ยามตะวันคล้อยต่ำ แสงสีทองสาดส่องกระทบผืนน้ำในลำธารซีหลิน ทำให้ผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดุจดวงดาวนับร้อยที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
ตู้เยี่ยนอวี่ยืนอยู่ริมท่าน้ำ มือเรียวบางกำลังซักผ้าอย่างคล่องแคล่ว ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าสตรีในหมู่บ้านที่กำลังทำกิจวัตรประจำวัน การเรียนรู้งานบ้านงานเรือนเหล่านี้เป็นดั่งบทเรียนสำคัญที่ทำให้นางเข้าใจชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้อย่างลึกซึ้งขึ้นทีละน้อย
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ ช่างขยันขันแข็งยิ่งนัก” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นขณะเดินผ่านไป นางมีใบหน้ายิ้มแย้ม และแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“ท่านป้ากล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยรอยยิ้มงดงาม ดุจดอกเหมยยามแรกแย้ม “ข้าเพียงช่วยแบ่งเบาภาระของท่านแม่เท่านั้นเจ้าค่ะ”
คำพูดของนางดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ยากที่จะมีใครล่วงรู้ว่าเบื้องลึกในจิตใจของสตรีผู้นี้ ยังคงหลงเหลือเศษเสี้ยวความทรงจำจากโลกที่ห่างไกลออกไปนับพันปี
หลังจากกลับจากท่าน้ำเยี่ยนอวี่ก็ตรงไปยังห้องสมุดของตระกูลทันที ห้องสมุดแห่งนี้เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยชั้นดีสำหรับนาง เป็นสถานที่ที่นางสามารถดำดิ่งลงไปในโลกที่เต็มไปด้วยความรู้ และค้นพบหนทางที่จะใช้ชีวิตในยุคสมัยนี้ได้อย่างมีคุณค่า
“ตำราเล่มนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก” นางพึมพำกับตนเอง ขณะหยิบม้วนคัมภีร์เก่าแก่เล่มหนึ่งออกจากชั้นวาง ม้วนคัมภีร์นั้นมีกลิ่นอายของกาลเวลา ห่อหุ้มด้วยผ้าไหมสีน้ำตาลที่ซีดจางลงไปตามกาลเวลา
นางคลี่ม้วนคัมภีร์ออกอย่างระมัดระวัง ภายในเป็นตัวอักษรโบราณที่เขียนด้วยพู่กันอย่างวิจิตรบรรจง ไม่ใช่ตำราปรัชญา ไม่ใช่ตำราประวัติศาสตร์ แต่เป็นตำราว่าด้วยการบำบัดรักษาโรคด้วยวิชาธาตุและเส้นลมปราณ
ตู้เยี่ยนอวี่ผู้ซึ่งเคยร่ำเรียนวิชาแพทย์แผนปัจจุบันมาอย่างเชี่ยวชาญ ถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ
เมื่อพิจารณาเนื้อหาในตำราแล้ว นางก็พบว่าหลักการบางอย่างนั้นคล้ายคลึงกับหลักการทำงานของระบบประสาทและอวัยวะภายในของมนุษย์ที่นางเคยศึกษามา เพียงแต่ถูกอธิบายด้วยภาษาและแนวคิดที่แตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง
“ลมปราณ เส้นชีพจร ธาตุทั้งห้า...” นางไล่อ่านตัวอักษรเหล่านั้นช้า ๆ แต่ละคำเปรียบดั่งสถานที่ที่เต็มไปด้วยความรู้แปลกใหม่ “นี่อาจจะเป็นวิชาการแพทย์ในยุคนี้ก็เป็นได้”
จากความทรงจำเดิมของร่างนี้ที่เสี่ยวจูเล่าให้ฟัง ตู้เยี่ยนอวี่เจ้าของร่างคนเดิมนั้นเป็นเด็กที่ใฝ่รู้ และมักจะใช้เวลาในห้องสมุดอยู่เสมอ การที่นางสนใจตำราแพทย์จึงมิใช่เรื่องแปลกอันใด
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นอกจากกิจวัตรประจำวันที่นางต้องเรียนรู้แล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ได้เพิ่มการศึกษาตำราเล่มนี้เข้าไปด้วย นางจะจุดตะเกียงน้ำมันเบา ๆ และอ่านตำราเล่มนั้นอย่างตั้งใจ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ทุกตัวอักษรก็เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่เพาะบ่มความรู้ในจิตใจของนาง
“ลมปราณแห่งชีวิต เปรียบดุจสายน้ำที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งในร่าง” นางพึมพำกับตนเองขณะอ่านบทหนึ่งในตำรา “หากสายน้ำติดขัด ย่อมเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้”
หลักการนี้คล้ายคลึงกับการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายมนุษย์ที่นางเคยเรียนรู้มา ทำให้ตู้เยี่ยนอวี่รู้สึกตื่นเต้น
-
เดือนแปด รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก
ยามย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่มก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองและแดงก่ำ ดุจภาพวาดที่งดงาม
ตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาศึกษาตำราวิชาธาตุและเส้นลมปราณอย่างจริงจัง นางพยายามเชื่อมโยงความรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบันเข้ากับหลักการโบราณเหล่านี้ แม้จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีจุดร่วมบางอย่างที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้
วันหนึ่งขณะที่นางกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องสมุด เสียงร้องไห้คร่ำครวญก็ดังมาจากนอกเรือน ดุจเสียงกรีดร้องของวิญญาณที่ทุกข์ทรมาน เสี่ยวจูรีบวิ่งเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก
“คุณหนูแย่แล้วเจ้าค่ะ ! อาเหยาบุตรชายของป้าเหมยที่อยู่ท้ายหมู่บ้านล้มป่วยหนัก ตัวร้อนจัดจนชักเกร็งไปแล้วเจ้าค่ะ !”
ตู้เยี่ยนอวี่ได้ยินดังนั้นก็รีบผุดลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความตกใจ “พาข้าไปดูเดี๋ยวนี้ !”
นางลืมไปเสียสิ้นว่าตนมิใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโลกเดิมอีกต่อไป หากแต่เป็นเพียงเด็กสาววัยสิบสี่ปีในยุคโบราณ แต่สัญชาตญาณของการเป็นผู้ช่วยเหลือชีวิตมิได้จางหายไปจากจิตใจของนางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงเรือนของป้าเหมยก็พบว่ามีชาวบ้านหลายคนยืนมุงดูด้วยความเป็นห่วง อาเหยานอนอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากเขียวคล้ำ ข้าง ๆ กันมีป้าเหมยที่กำลังนั่งร่ำไห้แทบขาดใจ
“คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่มาแล้ว !” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น ทำให้ผู้คนหันมามองด้วยความหวัง
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้สนใจสายตาของใคร นางคุกเข่าลงข้างกายอาเหยาทันที มือเรียวบางสัมผัสหน้าผากที่ร้อนระอุของเด็กน้อย
“ตัวร้อนจัดจริง ๆ” นางพึมพำ “เสี่ยวจูเจ้าไปนำน้ำสะอาดกับผ้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ !”
เสี่ยวจูรีบไปตามคำสั่ง ในขณะที่ตู้เยี่ยนอวี่ก็เริ่มตรวจดูอาการของอาเหยาอย่างละเอียด ดุจหมอผู้เชี่ยวชาญที่กำลังวินิจฉัยโรค นางจับชีพจร ตรวจดูลิ้น และพยายามฟังเสียงหายใจที่แผ่วเบาของเด็กน้อย
“อุณหภูมิกายสูงมาก ลมปราณติดขัด มีอาการชักเกร็ง” นางรำพึงกับตนเอง พร้อมกับนึกย้อนถึงตำราวิชาธาตุและเส้นลมปราณที่เพิ่งศึกษามา “ลมปราณของเขาถูกปิดกั้น ต้องทำการเปิดทางลมปราณ”
เมื่อได้น้ำและผ้าแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้อาเหยาอย่างรวดเร็วและใจเย็น ก่อนที่นางจะหันไปหาป้าเหมย “ป้าเหมย ในเรือนมีขิงแห้งหรือไม่เจ้าคะ ?”
ป้าเหมยพยักหน้าทั้งน้ำตา “มีเจ้าค่ะ มีอยู่ในครัว”
“นำมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่กล่าว
เมื่อได้ขิงมาแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ใช้มีดฝานขิงเป็นแผ่นบาง ๆ แล้ววางลงบนจุดชีพจรบางแห่งตามตำราที่ได้ศึกษามา พลางใช้ปลายนิ้วกดคลึงเบา ๆ
“คุณหนูจะทำอันใดเจ้าคะ ?” ป้าเหมยถามด้วยความสงสัยระคนกังวล
“ข้ากำลังจะช่วยเปิดทางลมปราณให้อาเหยาเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง ดวงตาฉายแววแน่วแน่ “เพื่อให้ความร้อนในกายของเขาคลายลง”
ชาวบ้านที่มุงดูต่างส่งเสียงซุบซิบนินทาดุจผึ้งที่แตกรัง หลายคนมิเข้าใจในสิ่งที่เยี่ยนอวี่กระทำ เพราะมิเคยเห็นการรักษาเยี่ยงนี้มาก่อน มีเพียงหมอหลี่ผู้ชราที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก กำลังมองเยี่ยนอวี่ด้วยแววตาครุ่นคิด
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้สนใจเสียงซุบซิบเหล่านั้น นางยังคงกดคลึงจุดชีพจรของอาเหยาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับท่องจำบทคัมภีร์ที่ได้ศึกษามาในใจ
ผ่านไปไม่นานอาการชักเกร็งของอาเหยาก็เริ่มทุเลาลง ใบหน้าของเด็กน้อยที่เคยซีดขาวก็เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นทีละน้อย
“คุณหนู ! อาการอาเหยาดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ !” เสี่ยวจูร้องอุทานด้วยความยินดี
ป้าเหมยถึงกับทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าตู้เยี่ยนอวี่
“ขอบคุณคุณหนูยิ่งนักเจ้าค่ะ ! คุณหนูคือผู้มีพระคุณของข้าและบุตรชาย !”
ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงป้าเหมยขึ้น “ป้าเหมยมิต้องทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามหน้าที่ของมนุษย์เท่านั้น” นางหันไปหาชาวบ้านที่มุงดู “อาเหยายังต้องพักผ่อนให้มาก และดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ เพื่อขับพิษไข้เจ้าค่ะ”
หมอหลี่ผู้ชราเดินเข้ามาใกล้ตู้เยี่ยนอวี่ เขามองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทึ่ง
“แม่นางน้อยตู้ วิชาการแพทย์ของเจ้าช่างล้ำลึกยิ่งนัก ข้ามิเคยพบพานผู้ใดรักษาด้วยวิธีนี้มาก่อน”
ตู้เยี่ยนอวี่โค้งคำนับเล็กน้อย
“ข้าเพียงอาศัยความรู้ที่ได้ศึกษาจากตำราเก่าแก่ของตระกูลเจ้าค่ะ” นางมิอาจบอกความจริงได้ว่าความรู้บางส่วนนั้นมาจากโลกที่ไกลแสนไกล
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่ก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วหมู่บ้านซีหลินและหมู่บ้านใกล้เคียง ดุจกระแสลมที่พัดพาลอยไปไกล ผู้คนต่างเรียกขานนางว่าหมอเทวดาตู้ แม้จะยังเด็กนัก แต่ความสามารถและจิตใจอันเมตตาของนางก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คน
ยามรัตติกาลอันเงียบสงัด ตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองดวงจันทร์ที่ส่องสว่างบนฟากฟ้า เสียงแมลงครางระงม
ความสำเร็จในวันนี้ทำให้ใจนางเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่ก็มิได้หลงระเริง
“การช่วยเหลือผู้อื่นช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษยิ่งนัก” นางพึมพำกับตนเอง “ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นเช่นไร ขอเพียงได้ทำสิ่งที่ตนรัก ก็เพียงพอแล้ว”
เสมือนสายพิณที่ขาดสะบั้นลงกลางบทเพลงที่ไพเราะที่สุดสิ้นเสียงรายงานการเคลื่อนทัพของรองแม่ทัพจ้าวคุน บรรยากาศอันงดงามในศาลากลางน้ำพลันแหลกสลายลงในพริบตา ไอสังหารที่เคยแฝงเร้น บัดนี้ได้ปรากฏตัวตนขึ้นอย่างชัดเจนใบหน้าของฝ่าบาทและเหล่าขุนนางผู้ภักดีซีดเผือดราวกับกระดาษ การเคลื่อนทัพโดยพลการในยามนี้ มีความหมายเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือการก่อกบฏ!หน้ากากขุนนางผู้ภักดีที่เสนาบดีหลิวเจิ้งสวมใส่มานานหลายสิบปี บัดนี้ได้ถูกกระชากออกอย่างไม่เหลือชิ้นดี เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอสรพิษเฒ่าผู้กระหายในราชบัลลังก์“หลิวเจิ้ง! เจ้า... เจ้าบังอาจ!” ฝ่าบาทตรัสด้วยพระสุรเสียงที่สั่นเทาด้วยโทสะทว่าพยัคฆ์เฒ่าที่จนตรอก ย่อมเป็นพยัคฆ์ที่อันตรายที่สุดหลิวเจิ้งมิได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก เขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้งและน่าขนพองสยองเกล้า“ฮ่า ๆๆๆ! ในเมื่อพวกเจ้าฉีกหน้ากากของข้าแล้ว ข้าก็มิจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป!” เขากล่าวพลางปรายตามองทุกคนด้วยแววตาที่อำมหิต “เดิมทีข้าคิดจะค่อย ๆ กลืนกินแผ่นด
ในชั่ววินาทีที่พระพันปีหลวงตรัสถึงคดีของตระกูลมู่หรง อากาศทั่วทั้งศาลากลางน้ำพลันเยียบเย็นลงราวกับย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ในบัดดล รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวเจิ้งมิได้จางหาย แต่กลับแข็งค้างดุจหน้ากากน้ำแข็งที่กำลังปริร้าว เผยให้เห็นรอยแยกของความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ภายในทว่าอสรพิษเฒ่าที่ขดตัวอยู่ในราชสำนักมาหลายสิบปี ย่อมมิใช่ผู้ที่จะยอมจำนนต่อสถานการณ์โดยง่าย“ฮ่า ๆๆ”เสียงหัวเราะอันแหบแห้งของเขาดังขึ้นทำลายความเงียบงัน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดจากการถูกหยามเกียรติ“พระพันปีหลวงทรงมีพระเมตตา ยังทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของขุนนางเก่าแก่อย่างกระหม่อมได้” เขากล่าวพลางลุกขึ้นยืน โค้งคำนับอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น “น่าเสียดาย... ที่วัยชราได้พรากความทรงจำอันเฉียบคมของกระหม่อมไปเสียมากแล้ว คดีเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นช่างเลือนรางนัก แต่กระหม่อมจำได้เพียงว่า ทุกการตัดสินโทษในชีวิตราชการของกระหม่อม ล้วนเป็นไปเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินและเพื่อสนองพระเดชพระคุณฝ่าบาทเสมอมา”เขาเปลี่ยนจากการเป็นจำเลยมาเป็นผู้ถูกกระทำไ
ศาลากลางสระบัวในวันนี้งดงามและสงบนิ่งเป็นพิเศษ ประหนึ่งเกาะหยกที่ลอยเด่นอยู่กลางทะเลมรกตที่เต็มไปด้วยใบบัว สายลมที่พัดผ่านผิวน้ำ นำพาเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเกสรบัวหลวงมาด้วย ทว่าภายใต้ความงามอันสงบสุขนั้น กลับมิอาจพัดพาไอสังหารที่แฝงเร้นอยู่ในอากาศให้จางหายไปได้ขบวนเสลี่ยงของเสนาบดีหลิวเจิ้งมาถึงเป็นคนแรก เขาก้าวลงจากเสลี่ยงด้วยท่วงท่าที่สุขุมและสง่างามสมตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งผู้เป็นเสาหลักของแผ่นดิน รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นและเปี่ยมด้วยเมตตา แต่ในส่วนลึกของดวงตาที่ผ่านโลกมาจนโชกโชนนั้นกลับเยียบเย็นตามมาด้วยขบวนขององค์ชายจ้าวเฟิง เขามาในอาภรณ์ผ้าไหมปักลายพยัคฆ์ซ่อนกายในพงไพร ดูองอาจและเปี่ยมด้วยบารมี รอยยิ้มของเขายังคงเป็นมิตรและน่าคบหา แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า มันเป็นรอยยิ้มของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ มิใช่รอยยิ้มของสหายผู้มาเยือนเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า ณ ศาลากลางน้ำพระพันปีหลวงในฐานะประธานของงานเลี้ยง ก็ได้มีรับสั่งให้เริ่มพิธีชงชาชั้นสูง นางกำนัลคนสนิทค่อย ๆ บรรจงรินน้ำร้อนลงบนใบชาต้าหงเผาอันล้ำค่า กลิ่นหอมกรุ่นของใบชาชั้นเลิศลอยอบอวลไปทั่วศาลา
ในตำหนักหมื่นวสันต์ที่เงียบสงบ บัญชีมรณะเล่มนั้นได้กลายเป็นเถ้าธุลีในกระถางทองเหลืองไปแล้ว แต่ทุกตัวอักษรที่เคยจารึกไว้ ได้ประทับลงในพระทัยของอย่างมิอาจลบเลือน พระพันปีหลวงผู้ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวและคลื่นลมในราชสำนักมาค่อนชีวิต บัดนี้แววพระเนตรของพระนางนิ่งสงบและเยียบเย็นดุจผืนน้ำใต้ธารน้ำแข็ง“ในเมื่อรากแก้วของต้นไม้พิษมันฝังลึกถึงเพียงนี้ การถอนรากถอนโคนในคราวเดียว ย่อมทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน” พระนางตรัสกับองค์หญิงลี่หัวและพระสนมหลี่ที่อยู่เบื้องหน้า “เราจะมิโค่นต้นไม้ แต่เราจะลิดกิ่งก้านของมันทีละกิ่ง ล่ออสรพิษให้ออกมาจากโพรงด้วยตัวเอง”พระนางมิได้มีราชโองการให้จับกุมผู้ใดในทันที แต่กลับมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงน้ำชาชมราชสาส์นขึ้นเป็นการส่วนพระองค์ในอีกสามวันข้างหน้า ณ ศาลากลางสระบัว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อหารือเป็นการภายในถึงข้อเสนออภิเษกสมรสขององค์ชายจ้าวเฟิง และเพื่อพิจารณาราชสาส์นจากแคว้นอื่นที่ส่งมาถวายพระพรในวาระที่ฝ่าบาททรงหายจากพระอาการประชวรเป็นการเดินหมากที่แยบยลและเลือดเย็นที่สุด ผู้ที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้มีเพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนล้วนเป็นหัวใจของขั้วอำนาจทั้งหมด ฝ่า
แสงจันทร์มิอาจสาดส่องถึงห้องลับใต้ดินของสำนักพันเงา ที่ซึ่งบรรยากาศหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่ารัตติกาลในฤดูเหมันต์ บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ใจกลางห้อง บัญชีมรณะเล่มนั้นวางแผ่หลาอยู่ แต่ทุกตัวอักษรที่จารึกไว้ด้วยพู่กันกลับหนักอึ้งดุจชะตากรรมของแผ่นดิน รอยแผลของนายหญิงแห่งเงาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดจากตู้เยี่ยนอวี่ แม้ร่างกายจะเจ็บปวด แต่ในแววตาของนางกลับลุกโชนไปด้วยไฟแค้นที่รอวันสะสาง“หลิวเจิ้งคือรากแก้วของต้นไม้พิษต้นนี้” กู้เหยียนหลงกล่าวทำลายความเงียบ นัยน์ตาคมกริบของเขาทอประกายกร้าว “การโค่นล้มเขาในยามนี้ที่มันยังกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในราชสำนัก ไม่ต่างอะไรกับการเอากายเข้าปะทะคมดาบ”“ท่านแม่ทัพกล่าวถูกแล้ว” จางอู๋จีเสริมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สายข่าวของข้ารายงานว่า บัดนี้จวนเสนาบดีและการป้องกันวังหลวงถูกยกระดับขึ้นสูงสุด ประหนึ่งค่ายทหารที่พร้อมรับศึก เรามิอาจใช้กำลังบุกเข้าไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง”ท่ามกลางความตึงเครียดนั้น มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่ที่ยังคงสงบนิ่ง นางวางสมุนไพรในมือลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยปัญญาอันล้ำลึก“ในเมื่อประตูหน้าเต็มไปด้วยกองทัพหมาป
ครืน... ครืน...เสียงหินบดขยี้กันดังก้องสะท้าน ราวกับเสียงกรามของมังกรที่กำลังจะขย้ำเหยื่อให้แหลกสลาย ผนังห้องทั้งสี่ด้านเคลื่อนตัวบีบอัดเข้ามาอย่างช้า ๆ แต่หนักหน่วงและไม่อาจต้านทานได้ ฝุ่นผงและเศษปูนร่วงหล่นลงมาจากเพดานราวกับห่าฝน“เรามีเวลาไม่ถึงสิบห้าลมหายใจ!” หนึ่งในแมวเงาตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตระหนกกู้เหยียนหลงและนายหญิงแห่งเงาพุ่งเข้าไปใช้ฝ่ามือยันผนังที่เคลื่อนเข้ามาทันที พลังลมปราณของทั้งสองระเบิดออกอย่างเต็มที่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ชะลอความเร็วของมันลงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันหนักหน่วงเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะต้านทานไหว“ไร้ประโยชน์! นี่คือกลไกตายตัว!” กู้เหยียนหลงกัดฟันพูด ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดในขณะที่ทุกคนกำลังจะสิ้นหวัง ตู้เยี่ยนอวี่กลับมีสายตาที่สว่างวาบขึ้น นางมิได้มองไปยังผนัง แต่นางกลับจ้องลึกลงไปในช่องลับใต้พื้นที่ว่างเปล่าหลังจากที่หยิบหีบออกมาแล้ว“ช่องลับนั่น!” นางร้องบอกทุกคน “มันมิใช่แค่ช่องเก็บของ แต่มันคือกลไก รูปปั้นพระพุทธองค์มิใช่แค่กุญแจเปิด แต่เป็นตุ้มถ่วงน้