควันพิษ สิ่งที่ระเบิดออกมากลับเป็นลำแสงสีขาวที่สว่างจ้าจนแสบตา พร้อมกับเสียงแหลมสูงที่กรีดลึกเข้าไปในโสตประสาท เหล่าองครักษ์และจ้าวคุนต่างยกมือขึ้นปิดตาและหูด้วยความเจ็บปวด โลกทั้งใบของพวกเขากลายเป็นสีขาวโพลนและเงียบงันไปชั่วขณะ“เร็วเข้า !”ในสามลมหายใจแห่งค
ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ต่อมา บรรยากาศในวังหลวงสงบสุขลงอย่างเห็นได้ชัด ถุงหอมหนิงอันของตู้เยี่ยนอวี่ดูเหมือนจะได้ผลชะงัด เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์มีท่าทีที่ผ่อนคลายและจิตใจที่แจ่มใสขึ้น ความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ลดลงจนแทบไม่ปรากฏกู้เหยียนหลงเองก็ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนกำลังพล เขาสามารถโยกย้ายคนของรองแม่ทัพจ้าวคุนออกไปจากตำแหน่งสำคัญ และแทนที่ด้วยนายทหารรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและภักดีได้อย่างราบรื่นดูเหมือนว่าฝ่ายของพวกเขาจะกุมชัยชนะและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ทว่า นี่เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำอย่างแท้จริงหอเหมยแดงยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ภายใต้เสียงดนตรีอันไพเราะและกลิ่นกำยานหอมกรุ่น นักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัดกำลังสนทนากับนักปลอมแปลงเอกสารมือหนึ่งของยุทธภพ“ข้าต้องการสาส์นลับฉบับหนึ่ง ที่มีลายมือของจางอู๋จี แต่เนื้อความต้องเป็นบทเพลงที่พวกเราบรรเลง” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นแผนการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความระแวงได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบงัน///ณ กระทรวงกลาโหมหลายวันต่อมา…
ในห้องประชุมลับใต้ดิน บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเปลวเทียนสั่นไหว ใบหน้าของกู้เหยียนหลงและจางอู๋จีเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้เปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับเครื่องหอมในหอเหมยแดง“พวกมันมิได้ต้องการแค่ราชบัลลังก์ แต่ต้องการควบคุมวิญญาณของขุนนางทั้งแผ่นดิน” จางอู๋จีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “นี่คือแผนการที่ชั่วร้ายและทะเยอทะยานเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด”“การบุกทำลายหอเหมยแดงในยามนี้เป็นไปไม่ได้” กู้เหยียนหลงวิเคราะห์ “นั่นเท่ากับเป็นการเปิดศึกโดยตรง และจะทำให้องค์ชายจ้าวเฟิงมีข้ออ้างในการเคลื่อนไหวทางการทหารทันที”“ถูกต้องเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวขึ้น ดวงตาของนางสงบนิ่งดุจน้ำในบ่อลึก แต่กลับฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อพิษเข้าทางลมหายใจ ยาแก้ก็ต้องออกฤทธิ์ผ่านลมหายใจเช่นกัน”นางได้เสนอแผนการที่แยบยลและเหนือความคาดหมาย นั่นคือการสร้างยาถอนพิษที่มองไม่เห็นขึ้นมาต่อกรตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาหลายวันขลุกตัวอยู่แต่ในห้องปรุงยา นางศึกษ
เงาจันทร์ทาบทาลงบนตรอกซอกซอยอันมืดมิดของเมืองหลวง ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเร้นกายออกจากหอเหมยแดงอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศที่เคยหรูหราฟู่ฟ่า บัดนี้กลับให้ความรู้สึกน่าขยะแขยงราวกับสุสานที่ประดับประดาอย่างงดงามแต่ซ่อนเร้นไว้ด้วยซากศพและความเน่าเฟะทั้งสองมิได้เอ่ยวาจาใด ๆ ตลอดทาง แต่ในใจกลับปั่นป่วนดุจพายุคลั่ง ภาพของรองแม่ทัพจ้าวคุนที่หายลับเข้าไปในประตูทางลับนั้น ยังคงติดตาตรึงใจราวกับถูกเหล็กร้อนนาบ///ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีบรรยากาศในห้องประชุมใต้ดินนั้นหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่าค่ำคืนในฤดูเหมันต์“รองแม่ทัพแห่งต้าเฉิน คือหนอนบ่อนไส้” กู้เหยียนหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำจนน่ากลัว กำปั้นของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ในฐานะแม่ทัพใหญ่ การมีผู้ทรยศอยู่ในตำแหน่งสูงถึงเพียงนี้ ถือเป็นความล้มเหลวและความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงจางอู๋จีถอนหายใจยาว“ข้าเคยสงสัยในตัวจ้าวคุนมานานแล้ว” เขากล่าว “ฐานะทางการเงินของเขาเติบโตขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ข้ามิเคยมีหลักฐานมัดตัวเขาได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว จนกระทั่งวัน
ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีแผนที่ขนาดใหญ่ของเมืองหลวงถูกกางออกเต็มโต๊ะ“หอชาด” จางอู๋จีลูบเคราครุ่นคิด “ในเมืองหลวงแห่งนี้ มีสถานที่ที่ใช้ชื่อนี้อยู่สามแห่ง หนึ่งคือหอตำราเก่าแก่ สองคือร้านจำหน่ายผ้าไหม และสาม...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปยังจุดหนึ่งในย่านบันเทิงที่หรูหราและพลุกพล่านที่สุดของเมืองหลวง “คือโรงละครและหอคณิกาที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุด มีนามว่าหอเหมยแดง เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของเหล่าขุนนางและคหบดีผู้มั่งคั่ง เจ้าของของมันเป็นปริศนา และเป็นสถานที่ที่สายของข้ามิอาจแทรกซึมเข้าไปได้ง่ายนัก”“สถานที่ที่ลึกลับและมีอำนาจคุ้มครอง ย่อมเป็นแหล่งซ่องสุมที่ยอดเยี่ยมที่สุด” กู้เหยียนหลงกล่าว แววตาคมกริบดุจเหยี่ยว “เป้าหมายของเราคือที่นั่น”การจะบุกเข้าไปโดยตรงย่อมเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น พวกเขาจำเป็นต้องปลอมตัวเพื่อเข้าไปสืบหาความจริงค่ำคืนนั้น ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้แปลงโฉมเป็นคุณชายเจ้าสำราญและภรรยาคนงามผู้ติดตาม กู้เหยียนหลงในอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดี ดูสง่างามและแฝงไว้ด้วยความหยิ่งผยองของทายาทคหบดี ส่วนตู้เยี่ยนอวี่ในชุดสีอ่อนหวานขับเน้นให้ใบหน้างดงามของนางดูบอบบางน่าทะ
ค่ำคืนนั้น วังหลวงตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายการลอบปลงพระชนม์องค์หญิงถือเป็นเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ฝ่าบาททรงพระพิโรธดั่งพายุคลั่ง มีราชโองการให้ปิดประตูวังและสืบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวดที่สุดองค์หญิงลี่หัวปลอดภัยดีภายใต้การอารักขาอย่างแน่นหนา แม้พระวรกายจะมิได้รับบาดเจ็บ แต่พระทัยกลับตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สลักลึกลงไปในใจของนาง และทำให้นางยิ่งเชื่อมั่นในตัวตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงมากขึ้นเป็นทวีคูณองค์ชายจ้าวเฟิงแสดงละครฉากใหญ่ได้อย่างแนบเนียน เขาทูลแสดงความขุ่นเคืองและห่วงใยต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท พร้อมทั้งเสนอที่จะให้ความร่วมมือในการสอบสวนอย่างเต็มที่“การกระทำอันอุกอาจของคนชั่วเหล่านี้ ถือเป็นการหยามเกียรติทั้งสองแคว้น กระหม่อมจะขออยู่ช่วยสืบหาความจริงให้ถึงที่สุด เพื่อนำตัวผู้บงการมาลงโทษให้จงได้ !”วาจาของเขานั้นเปี่ยมด้วยความจริงใจจอมปลอม แต่ก็ทำให้ผู้ที่มิรู้ความนัยต่างเชื่อสนิทใจ มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเท่านั้นที่รู้ว่า พยัคฆ์ร้ายตัวนี้กำลังแสร้งทำเป็นสุนัขรับใช้ผู้ภักดีณ คุกใต้ดินของสำนักข่าวกรองลับนักฆ่าพรรคเมฆาโลหิตที่ถูกจับเป็นได้