ยามตะวันคล้อยต่ำ แสงสีทองสาดส่องกระทบผืนน้ำในลำธารซีหลิน ทำให้ผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดุจดวงดาวนับร้อยที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
ตู้เยี่ยนอวี่ยืนอยู่ริมท่าน้ำ มือเรียวบางกำลังซักผ้าอย่างคล่องแคล่ว ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าสตรีในหมู่บ้านที่กำลังทำกิจวัตรประจำวัน การเรียนรู้งานบ้านงานเรือนเหล่านี้เป็นดั่งบทเรียนสำคัญที่ทำให้นางเข้าใจชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้อย่างลึกซึ้งขึ้นทีละน้อย
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ ช่างขยันขันแข็งยิ่งนัก” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นขณะเดินผ่านไป นางมีใบหน้ายิ้มแย้ม และแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“ท่านป้ากล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยรอยยิ้มงดงาม ดุจดอกเหมยยามแรกแย้ม “ข้าเพียงช่วยแบ่งเบาภาระของท่านแม่เท่านั้นเจ้าค่ะ”
คำพูดของนางดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ยากที่จะมีใครล่วงรู้ว่าเบื้องลึกในจิตใจของสตรีผู้นี้ ยังคงหลงเหลือเศษเสี้ยวความทรงจำจากโลกที่ห่างไกลออกไปนับพันปี
หลังจากกลับจากท่าน้ำเยี่ยนอวี่ก็ตรงไปยังห้องสมุดของตระกูลทันที ห้องสมุดแห่งนี้เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยชั้นดีสำหรับนาง เป็นสถานที่ที่นางสามารถดำดิ่งลงไปในโลกที่เต็มไปด้วยความรู้ และค้นพบหนทางที่จะใช้ชีวิตในยุคสมัยนี้ได้อย่างมีคุณค่า
“ตำราเล่มนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก” นางพึมพำกับตนเอง ขณะหยิบม้วนคัมภีร์เก่าแก่เล่มหนึ่งออกจากชั้นวาง ม้วนคัมภีร์นั้นมีกลิ่นอายของกาลเวลา ห่อหุ้มด้วยผ้าไหมสีน้ำตาลที่ซีดจางลงไปตามกาลเวลา
นางคลี่ม้วนคัมภีร์ออกอย่างระมัดระวัง ภายในเป็นตัวอักษรโบราณที่เขียนด้วยพู่กันอย่างวิจิตรบรรจง ไม่ใช่ตำราปรัชญา ไม่ใช่ตำราประวัติศาสตร์ แต่เป็นตำราว่าด้วยการบำบัดรักษาโรคด้วยวิชาธาตุและเส้นลมปราณ
ตู้เยี่ยนอวี่ผู้ซึ่งเคยร่ำเรียนวิชาแพทย์แผนปัจจุบันมาอย่างเชี่ยวชาญ ถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ
เมื่อพิจารณาเนื้อหาในตำราแล้ว นางก็พบว่าหลักการบางอย่างนั้นคล้ายคลึงกับหลักการทำงานของระบบประสาทและอวัยวะภายในของมนุษย์ที่นางเคยศึกษามา เพียงแต่ถูกอธิบายด้วยภาษาและแนวคิดที่แตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง
“ลมปราณ เส้นชีพจร ธาตุทั้งห้า...” นางไล่อ่านตัวอักษรเหล่านั้นช้า ๆ แต่ละคำเปรียบดั่งสถานที่ที่เต็มไปด้วยความรู้แปลกใหม่ “นี่อาจจะเป็นวิชาการแพทย์ในยุคนี้ก็เป็นได้”
จากความทรงจำเดิมของร่างนี้ที่เสี่ยวจูเล่าให้ฟัง ตู้เยี่ยนอวี่เจ้าของร่างคนเดิมนั้นเป็นเด็กที่ใฝ่รู้ และมักจะใช้เวลาในห้องสมุดอยู่เสมอ การที่นางสนใจตำราแพทย์จึงมิใช่เรื่องแปลกอันใด
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นอกจากกิจวัตรประจำวันที่นางต้องเรียนรู้แล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ได้เพิ่มการศึกษาตำราเล่มนี้เข้าไปด้วย นางจะจุดตะเกียงน้ำมันเบา ๆ และอ่านตำราเล่มนั้นอย่างตั้งใจ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ทุกตัวอักษรก็เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่เพาะบ่มความรู้ในจิตใจของนาง
“ลมปราณแห่งชีวิต เปรียบดุจสายน้ำที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งในร่าง” นางพึมพำกับตนเองขณะอ่านบทหนึ่งในตำรา “หากสายน้ำติดขัด ย่อมเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้”
หลักการนี้คล้ายคลึงกับการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายมนุษย์ที่นางเคยเรียนรู้มา ทำให้ตู้เยี่ยนอวี่รู้สึกตื่นเต้น
-
เดือนแปด รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก
ยามย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่มก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองและแดงก่ำ ดุจภาพวาดที่งดงาม
ตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาศึกษาตำราวิชาธาตุและเส้นลมปราณอย่างจริงจัง นางพยายามเชื่อมโยงความรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบันเข้ากับหลักการโบราณเหล่านี้ แม้จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีจุดร่วมบางอย่างที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้
วันหนึ่งขณะที่นางกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องสมุด เสียงร้องไห้คร่ำครวญก็ดังมาจากนอกเรือน ดุจเสียงกรีดร้องของวิญญาณที่ทุกข์ทรมาน เสี่ยวจูรีบวิ่งเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก
“คุณหนูแย่แล้วเจ้าค่ะ ! อาเหยาบุตรชายของป้าเหมยที่อยู่ท้ายหมู่บ้านล้มป่วยหนัก ตัวร้อนจัดจนชักเกร็งไปแล้วเจ้าค่ะ !”
ตู้เยี่ยนอวี่ได้ยินดังนั้นก็รีบผุดลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความตกใจ “พาข้าไปดูเดี๋ยวนี้ !”
นางลืมไปเสียสิ้นว่าตนมิใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโลกเดิมอีกต่อไป หากแต่เป็นเพียงเด็กสาววัยสิบสี่ปีในยุคโบราณ แต่สัญชาตญาณของการเป็นผู้ช่วยเหลือชีวิตมิได้จางหายไปจากจิตใจของนางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงเรือนของป้าเหมยก็พบว่ามีชาวบ้านหลายคนยืนมุงดูด้วยความเป็นห่วง อาเหยานอนอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากเขียวคล้ำ ข้าง ๆ กันมีป้าเหมยที่กำลังนั่งร่ำไห้แทบขาดใจ
“คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่มาแล้ว !” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น ทำให้ผู้คนหันมามองด้วยความหวัง
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้สนใจสายตาของใคร นางคุกเข่าลงข้างกายอาเหยาทันที มือเรียวบางสัมผัสหน้าผากที่ร้อนระอุของเด็กน้อย
“ตัวร้อนจัดจริง ๆ” นางพึมพำ “เสี่ยวจูเจ้าไปนำน้ำสะอาดกับผ้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ !”
เสี่ยวจูรีบไปตามคำสั่ง ในขณะที่ตู้เยี่ยนอวี่ก็เริ่มตรวจดูอาการของอาเหยาอย่างละเอียด ดุจหมอผู้เชี่ยวชาญที่กำลังวินิจฉัยโรค นางจับชีพจร ตรวจดูลิ้น และพยายามฟังเสียงหายใจที่แผ่วเบาของเด็กน้อย
“อุณหภูมิกายสูงมาก ลมปราณติดขัด มีอาการชักเกร็ง” นางรำพึงกับตนเอง พร้อมกับนึกย้อนถึงตำราวิชาธาตุและเส้นลมปราณที่เพิ่งศึกษามา “ลมปราณของเขาถูกปิดกั้น ต้องทำการเปิดทางลมปราณ”
เมื่อได้น้ำและผ้าแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้อาเหยาอย่างรวดเร็วและใจเย็น ก่อนที่นางจะหันไปหาป้าเหมย “ป้าเหมย ในเรือนมีขิงแห้งหรือไม่เจ้าคะ ?”
ป้าเหมยพยักหน้าทั้งน้ำตา “มีเจ้าค่ะ มีอยู่ในครัว”
“นำมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่กล่าว
เมื่อได้ขิงมาแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ใช้มีดฝานขิงเป็นแผ่นบาง ๆ แล้ววางลงบนจุดชีพจรบางแห่งตามตำราที่ได้ศึกษามา พลางใช้ปลายนิ้วกดคลึงเบา ๆ
“คุณหนูจะทำอันใดเจ้าคะ ?” ป้าเหมยถามด้วยความสงสัยระคนกังวล
“ข้ากำลังจะช่วยเปิดทางลมปราณให้อาเหยาเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง ดวงตาฉายแววแน่วแน่ “เพื่อให้ความร้อนในกายของเขาคลายลง”
ชาวบ้านที่มุงดูต่างส่งเสียงซุบซิบนินทาดุจผึ้งที่แตกรัง หลายคนมิเข้าใจในสิ่งที่เยี่ยนอวี่กระทำ เพราะมิเคยเห็นการรักษาเยี่ยงนี้มาก่อน มีเพียงหมอหลี่ผู้ชราที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก กำลังมองเยี่ยนอวี่ด้วยแววตาครุ่นคิด
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้สนใจเสียงซุบซิบเหล่านั้น นางยังคงกดคลึงจุดชีพจรของอาเหยาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับท่องจำบทคัมภีร์ที่ได้ศึกษามาในใจ
ผ่านไปไม่นานอาการชักเกร็งของอาเหยาก็เริ่มทุเลาลง ใบหน้าของเด็กน้อยที่เคยซีดขาวก็เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นทีละน้อย
“คุณหนู ! อาการอาเหยาดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ !” เสี่ยวจูร้องอุทานด้วยความยินดี
ป้าเหมยถึงกับทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าตู้เยี่ยนอวี่
“ขอบคุณคุณหนูยิ่งนักเจ้าค่ะ ! คุณหนูคือผู้มีพระคุณของข้าและบุตรชาย !”
ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงป้าเหมยขึ้น “ป้าเหมยมิต้องทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามหน้าที่ของมนุษย์เท่านั้น” นางหันไปหาชาวบ้านที่มุงดู “อาเหยายังต้องพักผ่อนให้มาก และดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ เพื่อขับพิษไข้เจ้าค่ะ”
หมอหลี่ผู้ชราเดินเข้ามาใกล้ตู้เยี่ยนอวี่ เขามองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทึ่ง
“แม่นางน้อยตู้ วิชาการแพทย์ของเจ้าช่างล้ำลึกยิ่งนัก ข้ามิเคยพบพานผู้ใดรักษาด้วยวิธีนี้มาก่อน”
ตู้เยี่ยนอวี่โค้งคำนับเล็กน้อย
“ข้าเพียงอาศัยความรู้ที่ได้ศึกษาจากตำราเก่าแก่ของตระกูลเจ้าค่ะ” นางมิอาจบอกความจริงได้ว่าความรู้บางส่วนนั้นมาจากโลกที่ไกลแสนไกล
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่ก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วหมู่บ้านซีหลินและหมู่บ้านใกล้เคียง ดุจกระแสลมที่พัดพาลอยไปไกล ผู้คนต่างเรียกขานนางว่าหมอเทวดาตู้ แม้จะยังเด็กนัก แต่ความสามารถและจิตใจอันเมตตาของนางก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คน
ยามรัตติกาลอันเงียบสงัด ตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองดวงจันทร์ที่ส่องสว่างบนฟากฟ้า เสียงแมลงครางระงม
ความสำเร็จในวันนี้ทำให้ใจนางเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่ก็มิได้หลงระเริง
“การช่วยเหลือผู้อื่นช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษยิ่งนัก” นางพึมพำกับตนเอง “ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นเช่นไร ขอเพียงได้ทำสิ่งที่ตนรัก ก็เพียงพอแล้ว”
ยามฟ้าครามสดใส แสงตะวันสาดส่องลงมายังผืนดินร้อนระอุ แม้ไอแดดจะแผดจ้าเพียงใด แต่ก็มิอาจห้ามยั้งความตั้งใจของตู้เยี่ยนอวี่ได้เลยนางยังคงฝึกฝนวิชากำลังภายในอย่างมุ่งมั่น บริเวณลานหลังบ้านที่เงียบสงบ ต้นไผ่ที่ปลูกเรียงรายส่งเสียงเสียดสีกันตามแรงลม ดุจเสียงกระซิบจากธรรมชาติที่ช่วยให้นางเข้าถึงสมาธิได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนางเคลื่อนไหวช้า ๆ แต่แฝงด้วยความแข็งแกร่งและคล่องแคล่ว ดุจกระเรียนที่กำลังร่ายรำเพลงยุทธ์ ท่วงท่าแต่ละท่วงท่าล้วนเชื่อมโยงกันอย่างเป็นธรรมชาติ ลมปราณในกายไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอ ดุจสายน้ำที่ไหลรินในลำธารที่แห้งแล้งบัดนี้นางสามารถควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น“ลมหายใจต้องเป็นหนึ่งเดียวกับลมปราณ” เสียงคำสอนในตำราดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของนาง “เมื่อจิตมั่นคง ลมปราณย่อมบริสุทธิ์และไหลเวียนได้อย่างไร้ขีดจำกัด”ในทุก ๆ วันนางจะใช้เวลาในยามเช้าตรู่และยามค่ำคืนในการฝึกฝนวิชากำลังภายใน บางครั้งก็ฝึกซ้อมท่ารำมวยจีนโบราณ บางครั้งก็นั่งสมาธิเพื่อปรับลมปราณให้สมดุล แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด แต่นางก็มิเคยท้อถอย เพราะรู้ดีว่าการฝึกฝนเหล่านี้จะช่วยให้ร
เดือนสี่ ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเจ็ดยามอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังหมู่บ้านซีหลิน ดุจแพรไหมสีทองที่คลี่คลุมผืนปฐพี เสียงระฆังจากวัดท้ายหมู่บ้านดังกังวานแผ่วเบา ดุจเสียงเรียกจากสรวงสวรรค์ตู้เยี่ยนอวี่ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราด้วยจิตใจที่สงบและปลอดโปร่ง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานางมิเพียงแค่ร่ำเรียนวิชาการแพทย์และกำลังภายในเท่านั้น หากแต่ยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายกลมกลืนกับผู้คนในหมู่บ้านวันนี้นางมีนัดกับท่านผู้เฒ่าหลี่ หมอประจำหมู่บ้านที่เคยประจักษ์ในฝีมือของนางเมื่อคราวก่อน แม้จะเป็นผู้เฒ่า แต่ท่านผู้เฒ่าหลี่ก็เป็นผู้ที่มีจิตใจเปิดกว้าง ยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และมิได้ยึดติดกับความรู้เก่า ๆ เลย“คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่ มาแต่เช้าเลยนะ” ท่านผู้เฒ่าหลี่เอ่ยทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ยามเห็นเยี่ยนอวี่ก้าวเข้ามาในเรือนยาของเขา“คารวะท่านผู้เฒ่าหลี่เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ข้าเพียงอยากมาขอคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”“เชิญนั่งก่อนเถิด” ท่านผู้เฒ่าหลี่ผายมือเชิญไปยังที่นั่งว่าง “มิรู้ว่าวันนี้แม่นางมีข้อสงสัยอันใดหรือ ?”ตู้เยี่ยนอวี่นั่งลงอย่างเรียบร้อย“ข้ากำลังศึกษาต
ยามตรุษวสันต์¹เวียนมาบรรจบ อากาศยังคงเย็นยะเยือกทว่าภายในเรือนเล็กของสกุลตู้กลับอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและบรรยากาศอันผ่อนคลาย ตู้เยี่ยนอวี่ในวัยสิบห้าปีบริบูรณ์ นั่งอยู่บนเสื่อฟางผืนบางภายในห้องของตนเอง ดวงตาหลับพริ้ม ใบหน้าสงบนิ่ง ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เป็นจังหวะที่มิเร่งร้อน มิช้าเกินไปนี่มิใช่การพักผ่อนธรรมดา หากแต่เป็นการฝึกฝนวิชากำลังภายในจากม้วนคัมภีร์เก่าแก่ที่นางค้นพบโดยบังเอิญเมื่อหลายเดือนก่อน แม้ตำราจะเขียนด้วยภาษาที่ยากจะเข้าใจในตอนแรก แต่ด้วยความเพียรพยายามและสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด ตู้เยี่ยนอวี่ก็ค่อย ๆ ตีความและทำความเข้าใจหลักการต่าง ๆ ได้ทีละน้อย‘ลมปราณคือรากฐานแห่งชีวิต พลังงานหมุนเวียนในกายเปรียบดุจแม่น้ำที่ไหลหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง’ เสียงท่องจำในตำราดังขึ้นในห้วงความคิดของนาง ‘หากแม่น้ำบริสุทธิ์และไหลเวียนสะดวก ร่างกายย่อมแข็งแรงและอายุยืนยาว’นางจินตนาการถึงเส้นลมปราณในร่างกายของตนเอง แต่สัมผัสได้ถึงกระแสพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ภายใน ทุกครั้งที่ลมปราณไหลเวียนผ่านจุดชีพจรสำคัญ ความรู้สึกร้อนวูบวาบก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างแรกเริ่ม การฝึกฝนเป็นไปด้วยความยากลำบาก นางมิอาจคว
ยามลมหนาวเริ่มพัดโชยมา ต้นไม้ในหมู่บ้านซีหลินเริ่มผลัดใบ ทิ้งความเขียวชอุ่มของฤดูร้อนไว้เบื้องหลัง ทว่าในใจของตู้เยี่ยนอวี่กลับมิได้มีแม้แต่ความเหี่ยวเฉา ดุจบุปผาที่ไม่เคยโรยรา ชื่อเสียงของหมอเทวดาตูได้แผ่ขยายออกไปไกลกว่าที่นางคาดคิด ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงเริ่มเดินทางมาขอความช่วยเหลือมิขาดสาย ตั้งแต่ยามอรุณรุ่งจนกระทั่งยามสนธยา“คุณหนูเจ้าคะ มีชาวบ้านจากหมู่บ้านไผ่เขียวมาขอพบเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูรายงานด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่นัยน์ตากลับเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวนายหญิงของตนตู้เยี่ยนอวี่ที่กำลังจัดเรียงสมุนไพรในห้องปรุงยา หันมายิ้มอย่างอ่อนโยน“เชิญเขาเข้ามาเถิดเสี่ยวจู”ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ ใบหน้าฉายแววความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กสาววัยราวสิบขวบปีที่กำลังไอโขลก ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม“คารวะหมอเทวดาตู้ ขอท่านโปรดช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด นางป่วยมาหลายวันแล้ว กินยาก็ไม่หาย ไอจนตัวโยน แทบจะขาดใจแล้วขอรับ” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน พร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเยี่ยนอวี่ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงชายผู้นั้นขึ้น“ท่านลุงมิต้องทำเช่นนั้นเจ้
ยามตะวันคล้อยต่ำ แสงสีทองสาดส่องกระทบผืนน้ำในลำธารซีหลิน ทำให้ผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดุจดวงดาวนับร้อยที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าตู้เยี่ยนอวี่ยืนอยู่ริมท่าน้ำ มือเรียวบางกำลังซักผ้าอย่างคล่องแคล่ว ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าสตรีในหมู่บ้านที่กำลังทำกิจวัตรประจำวัน การเรียนรู้งานบ้านงานเรือนเหล่านี้เป็นดั่งบทเรียนสำคัญที่ทำให้นางเข้าใจชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้อย่างลึกซึ้งขึ้นทีละน้อย“คุณหนูเยี่ยนอวี่ ช่างขยันขันแข็งยิ่งนัก” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นขณะเดินผ่านไป นางมีใบหน้ายิ้มแย้ม และแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม“ท่านป้ากล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยรอยยิ้มงดงาม ดุจดอกเหมยยามแรกแย้ม “ข้าเพียงช่วยแบ่งเบาภาระของท่านแม่เท่านั้นเจ้าค่ะ”คำพูดของนางดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ยากที่จะมีใครล่วงรู้ว่าเบื้องลึกในจิตใจของสตรีผู้นี้ ยังคงหลงเหลือเศษเสี้ยวความทรงจำจากโลกที่ห่างไกลออกไปนับพันปีหลังจากกลับจากท่าน้ำเยี่ยนอวี่ก็ตรงไปยังห้องสมุดของตระกูลทันที ห้องสมุดแห่งนี้เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยชั้นดีสำหรับนาง เป็นสถานที่ที่นางสามารถดำดิ่งลงไปในโลกที่เต็มไปด้วยความรู้ และค้นพบหนทางที่จะใช้ชีวิต
ยามอรุณเบิกฟ้า แสงเงินยวงของรุ่งอรุณทาบทาผืนฟ้าสีคราม ส่งมอบความอบอุ่นแก่โลกหล้า แม้จิตใจของตู้เยี่ยนอวี่จะยังคงสับสนดุจเรือน้อยกลางทะเลกว้าง แต่กายเนื้อกลับเริ่มฟื้นฟูคืนกำลังทีละน้อยเสียงเจื้อยแจ้วของนกน้อยนอกหน้าต่าง และกลิ่นไอดินที่ลอยมาตามสายลมยามเช้า ล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาในโสตประสาทของนาง¹“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ?” เสี่ยวจูผู้เป็นดุจเงาตามตัวของนาง เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารเช้าที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมกรุ่น “ฮูหยินสั่งให้บ่าวทำโจ๊กสมุนไพรบำรุงกำลังมาให้เจ้าค่ะ”ตู้เยี่ยนอวี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองไปยังเสี่ยวจูที่กำลังจัดสำรับอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางของนางดูเป็นธรรมชาติและคุ้นเคย ดุจพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน แตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างนายกับบ่าวที่นางเคยจินตนาการไว้จากนวนิยายโบราณโดยสิ้นเชิง“ข้ามิได้เป็นอันใดแล้ว” เยี่ยนอวี่ตอบเสียงเบา พลางพยุงกายขึ้นนั่งพิงหมอน “แค่ยังรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง”เสี่ยวจูส่งถ้วยโจ๊กมาให้ เยี่ยนอวี่จึงรับมาถือไว้สัมผัสถึงไออุ่นที่แผ่ออกมาจากถ้วย หน้าตาของโจ๊กนั้นขาวนวล มีกลิ่นหอมของข้าวและสมุนไพรบางชนิดลอยแตะจมูก“คุณหนูต้อ