ยามตรุษวสันต์¹เวียนมาบรรจบ อากาศยังคงเย็นยะเยือก
ทว่าภายในเรือนเล็กของสกุลตู้กลับอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและบรรยากาศอันผ่อนคลาย ตู้เยี่ยนอวี่ในวัยสิบห้าปีบริบูรณ์ นั่งอยู่บนเสื่อฟางผืนบางภายในห้องของตนเอง ดวงตาหลับพริ้ม ใบหน้าสงบนิ่ง ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เป็นจังหวะที่มิเร่งร้อน มิช้าเกินไป
นี่มิใช่การพักผ่อนธรรมดา หากแต่เป็นการฝึกฝนวิชากำลังภายในจากม้วนคัมภีร์เก่าแก่ที่นางค้นพบโดยบังเอิญเมื่อหลายเดือนก่อน แม้ตำราจะเขียนด้วยภาษาที่ยากจะเข้าใจในตอนแรก แต่ด้วยความเพียรพยายามและสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด ตู้เยี่ยนอวี่ก็ค่อย ๆ ตีความและทำความเข้าใจหลักการต่าง ๆ ได้ทีละน้อย
‘ลมปราณคือรากฐานแห่งชีวิต พลังงานหมุนเวียนในกายเปรียบดุจแม่น้ำที่ไหลหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง’ เสียงท่องจำในตำราดังขึ้นในห้วงความคิดของนาง ‘หากแม่น้ำบริสุทธิ์และไหลเวียนสะดวก ร่างกายย่อมแข็งแรงและอายุยืนยาว’
นางจินตนาการถึงเส้นลมปราณในร่างกายของตนเอง แต่สัมผัสได้ถึงกระแสพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ภายใน ทุกครั้งที่ลมปราณไหลเวียนผ่านจุดชีพจรสำคัญ ความรู้สึกร้อนวูบวาบก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
แรกเริ่ม การฝึกฝนเป็นไปด้วยความยากลำบาก นางมิอาจควบคุมลมปราณได้อย่างใจนึก บางครั้งก็รู้สึกเจ็บปวด บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยล้า แต่ด้วยความมุ่งมั่นและอดทน ตู้เยี่ยนอวี่ก็มิเคยท้อถอย นางระลึกอยู่เสมอว่าวิชาความรู้เหล่านี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้นางเอาชีวิตรอดในโลกใบนี้ได้ และยังสามารถนำไปช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย
“คุณหนูเจ้าคะ ถึงเวลาอาหารเช้าแล้วเจ้าค่ะ” เสียงเรียกของเสี่ยวจูดังขึ้นจากนอกห้องอย่างแผ่วเบา เกรงว่าจะรบกวนนายหญิงของตน
ตู้เยี่ยนอวี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ทว่าแววตาของนางฉายประกายความสงบและแจ่มใส ดุจท้องฟ้าหลังพายุฝนผ่านพ้นไป ความรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย
“เข้ามาเถิดเสี่ยวจู” นางตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
เมื่อเสี่ยวจูเข้ามาในห้อง นางก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณหนูของตน ดวงตาที่เคยฉายแววกังวลเมื่อแรกเริ่มนั้น บัดนี้กลับเปี่ยมไปด้วยความมั่นคงและสงบนิ่ง รูปร่างที่เคยบอบบางก็ดูแข็งแรงขึ้นเล็กน้อย
“วันนี้คุณหนูดูสดใสยิ่งนักเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูเอ่ยชมด้วยความจริงใจ
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มตอบ มิได้กล่าวอันใด
นางรู้ดีว่านี่เป็นผลมาจากการฝึกฝนกำลังภายในที่นางเพิ่งเริ่มต้น เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล แต่เพียงแค่การเริ่มต้นก็ทำให้ร่างกายและจิตใจของนางแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว
–
วันเวลาผันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทว่ายามนี้วันเวลาก็ผันผ่านมาได้เดือนแล้วเดือนเล่าแล้ว
ยามฤดูใบไม้ผลิกลับมาเยือนอีกครา ต้นไม้ในหมู่บ้านซีหลินเริ่มผลิใบอ่อน ดอกไม้นานาชนิดเริ่มเบ่งบานส่งกลิ่นหอมกรุ่น
ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาชื่อเสียงของหมอเทวดาตู้ได้เป็นที่เลื่องลือไปไกลยิ่งนัก ดุจสายลมที่พัดพานำพาเอาข่าวสารไปทุกทิศทุกทาง ไม่เพียงแต่ชาวบ้านในหมู่บ้านซีหลินและหมู่บ้านใกล้เคียงเท่านั้นที่มาขอความช่วยเหลือ แม้แต่ผู้คนจากหัวเมืองอื่นก็เริ่มหลั่งไหลมาขอคำปรึกษาจากนาง
วันหนึ่ง ชายสูงวัยผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมเนื้อดี ใบหน้าฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด ได้เดินทางมาพร้อมกับบุตรสาวที่ป่วยหนัก บุตรสาวของเขามีอาการผื่นคันแดงไปทั่วตัว มีไข้สูง และอ่อนเพลียอย่างมาก
“คารวะหมอเทวดาตู้ ขอท่านโปรดเมตตาช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ข้าเดินทางมาจากเมืองจิ่นหยาง มิมีแพทย์ผู้ใดในเมืองจิ่นหยางสามารถรักษาบุตรสาวของข้าได้เลยขอรับ”
ตู้เยี่ยนอวี่ก้าวเข้ามาใกล้ มองดูอาการของเด็กสาวอย่างละเอียดถี่ถ้วน นางสัมผัสที่ผิวหนังที่ร้อนผ่าว และตรวจดูอาการอื่น ๆ อย่างใจเย็น
“นี่คือโรคผื่นไฟ ซึ่งเกิดจากความร้อนสะสมในกายและลมปราณอุดกั้น” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “มิใช่โรคร้ายแรง แต่ต้องใช้เวลาในการบำบัดรักษา”
ชายผู้นั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ขอท่านโปรดช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด หากนางหายจากอาการป่วย ข้ายินดีตอบแทนท่านอย่างงาม”
ตู้เยี่ยนอวี่ส่ายหน้าเบา ๆ “ข้ามิได้หวังสิ่งใดตอบแทน ท่านเพียงแค่พาบุตรสาวของท่านมาพักรักษาตัวที่เรือนเล็กของข้าสักระยะก็พอแล้ว”
คำพูดของนางทำให้ชายผู้นั้นซาบซึ้งใจยิ่งนัก ดุจน้ำทิพย์ที่ชโลมจิตใจที่แห้งแล้งของเขา
ตลอดระยะเวลาการรักษา ตู้เยี่ยนอวี่มิได้ใช้เพียงความรู้ทางการแพทย์โบราณที่ได้ศึกษามาเท่านั้น แต่นางยังนำความรู้ด้านสุขอนามัยที่ทันสมัยกว่าจากโลกเดิมมาปรับใช้ด้วย เช่น การแยกภาชนะ การรักษาความสะอาดของบาดแผล และการให้ผู้ป่วยพักผ่อนในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก
“หากร่างกายสะอาด ปราศจากสิ่งสกปรก โรคภัยไข้เจ็บย่อมมิอาจเข้าสู่กายได้” นางกล่าวแนะนำแก่บ่าวรับใช้ที่ดูแลคนป่วย
เมื่อการรักษาดำเนินไป อาการของเด็กสาวก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ผื่นคันที่เคยแดงก่ำก็เริ่มจางลง ไข้ก็ลดลง และกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง
“หมอเทวดาตู้ ! บุตรสาวของข้าหายแล้วขอรับ !” ชายผู้นั้นร้องอุทานด้วยความยินดี ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ก่อนที่ชายผู้นั้นจะจากไป เขามอบถุงผ้าไหมบรรจุทองคำจำนวนหนึ่งให้แก่ตู้เยี่ยนอวี่
“นี่คือสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากใจของข้า ขอท่านโปรดรับไว้ด้วยเถิด”
ตู้เยี่ยนอวี่ส่ายหน้าเบา ๆ “ข้ามิอาจรับสิ่งเหล่านี้ไว้ได้เจ้าค่ะ การได้เห็นผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บป่วย นั่นคือสิ่งตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับข้าแล้วเจ้าค่ะ”
ชายผู้นั้นรู้สึกประทับใจในคุณธรรมของตู้เยี่ยนอวี่เป็นอย่างมาก ก่อนจากไปเขาได้โค้งคำนับนางอย่างนอบน้อม และให้คำมั่นสัญญาว่าหากมีสิ่งใดที่เขาจะช่วยเหลือได้ เขาจะมิมีวันปฏิเสธ
–
ยามฤดูใบไม้ผลิผลิบานเต็มที่ หมู่บ้านซีหลินเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ นางยังคงใช้เวลาในการฝึกฝนกำลังภายในอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้นางยังศึกษาตำราโบราณที่เกี่ยวกับธรรมชาติและสมุนไพร เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน
วันหนึ่ง ในขณะที่นางกำลังนั่งสมาธิอยู่กลางสวนหลังบ้าน ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน ก็สัมผัสได้ถึงกระแสลมปราณที่ไหลเวียนในกายอย่างราบรื่นและรวดเร็วกว่าที่เคยเป็น แต่ทว่าก็มิได้รุนแรง
นางลองรวบรวมพลังงานภายในไว้ที่ฝ่ามือช้า ๆ ปรากฏว่าเกิดแสงเรืองรองสีฟ้าอ่อน ๆ ขึ้นที่ปลายฝ่ามือเล็กน้อย
“นี่คือพลังภายในงั้นหรือ ?” นางพึมพำกับตนเองด้วยความประหลาดใจ แววตาของนางฉายประกายความตื่นเต้น
แม้พลังนี้จะยังไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่ก็เป็นสิ่งยืนยันว่าการฝึกฝนของนางมิได้ไร้ผล
ตู้เยี่ยนอวี่รู้ดีว่าเส้นทางแห่งการฝึกฝนวิชากำลังภายในนั้นยังอีกยาวไกลนัก แต่นางก็มิได้หวาดหวั่น จิตใจของนางเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและอดทน ดุจหินผาที่มิสะทกสะท้านต่อลมพายุ
นางตั้งใจว่าจะใช้พลังนี้เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด ดุจแสงเทียนที่ส่องสว่างนำทางให้แก่ผู้ที่หลงทาง และจะมิยอมให้พลังนี้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยเด็ดขาด
ในยามค่ำคืนนั้น ตู้เยี่ยนอวี่นอนอยู่บนเตียงไม้แข็งกระด้าง แต่จิตใจกลับเปี่ยมด้วยความสุขสงบ ดุจทะเลสาบที่ราบเรียบยามไร้ลมพัด นางนึกถึงชีวิตในโลกเดิมที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยการแข่งขัน บัดนี้ชีวิตในโลกใบนี้ แม้จะเรียบง่ายกว่า แต่กลับทำให้นางค้นพบความสุขและความหมายที่แท้จริงของชีวิต
“ฟ้าลิขิตให้ข้ามายังโลกใบนี้” นางรำพึงรำพัน “ข้าจะใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่าที่สุด”
————————
¹ยามตรุษวสันต์ หมายถึง ช่วงเวลาแห่งเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หรือกล่าวให้ง่ายคือช่วงตรุษจีน ซึ่งในวัฒนธรรมจีนถือเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข การเฉลิมฉลอง และการกลับบ้านหาครอบครัว
เสมือนสายพิณที่ขาดสะบั้นลงกลางบทเพลงที่ไพเราะที่สุดสิ้นเสียงรายงานการเคลื่อนทัพของรองแม่ทัพจ้าวคุน บรรยากาศอันงดงามในศาลากลางน้ำพลันแหลกสลายลงในพริบตา ไอสังหารที่เคยแฝงเร้น บัดนี้ได้ปรากฏตัวตนขึ้นอย่างชัดเจนใบหน้าของฝ่าบาทและเหล่าขุนนางผู้ภักดีซีดเผือดราวกับกระดาษ การเคลื่อนทัพโดยพลการในยามนี้ มีความหมายเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือการก่อกบฏ!หน้ากากขุนนางผู้ภักดีที่เสนาบดีหลิวเจิ้งสวมใส่มานานหลายสิบปี บัดนี้ได้ถูกกระชากออกอย่างไม่เหลือชิ้นดี เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอสรพิษเฒ่าผู้กระหายในราชบัลลังก์“หลิวเจิ้ง! เจ้า... เจ้าบังอาจ!” ฝ่าบาทตรัสด้วยพระสุรเสียงที่สั่นเทาด้วยโทสะทว่าพยัคฆ์เฒ่าที่จนตรอก ย่อมเป็นพยัคฆ์ที่อันตรายที่สุดหลิวเจิ้งมิได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก เขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้งและน่าขนพองสยองเกล้า“ฮ่า ๆๆๆ! ในเมื่อพวกเจ้าฉีกหน้ากากของข้าแล้ว ข้าก็มิจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป!” เขากล่าวพลางปรายตามองทุกคนด้วยแววตาที่อำมหิต “เดิมทีข้าคิดจะค่อย ๆ กลืนกินแผ่นด
ในชั่ววินาทีที่พระพันปีหลวงตรัสถึงคดีของตระกูลมู่หรง อากาศทั่วทั้งศาลากลางน้ำพลันเยียบเย็นลงราวกับย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ในบัดดล รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวเจิ้งมิได้จางหาย แต่กลับแข็งค้างดุจหน้ากากน้ำแข็งที่กำลังปริร้าว เผยให้เห็นรอยแยกของความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ภายในทว่าอสรพิษเฒ่าที่ขดตัวอยู่ในราชสำนักมาหลายสิบปี ย่อมมิใช่ผู้ที่จะยอมจำนนต่อสถานการณ์โดยง่าย“ฮ่า ๆๆ”เสียงหัวเราะอันแหบแห้งของเขาดังขึ้นทำลายความเงียบงัน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดจากการถูกหยามเกียรติ“พระพันปีหลวงทรงมีพระเมตตา ยังทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของขุนนางเก่าแก่อย่างกระหม่อมได้” เขากล่าวพลางลุกขึ้นยืน โค้งคำนับอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น “น่าเสียดาย... ที่วัยชราได้พรากความทรงจำอันเฉียบคมของกระหม่อมไปเสียมากแล้ว คดีเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นช่างเลือนรางนัก แต่กระหม่อมจำได้เพียงว่า ทุกการตัดสินโทษในชีวิตราชการของกระหม่อม ล้วนเป็นไปเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินและเพื่อสนองพระเดชพระคุณฝ่าบาทเสมอมา”เขาเปลี่ยนจากการเป็นจำเลยมาเป็นผู้ถูกกระทำไ
ศาลากลางสระบัวในวันนี้งดงามและสงบนิ่งเป็นพิเศษ ประหนึ่งเกาะหยกที่ลอยเด่นอยู่กลางทะเลมรกตที่เต็มไปด้วยใบบัว สายลมที่พัดผ่านผิวน้ำ นำพาเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเกสรบัวหลวงมาด้วย ทว่าภายใต้ความงามอันสงบสุขนั้น กลับมิอาจพัดพาไอสังหารที่แฝงเร้นอยู่ในอากาศให้จางหายไปได้ขบวนเสลี่ยงของเสนาบดีหลิวเจิ้งมาถึงเป็นคนแรก เขาก้าวลงจากเสลี่ยงด้วยท่วงท่าที่สุขุมและสง่างามสมตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งผู้เป็นเสาหลักของแผ่นดิน รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นและเปี่ยมด้วยเมตตา แต่ในส่วนลึกของดวงตาที่ผ่านโลกมาจนโชกโชนนั้นกลับเยียบเย็นตามมาด้วยขบวนขององค์ชายจ้าวเฟิง เขามาในอาภรณ์ผ้าไหมปักลายพยัคฆ์ซ่อนกายในพงไพร ดูองอาจและเปี่ยมด้วยบารมี รอยยิ้มของเขายังคงเป็นมิตรและน่าคบหา แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า มันเป็นรอยยิ้มของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ มิใช่รอยยิ้มของสหายผู้มาเยือนเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า ณ ศาลากลางน้ำพระพันปีหลวงในฐานะประธานของงานเลี้ยง ก็ได้มีรับสั่งให้เริ่มพิธีชงชาชั้นสูง นางกำนัลคนสนิทค่อย ๆ บรรจงรินน้ำร้อนลงบนใบชาต้าหงเผาอันล้ำค่า กลิ่นหอมกรุ่นของใบชาชั้นเลิศลอยอบอวลไปทั่วศาลา
ในตำหนักหมื่นวสันต์ที่เงียบสงบ บัญชีมรณะเล่มนั้นได้กลายเป็นเถ้าธุลีในกระถางทองเหลืองไปแล้ว แต่ทุกตัวอักษรที่เคยจารึกไว้ ได้ประทับลงในพระทัยของอย่างมิอาจลบเลือน พระพันปีหลวงผู้ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวและคลื่นลมในราชสำนักมาค่อนชีวิต บัดนี้แววพระเนตรของพระนางนิ่งสงบและเยียบเย็นดุจผืนน้ำใต้ธารน้ำแข็ง“ในเมื่อรากแก้วของต้นไม้พิษมันฝังลึกถึงเพียงนี้ การถอนรากถอนโคนในคราวเดียว ย่อมทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน” พระนางตรัสกับองค์หญิงลี่หัวและพระสนมหลี่ที่อยู่เบื้องหน้า “เราจะมิโค่นต้นไม้ แต่เราจะลิดกิ่งก้านของมันทีละกิ่ง ล่ออสรพิษให้ออกมาจากโพรงด้วยตัวเอง”พระนางมิได้มีราชโองการให้จับกุมผู้ใดในทันที แต่กลับมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงน้ำชาชมราชสาส์นขึ้นเป็นการส่วนพระองค์ในอีกสามวันข้างหน้า ณ ศาลากลางสระบัว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อหารือเป็นการภายในถึงข้อเสนออภิเษกสมรสขององค์ชายจ้าวเฟิง และเพื่อพิจารณาราชสาส์นจากแคว้นอื่นที่ส่งมาถวายพระพรในวาระที่ฝ่าบาททรงหายจากพระอาการประชวรเป็นการเดินหมากที่แยบยลและเลือดเย็นที่สุด ผู้ที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้มีเพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนล้วนเป็นหัวใจของขั้วอำนาจทั้งหมด ฝ่า
แสงจันทร์มิอาจสาดส่องถึงห้องลับใต้ดินของสำนักพันเงา ที่ซึ่งบรรยากาศหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่ารัตติกาลในฤดูเหมันต์ บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ใจกลางห้อง บัญชีมรณะเล่มนั้นวางแผ่หลาอยู่ แต่ทุกตัวอักษรที่จารึกไว้ด้วยพู่กันกลับหนักอึ้งดุจชะตากรรมของแผ่นดิน รอยแผลของนายหญิงแห่งเงาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดจากตู้เยี่ยนอวี่ แม้ร่างกายจะเจ็บปวด แต่ในแววตาของนางกลับลุกโชนไปด้วยไฟแค้นที่รอวันสะสาง“หลิวเจิ้งคือรากแก้วของต้นไม้พิษต้นนี้” กู้เหยียนหลงกล่าวทำลายความเงียบ นัยน์ตาคมกริบของเขาทอประกายกร้าว “การโค่นล้มเขาในยามนี้ที่มันยังกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในราชสำนัก ไม่ต่างอะไรกับการเอากายเข้าปะทะคมดาบ”“ท่านแม่ทัพกล่าวถูกแล้ว” จางอู๋จีเสริมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สายข่าวของข้ารายงานว่า บัดนี้จวนเสนาบดีและการป้องกันวังหลวงถูกยกระดับขึ้นสูงสุด ประหนึ่งค่ายทหารที่พร้อมรับศึก เรามิอาจใช้กำลังบุกเข้าไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง”ท่ามกลางความตึงเครียดนั้น มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่ที่ยังคงสงบนิ่ง นางวางสมุนไพรในมือลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยปัญญาอันล้ำลึก“ในเมื่อประตูหน้าเต็มไปด้วยกองทัพหมาป
ครืน... ครืน...เสียงหินบดขยี้กันดังก้องสะท้าน ราวกับเสียงกรามของมังกรที่กำลังจะขย้ำเหยื่อให้แหลกสลาย ผนังห้องทั้งสี่ด้านเคลื่อนตัวบีบอัดเข้ามาอย่างช้า ๆ แต่หนักหน่วงและไม่อาจต้านทานได้ ฝุ่นผงและเศษปูนร่วงหล่นลงมาจากเพดานราวกับห่าฝน“เรามีเวลาไม่ถึงสิบห้าลมหายใจ!” หนึ่งในแมวเงาตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตระหนกกู้เหยียนหลงและนายหญิงแห่งเงาพุ่งเข้าไปใช้ฝ่ามือยันผนังที่เคลื่อนเข้ามาทันที พลังลมปราณของทั้งสองระเบิดออกอย่างเต็มที่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ชะลอความเร็วของมันลงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันหนักหน่วงเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะต้านทานไหว“ไร้ประโยชน์! นี่คือกลไกตายตัว!” กู้เหยียนหลงกัดฟันพูด ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดในขณะที่ทุกคนกำลังจะสิ้นหวัง ตู้เยี่ยนอวี่กลับมีสายตาที่สว่างวาบขึ้น นางมิได้มองไปยังผนัง แต่นางกลับจ้องลึกลงไปในช่องลับใต้พื้นที่ว่างเปล่าหลังจากที่หยิบหีบออกมาแล้ว“ช่องลับนั่น!” นางร้องบอกทุกคน “มันมิใช่แค่ช่องเก็บของ แต่มันคือกลไก รูปปั้นพระพุทธองค์มิใช่แค่กุญแจเปิด แต่เป็นตุ้มถ่วงน้