ยามตะวันคล้อยต่ำ แสงสีทองสาดส่องกระทบผืนน้ำในลำธารซีหลิน ทำให้ผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดุจดวงดาวนับร้อยที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
ตู้เยี่ยนอวี่ยืนอยู่ริมท่าน้ำ มือเรียวบางกำลังซักผ้าอย่างคล่องแคล่ว ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าสตรีในหมู่บ้านที่กำลังทำกิจวัตรประจำวัน การเรียนรู้งานบ้านงานเรือนเหล่านี้เป็นดั่งบทเรียนสำคัญที่ทำให้นางเข้าใจชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้อย่างลึกซึ้งขึ้นทีละน้อย
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ ช่างขยันขันแข็งยิ่งนัก” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นขณะเดินผ่านไป นางมีใบหน้ายิ้มแย้ม และแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“ท่านป้ากล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยรอยยิ้มงดงาม ดุจดอกเหมยยามแรกแย้ม “ข้าเพียงช่วยแบ่งเบาภาระของท่านแม่เท่านั้นเจ้าค่ะ”
คำพูดของนางดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ยากที่จะมีใครล่วงรู้ว่าเบื้องลึกในจิตใจของสตรีผู้นี้ ยังคงหลงเหลือเศษเสี้ยวความทรงจำจากโลกที่ห่างไกลออกไปนับพันปี
หลังจากกลับจากท่าน้ำเยี่ยนอวี่ก็ตรงไปยังห้องสมุดของตระกูลทันที ห้องสมุดแห่งนี้เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยชั้นดีสำหรับนาง เป็นสถานที่ที่นางสามารถดำดิ่งลงไปในโลกที่เต็มไปด้วยความรู้ และค้นพบหนทางที่จะใช้ชีวิตในยุคสมัยนี้ได้อย่างมีคุณค่า
“ตำราเล่มนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก” นางพึมพำกับตนเอง ขณะหยิบม้วนคัมภีร์เก่าแก่เล่มหนึ่งออกจากชั้นวาง ม้วนคัมภีร์นั้นมีกลิ่นอายของกาลเวลา ห่อหุ้มด้วยผ้าไหมสีน้ำตาลที่ซีดจางลงไปตามกาลเวลา
นางคลี่ม้วนคัมภีร์ออกอย่างระมัดระวัง ภายในเป็นตัวอักษรโบราณที่เขียนด้วยพู่กันอย่างวิจิตรบรรจง ไม่ใช่ตำราปรัชญา ไม่ใช่ตำราประวัติศาสตร์ แต่เป็นตำราว่าด้วยการบำบัดรักษาโรคด้วยวิชาธาตุและเส้นลมปราณ
ตู้เยี่ยนอวี่ผู้ซึ่งเคยร่ำเรียนวิชาแพทย์แผนปัจจุบันมาอย่างเชี่ยวชาญ ถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ
เมื่อพิจารณาเนื้อหาในตำราแล้ว นางก็พบว่าหลักการบางอย่างนั้นคล้ายคลึงกับหลักการทำงานของระบบประสาทและอวัยวะภายในของมนุษย์ที่นางเคยศึกษามา เพียงแต่ถูกอธิบายด้วยภาษาและแนวคิดที่แตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง
“ลมปราณ เส้นชีพจร ธาตุทั้งห้า...” นางไล่อ่านตัวอักษรเหล่านั้นช้า ๆ แต่ละคำเปรียบดั่งสถานที่ที่เต็มไปด้วยความรู้แปลกใหม่ “นี่อาจจะเป็นวิชาการแพทย์ในยุคนี้ก็เป็นได้”
จากความทรงจำเดิมของร่างนี้ที่เสี่ยวจูเล่าให้ฟัง ตู้เยี่ยนอวี่เจ้าของร่างคนเดิมนั้นเป็นเด็กที่ใฝ่รู้ และมักจะใช้เวลาในห้องสมุดอยู่เสมอ การที่นางสนใจตำราแพทย์จึงมิใช่เรื่องแปลกอันใด
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นอกจากกิจวัตรประจำวันที่นางต้องเรียนรู้แล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ได้เพิ่มการศึกษาตำราเล่มนี้เข้าไปด้วย นางจะจุดตะเกียงน้ำมันเบา ๆ และอ่านตำราเล่มนั้นอย่างตั้งใจ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ทุกตัวอักษรก็เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่เพาะบ่มความรู้ในจิตใจของนาง
“ลมปราณแห่งชีวิต เปรียบดุจสายน้ำที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งในร่าง” นางพึมพำกับตนเองขณะอ่านบทหนึ่งในตำรา “หากสายน้ำติดขัด ย่อมเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้”
หลักการนี้คล้ายคลึงกับการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายมนุษย์ที่นางเคยเรียนรู้มา ทำให้ตู้เยี่ยนอวี่รู้สึกตื่นเต้น
-
เดือนแปด รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก
ยามย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่มก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองและแดงก่ำ ดุจภาพวาดที่งดงาม
ตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาศึกษาตำราวิชาธาตุและเส้นลมปราณอย่างจริงจัง นางพยายามเชื่อมโยงความรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบันเข้ากับหลักการโบราณเหล่านี้ แม้จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีจุดร่วมบางอย่างที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้
วันหนึ่งขณะที่นางกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องสมุด เสียงร้องไห้คร่ำครวญก็ดังมาจากนอกเรือน ดุจเสียงกรีดร้องของวิญญาณที่ทุกข์ทรมาน เสี่ยวจูรีบวิ่งเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก
“คุณหนูแย่แล้วเจ้าค่ะ ! อาเหยาบุตรชายของป้าเหมยที่อยู่ท้ายหมู่บ้านล้มป่วยหนัก ตัวร้อนจัดจนชักเกร็งไปแล้วเจ้าค่ะ !”
ตู้เยี่ยนอวี่ได้ยินดังนั้นก็รีบผุดลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความตกใจ “พาข้าไปดูเดี๋ยวนี้ !”
นางลืมไปเสียสิ้นว่าตนมิใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโลกเดิมอีกต่อไป หากแต่เป็นเพียงเด็กสาววัยสิบสี่ปีในยุคโบราณ แต่สัญชาตญาณของการเป็นผู้ช่วยเหลือชีวิตมิได้จางหายไปจากจิตใจของนางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงเรือนของป้าเหมยก็พบว่ามีชาวบ้านหลายคนยืนมุงดูด้วยความเป็นห่วง อาเหยานอนอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากเขียวคล้ำ ข้าง ๆ กันมีป้าเหมยที่กำลังนั่งร่ำไห้แทบขาดใจ
“คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่มาแล้ว !” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น ทำให้ผู้คนหันมามองด้วยความหวัง
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้สนใจสายตาของใคร นางคุกเข่าลงข้างกายอาเหยาทันที มือเรียวบางสัมผัสหน้าผากที่ร้อนระอุของเด็กน้อย
“ตัวร้อนจัดจริง ๆ” นางพึมพำ “เสี่ยวจูเจ้าไปนำน้ำสะอาดกับผ้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ !”
เสี่ยวจูรีบไปตามคำสั่ง ในขณะที่ตู้เยี่ยนอวี่ก็เริ่มตรวจดูอาการของอาเหยาอย่างละเอียด ดุจหมอผู้เชี่ยวชาญที่กำลังวินิจฉัยโรค นางจับชีพจร ตรวจดูลิ้น และพยายามฟังเสียงหายใจที่แผ่วเบาของเด็กน้อย
“อุณหภูมิกายสูงมาก ลมปราณติดขัด มีอาการชักเกร็ง” นางรำพึงกับตนเอง พร้อมกับนึกย้อนถึงตำราวิชาธาตุและเส้นลมปราณที่เพิ่งศึกษามา “ลมปราณของเขาถูกปิดกั้น ต้องทำการเปิดทางลมปราณ”
เมื่อได้น้ำและผ้าแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้อาเหยาอย่างรวดเร็วและใจเย็น ก่อนที่นางจะหันไปหาป้าเหมย “ป้าเหมย ในเรือนมีขิงแห้งหรือไม่เจ้าคะ ?”
ป้าเหมยพยักหน้าทั้งน้ำตา “มีเจ้าค่ะ มีอยู่ในครัว”
“นำมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่กล่าว
เมื่อได้ขิงมาแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ใช้มีดฝานขิงเป็นแผ่นบาง ๆ แล้ววางลงบนจุดชีพจรบางแห่งตามตำราที่ได้ศึกษามา พลางใช้ปลายนิ้วกดคลึงเบา ๆ
“คุณหนูจะทำอันใดเจ้าคะ ?” ป้าเหมยถามด้วยความสงสัยระคนกังวล
“ข้ากำลังจะช่วยเปิดทางลมปราณให้อาเหยาเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง ดวงตาฉายแววแน่วแน่ “เพื่อให้ความร้อนในกายของเขาคลายลง”
ชาวบ้านที่มุงดูต่างส่งเสียงซุบซิบนินทาดุจผึ้งที่แตกรัง หลายคนมิเข้าใจในสิ่งที่เยี่ยนอวี่กระทำ เพราะมิเคยเห็นการรักษาเยี่ยงนี้มาก่อน มีเพียงหมอหลี่ผู้ชราที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก กำลังมองเยี่ยนอวี่ด้วยแววตาครุ่นคิด
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้สนใจเสียงซุบซิบเหล่านั้น นางยังคงกดคลึงจุดชีพจรของอาเหยาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับท่องจำบทคัมภีร์ที่ได้ศึกษามาในใจ
ผ่านไปไม่นานอาการชักเกร็งของอาเหยาก็เริ่มทุเลาลง ใบหน้าของเด็กน้อยที่เคยซีดขาวก็เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นทีละน้อย
“คุณหนู ! อาการอาเหยาดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ !” เสี่ยวจูร้องอุทานด้วยความยินดี
ป้าเหมยถึงกับทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าตู้เยี่ยนอวี่
“ขอบคุณคุณหนูยิ่งนักเจ้าค่ะ ! คุณหนูคือผู้มีพระคุณของข้าและบุตรชาย !”
ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงป้าเหมยขึ้น “ป้าเหมยมิต้องทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามหน้าที่ของมนุษย์เท่านั้น” นางหันไปหาชาวบ้านที่มุงดู “อาเหยายังต้องพักผ่อนให้มาก และดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ เพื่อขับพิษไข้เจ้าค่ะ”
หมอหลี่ผู้ชราเดินเข้ามาใกล้ตู้เยี่ยนอวี่ เขามองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทึ่ง
“แม่นางน้อยตู้ วิชาการแพทย์ของเจ้าช่างล้ำลึกยิ่งนัก ข้ามิเคยพบพานผู้ใดรักษาด้วยวิธีนี้มาก่อน”
ตู้เยี่ยนอวี่โค้งคำนับเล็กน้อย
“ข้าเพียงอาศัยความรู้ที่ได้ศึกษาจากตำราเก่าแก่ของตระกูลเจ้าค่ะ” นางมิอาจบอกความจริงได้ว่าความรู้บางส่วนนั้นมาจากโลกที่ไกลแสนไกล
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่ก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วหมู่บ้านซีหลินและหมู่บ้านใกล้เคียง ดุจกระแสลมที่พัดพาลอยไปไกล ผู้คนต่างเรียกขานนางว่าหมอเทวดาตู้ แม้จะยังเด็กนัก แต่ความสามารถและจิตใจอันเมตตาของนางก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คน
ยามรัตติกาลอันเงียบสงัด ตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองดวงจันทร์ที่ส่องสว่างบนฟากฟ้า เสียงแมลงครางระงม
ความสำเร็จในวันนี้ทำให้ใจนางเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่ก็มิได้หลงระเริง
“การช่วยเหลือผู้อื่นช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษยิ่งนัก” นางพึมพำกับตนเอง “ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นเช่นไร ขอเพียงได้ทำสิ่งที่ตนรัก ก็เพียงพอแล้ว”
ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน
กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว
ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให
ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ
บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ