อมิตาหลับไปจากอาการอ่อนเพลียที่ยังคงมีอยู่ เธอยังคงมีความหวังว่าตื่นขึ้นมาแล้วเธอจะสามารถกลับไปยังโลกเดิม โลกที่เธอจากมา หากเธอยังไม่ตายจากโลกนั้นจริงๆ แต่ถ้าหากเธอตายแล้ว เธอก็จะขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ในร่างของเด็กสาวผู้อ่อนแอผู้นี้ ภาษาการพูดการฟังเธอสามารถรับฟังและพูดภาษาของคนที่นี่ได้ออกมาอัตโนมัติ ราวกับว่าเป็นคนที่อยู่เมืองแห่งนี้มานานอย่างไรอย่างนั้น นั่นอาจจะเป็นผลพลอยได้จากเจ้าของร่างนี้ที่ทิ้งความเคียดแค้นเอาไว้ให้เธอ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมและนำร่างนี้ทำความดีต่อไป
“คุณหนู… เมื่อไหร่จะตื่นเสียทีล่ะเจ้าคะ บ่าวรอคุณหนูตื่นมาคุยกับบ่าวตั้งนานแล้วนะเจ้าคะ ท่านแม่ของคุณหนูก็รอคุณหนูอยู่ รีบตื่นขึ้นมาเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ๋อร้องเรียกคุณหนูห้าอยู่ที่ข้างเตียง ถึงแม้ท่านหมอจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ทว่านางเองก็ไม่ยอมวางใจ
“ขอน้ำหน่อย…” เปลือกตาบางที่เปิดออกพร้อมกับริมฝีปากที่แห้งผาก
“คุณหนู!!!! คุณหนูฟื้นแล้ว!!! นี่เจ้าค่ะน้ำ” เสี่ยวเอ๋อรีบประคองคุณหนูห้าขึ้นมาแล้วนำน้ำในถ้วยชาให้เธอดื่ม
“แค่กๆๆ” อมิตาในร่างของหลินซูเหมยไอออกมา เธอกำลังสำลักน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไป
‘นี่ร่างกายของเด็กนี่อ่อนแอขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย’ อดีตนักมวยสาวคิดในใจ
“เสี่ยวเอ๋อ…. เจ้าชื่อเสี่ยวเอ๋อใช่ไหม” เธอเอ่ยถามออกมา
“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนู….คุณหนูไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมคะ” เสี่ยวเอ๋อตอบอย่างงุนงงก่อนที่จะเอ่ยถามคุณหนูของนางออกมาด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว แต่เสี่ยวเอ๋อ…..”
“คุณหนู… คุณหนูมีอะไรจะสั่งข้า สั่งบ่าวมาได้เลยเจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการให้ประเดี๋ยวนี้เลย” เสี่ยวเอ๋อรีบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยินดี
“ข้าหิว…” สาวรับใช้ยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินคุณหนูเอ่ยออกมาเช่นนั้น
“คุณหนู… ท่านรอบ่าวประเดี๋ยวเดียวนะเจ้าคะ บ่าวจะรีบไปจัดสำรับมาให้คุณหนูเดี๋ยวนี้”
เสี่ยวเอ๋อค่อยๆ พาร่างบางของหลินซูเหมยไปนั่งพิงที่หัวเตียงก่อนที่จะลุกจากที่ตรงนั้นตรงเข้าไปในครัว นางไม่ลืมสั่งสาวใช้ในเรือนให้ไปเรียนนายท่านกับหลินฮูหยิน และนายหญิงเล็ก ผ่านไปไม่นานอาหารที่ได้มาจากแม่ครัวก็ถูกนำมาวางไว้ที่ข้างเตียง อมิตาในร่างของเด็กสาวผู้อ่อนแออย่างหลินซูเหมยหรือคุณหนูห้าแห่งสกุลหลินก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง นาทีนี้เธอต้องมีแรงเพื่อที่จะได้ฟื้นฟูร่างกายของตน จากนั้นจึงค่อยสะสางเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตกับเด็กสาวผู้น่าสงสารผู้นี้
“คุณหนูอยากทานอะไรอีกสั่งบ่าวมาได้เลยนะเจ้าคะ บ่าวจะรีบไปจัดการมาให้คุณหนูประเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ๋อที่พาคุณหนูลุกจากเตียงมานั่งที่โต๊ะเพื่อรับประทานอาหารมื้อแรกหลังจากที่สลบไปหลายวัน
“ข้าไม่เป็นไรแล้วเสี่ยวเอ๋อ ขอบใจเจ้ามากนะ”
อมิตาบอกเด็กสาวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของหลินซูเหมยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอมองไปยังอาหารเบื้องหน้าพบว่ามีเพียงโจ๊กเละๆ เพียงเท่านั้น หน้าตาช่างแตกต่างจากโลกที่เธอจากมายิ่งนัก นาทีนี้เธอต้องเพิ่มกำลังของตนเองให้มีเรี่ยวแรง มือบางจึงหยิบช้อนขึ้นมาก่อนที่จะค่อยๆ ตักโจ๊กในชามใส่ปาก เสี่ยวเอ๋อที่แอบลุ้นไปด้วยยิ้มออกมาทันทีที่คุณหนูทานอาหารได้
“เหมยเอ๋อร์… ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”
มารดาที่เข้ามาดูอาการบุตรสาวคนแรกหลังจากที่เด็กรับใช้ไปบอกกล่าว นางจึงรีบละมือจากการเย็บผ้าแล้วมาหาบุตรสาวในทันที
ใบหน้าเล็กของเด็กสาววัยสิบห้าที่ยังคงซีดเซียวเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง ก่อนที่เธอจะนึกขึ้นได้ว่างหญิงวัยสามสิบปลายๆ ผู้นี้คือมารดาของหลินซูเหมย อมิตาค่อยๆ พยุงตัวเองให้นั่งดีๆ ก่อนที่จะคำนับอีกฝ่าย เธอเกิดใหม่ในร่างนี้เธอก็ต้องดูแลหญิงผู้นี้แทนหลินซูเหมยแล้ว หวังว่าบิดาของเธอในชาติภพนั้นคงจะมีคนคอยดูแลเขาแทนเธอเช่นกัน
“ท่านแม่… ลูกดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าห่วงลูกไปเลยนะเจ้าคะ” อมิตาในร่างของหลินซูเหมยเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
“คุณหนูห้าทานอาหารได้มากทีเดียวเจ้าค่ะ นายหญิงเล็กไม่ต้องเป็นห่วงไปนะเจ้าคะ ข้าว่าอีกไม่กี่ชั่วยาม คุณหนูจะต้องมีเรี่ยวมีแรงอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ๋อเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้น
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี…. แต่ถึงอย่างไร แม่ก็อดเป็นห่วงเจ้าไม่ได้”
อนุซูฉีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน น้ำตาคลอเบ้าตาทั้งสองข้าง อมิตาถึงกับรู้สึกไม่ดี
“ท่านแม่… จากนี้ไปลูกจะเข้มแข็ง ลูกจะปกป้องท่าน ปกป้องตัวเอง และปกป้องคนที่รักลูก”
ริมฝีปากที่เริ่มชุ่มน้ำเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง อนุซูฉีมองบุตรสาวด้วยแววตาแปลกใจ แต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่บุตรสาวลุกขึ้นสู้กับความอ่อนแอที่เป็นอยู่
“คุณหนู…. บ่าวเชื่อว่าคุณหนูจะต้องกลับมาแข็งแรงกว่าเดิมเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเอ๋อเอ่ยออกมาน้ำตาคลอ อมิตาตั้งใจแล้วว่าเธอจะใช้ชีวิตเป็นคุณหนูห้าให้ดีๆ ชาติภพก่อนผ่านมาแล้วชาติภพนี้เธอจะใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท
หลินหยางและหลินฮูหยินมาถึงเรือนของอนุซูฉีหลังจากที่เด็กรับใช้ไปรายงานว่าคุณหนูห้าฟื้นคืนได้สติแล้ว หลินเยว่หรู บุตรีคนเล็กของหลินฮูหยินก็ได้ติดตามทั้งสองมาด้วย
“คารวะท่านพ่อ คารวะแม่ใหญ่ พี่หญิงรองเจ้าค่ะ” ร่างบางลุกขึ้นคำนับบิดาและหลินฮูหยิน รวมไปถึงพี่รองบุตรีของหลินฮูหยินด้วย
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง… เหมยเอ๋อร์” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย
“นั่นสิ… แล้วเหตุใดเจ้าถึงตกลงไปในสระน้ำนั่นได้”
หลินฮูหยินเอ่ยถามออกมาเช่นกัน แม้นางจะไม่ได้รักลูกๆ ของเหล่าอนุเท่าลูกของนาง แต่นางก็ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำที่จะไม่ถามไถ่หรือแสดงความห่วงใยออกมา
“ลูกดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” ริมฝีปากเล็กเอื้อนเอ่ยออกมา
“ลูกจำได้ว่าตอนที่ลูกกำลังเดินชมดอกไม้ในสวนอยู่นั้น ลูกได้ยินเสียงลูกแมวร้องดังมาจากริมสระน้ำ ลูกเลยเดินเข้าไปดู พออุ้มมันขึ้นมาลูกก็ตกลงไปในสระน้ำแล้วเจ้าค่ะแม่ใหญ่”
อมิตาในร่างหลินซูเหมยนั้นเลือกที่จะยังไม่บอกความจริง ว่าอันที่จริงแล้วเด็กสาวไม่ได้ตกลงไปในสระน้ำเอง แต่เป็นเพราะนางถูกลอบทำร้ายต่างหาก เธอจะเก็บความแค้นครั้งนี้เอาไว้เพื่อรอดูว่าใครในจวนแห่งนี้ ที่ใจกล้าถึงขั้นวางแผนลงมือฆ่าคุณหนูห้าของจวนได้
“ลูกชายของผู้ใดกัน ช่างเหมือนท่านแม่ของเขายิ่งนัก” ฟางเซี่ยหมินแสร้งหยอกเย้าภรรยา “ข้าทั้งอุ้มท้อง ทั้งเบ่งเขาออกมา เขาย่อมเหมือนข้าแน่อยู่แล้วเจ้าค่ะ” หลินซูเหมยยอมรับออกมาอย่างภูมิใจ “แล้วลูกล่ะเจ้าคะ ลูกเหมือนท่านพ่อหรือท่านแม่” ฟางซูลี่ สาวน้อยตากลมเอ่ยถามมารดาออกมาด้วยความสงสัย ถ้าพี่ชายใหญ่เหมือนท่านแม่แล้วนางเหมือนผู้ใดกัน นางเป็นสตรีเช่นเดียวกับท่านแม่ หรือนางจะต้องเหมือนกับท่านพ่อ “เจ้าก็เหมือนท่านแม่ของเจ้าเช่นกัน ลี่เอ๋อร์… ไม่ว่าจะพี่ใหญ่ของเจ้า หรือตัวเจ้า ต่างก็เป็นลูกที่เกิดมาจากความรักของพ่อแม่ พ่อมีความสุขที่ได้มีแม่ของเจ้าและพวกเจ้ามาเป็นครอบครัวของพ่อ” ฟางเซี่ยหมินโอบกอดร่างเล็กพลางใช้มือหนาโยกศีรษะเล็กของบุตรีไปมาอย่างเอ็นดู ฟางซูลี่ฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันซี่เล็กเรียงรายให้กับบิดาและมารดา หลินซูเหมยมองสามีและบุตรีด้วยแววตารักใคร่ หลังจากงานตีคลีผ่านพ้นไป คุณชายใหญ่และคุณหนูรองของจวนท่านโหวฟางเซี่ยหมิน ก็เป็นที่กล่าวถึงไปทั่วทั้งเมืองหนานถิง หลายตระกูลย่อมอยากที่จะเกี่ยวดองกับพวกเขา โดยเฉพาะคุณชายใหญ่ที่ในภายภาคหน้าจะต้องได้รับยศถาบรรดาศักดิ์โหวต่อจากบิดา “ลูกทั้ง
เกือบสองเดือนที่แม่ทัพฟางเซี่ยหมิน และกองทัพทหารของเขารั้งอยู่ที่เมืองซาย่า หนึ่งก็เพื่อรอสังเกตความเคลื่อนไหวของทหารฝ่ายตรงข้าม สองเพื่อช่วยชาวเมืองฟื้นฟูและซ่อมแซมเมืองที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม แม้ภายในใจจะแสนคะนึงหาภรรยาอันเป็นที่รัก และสองลูกน้อยที่ห่างมานาน แต่เพราะภาระหน้าที่แล้วเขาจึงต้องทน“ท่านแม่ทัพ งานซ่อมแซมที่นี่ก็ไม่มีอันใดให้ต้องเป็นห่วงแล้ว สถานการณ์ทางฝั่งเมืองเมืองฉงหนานก็ดูสงบเรียบร้อยดี ข้าว่าพวกเรายกทัพกลับเมืองหนานถิงกันดีหรือไม่ขอรับ เหล่าทหารที่จากครอบครัวมานาน คงจะคะนึงหาคนที่รออยู่ไม่น้อยแล้ว”ฉงจี้ กุนซือคนสนิทกล่าวออกมาในขณะที่เห็นท่านแม่ทัพยืนอยู่บนกำแพงเมือง แล้วกำลังทอดสายตามองไปยังทิศทางที่เมืองหนานถิงตั้งอยู่ ใบหน้าคมมีหนวดเคราครึ้มหันหน้ากลับมามองกุนซือ“อืม… ข้าก็เห็นด้วยกับท่านกุนซือ เพราะแม้แต่ตัวข้าเอง ก็คิดถึงฮูหยินและลูกๆ ของข้าเหลือเกิน”แม่ทัพผู้องอาจยอมรับออกมาอย่างไม่อาย สงครามไม่เคยทำให้ผู้ใดมีความสุข มีแต่จะพรากความสุขและชีวิตของผู้คนอันเป็นที่รักไป มีทหารหลายนายที่ไม่ได้กลับไปพร้อมกับพวกตน ครอบครัวที่รออยู่ที่เรือนจะพากันเศร้าโศกเพียงใด แ
และแล้วแผนการของแม่ทัพฟางเซี่ยหมินก็ได้เริ่มต้นขึ้นในยามโฉ่ว ในขณะที่ทหารของเหล่าข้าศึกกำลังพักผ่อน เหล่าทหารกล้าฝีมือดีของเมืองซาย่านับร้อยก็พากันลักลอบออกจากกำแพงเมือง โดยใช้เส้นทางลับที่คราก่อนท่านแม่ทัพฟางได้สั่งให้สร้างเอาไว้ เส้นทางลับนี้มีแต่เหล่าทหารกล้าเท่านั้นที่รู้ เพราะคนยิ่งรู้น้อยเมืองก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้นทหารกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ย่องทะลุผ่านป่าออกไปอย่างเงียบเชียบ และอีกส่วนหนึ่งเตรียมลูกธนูเอาไว้เพื่อจุดไฟแล้วยิงตีวงล้อม เพราะพวกข้าศึกข้ามแม่น้ำที่แห้งขอดมาได้แล้ว จึงตั้งกระโจมอยู่ไม่ห่างจากกำแพงเมืองมากนัก แม้จะมีโอกาสเข้าโจมตีเมืองซาย่าหลายต่อหลายครั้ง แต่ทว่ากลับถูกทหารของเมืองซาย่าโดยมีเทพสงครามอย่างแม่ทัพฟางเซี่ยหมินคอยคุมทัพอยู่ จัดการจนพวกข้าพากันศึกถอยร่นเกือบไม่ทัน ต้องกลับมาตั้งหลักกันใหม่อยู่ถึงสามหนรองแม่ทัพหนุ่มพร้อมกลุ่มทหารกลุ่มที่รับหน้าที่เผาเสบียง เริ่มลงมือหลังจากที่พวกเขาค่อยๆ จัดการฆ่าปิดปากพวกทหารที่เฝ้ายามแล้วนำเสื้อผ้าของพวกมันมาใส่สวมไว้แทน พวกข้าศึกไม่คิดว่าพวกทหารในเมืองซาย่าจะกล้าออกจากเมืองมาจึงไม่มีผู้ใดนึกหวาดระแวง"รอพวกมันเผลอ แล้วอ้อมไ
ศึกภายนอกสงบสุขได้เพียงสองปี ข้าศึกก็กลับมารุกรานชายแดนเมืองซาย่าอีกครา ที่ผ่านมาแม่ทัพหนุ่มมิได้ชะล่าใจเลยแม้แต่น้อย เขาได้สั่งกำลังพลให้เตรียมพร้อมรับมืออยู่เสมอ แม้กำแพงเมืองจะแข็งแกร่งแต่ข้าศึกก็ยังคงสามารถส่งไส้ศึกให้เข้ามาในเมืองได้อยู่ร่ำไป แม่ทัพหนุ่มจึงจำต้องออกไปสู้รบเพื่อทวงคืนสงบสุขให้กลับคืนมาดังเดิมยามนี้บุตรชายคนโตนั้นก็อายุได้สี่ขวบแล้ว และบุตรีคนรองของเขาก็เข้าสู่วัยสองขวบ เขาสั่งให้ภรรยาพาลูกๆ กลับไปยังเมืองหนานอันเพื่อความปลอดภัย แต่มีหรือว่าหลินซูเหมยจะยอมเชื่อฟัง นางจัดตั้งศูนย์พักพิงเพื่อชาวเมืองที่อพยพมาอีกครา และคอยช่วยคัดกรองผู้อพยพด้วยตนเอง ส่วนเด็กๆ นางก็ให้ป้ามู่ และมู่หลันพาเดินทางกลับไปอยู่กับท่านผู้เฒ่าฟางและฮูหยินผู้เฒ่าฟางยังจวนแม่ทัพฟางที่เมืองหนานอันแล้ว เสี่ยวเอ๋อนั้นดื้อรั้นที่จะติดตามนางมาโดยฝากบุตรชายไว้กับมู่หลัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยินยอมจากไปเพื่อความปลอดภัยของเด็กๆ แต่โดยดี“ฮูหยินขอรับ… มีข้าวกับยาส่งมาจากเมืองหนานอันขอรับ บอกว่ามาจากตระกูลหลินกับตระกูลฟาง” ได้ยินเช่นนั้นหลินซูเหมยจึงยิ้มออกมาทันที เพราะนางรู้ดีว่าผู้ใดที่ส่งข้าวและยามาสนับสนุนนาง
หกเดือนต่อมาภายในจวนแม่ทัพทิศเหนือยามนี้กำลังวุ่นวายเพราะนายหญิงใหญ่กำลังจะคลอดทายาทคนที่สองของท่านแม่ทัพ ครานี้ฟางเซี่ยหมินไม่ยอมละสายตาจากภรรยาแม้เขาจะเตรียมการก่อนที่ภรรยาจะคลอดแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสาวใช้ที่ช่ำชองเรื่องการช่วยหมอตำแยคลอดลูก หมอตำแย และหมอหลวง ทุกคนต่างทำหน้าที่กันอย่างขะมักเขม้น เจ้าของร่างอวบอิ่มที่มีหน้าท้องยื่นออกมาราวกับลูกแตงโมกำลังนอนหน้าซีดอยู่บนเตียง“เป็นเช่นไรบ้างขอรับท่านหมอหลวง” ฟางเซี่ยหมินเอ่ยถามหมอหลวงออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“เด็กกลับหัวแล้วขอรับ ต่อไปเชิญหมอตำแยมาทำหน้าที่ต่อได้เลยขอรับ”ท่านหมอหลวงยิ้มก่อนที่จะรายงานผลการตรวจออกมา หลังจากตรวจเสร็จท่านหมอหลวงก็ออกไปรออยู่ด้านนอกห้องปล่อยให้หมอตำแยทำหน้าที่คลอดทารกต่อ แต่เขายังมิได้กลับทันทีเพราะยังคงต้องรอตรวจอาการหลังคลอดให้ฮูหยินแม่ทัพอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นหมอตำแยจึงเข้าไปประจำที่แทนหมอหลวงที่ทำการตรวจชีพจรให้แก่ฮูหยินก่อนหน้า ท่านแม่ทัพหนุ่มเข้าไปปลอบใจภรรยา มือหนาคว้ามือบางขึ้นมากุมเอาไว้“มิต้องกังวลนะน้องหญิง พี่จะอยู่เคียงข้างเจ้ากับลูก จะไม่ทิ้งพวกเจ้าไปไหน”น้ำเสียงอบอุ่นกับ
ผ่านไปไม่ถึงสามเดือนหลังจากที่เสี่ยวเอ๋อคลอดบุตรชายคนแรกของนางกับตงหลง จวนแม่ทัพก็มีข่าวน่ายินดีอีกครั้ง เพราะฮูหยินกำลังตั้งครรภ์ทายาทคนที่สองของนางกับท่านแม่ทัพ จากกำหนดการที่จะกลับไปเยี่ยมบ้านก็เป็นอันต้องเลื่อนออกไปเพราะกำลังต้งครรภ์อ่อนๆ ทำให้มิสามารถเดินทางไกลได้ ฟางเซี่ยเหวินตื่นเต้นอยู่กับน้องตัวเล็ก ลูกชายของเสี่ยวเอ๋อกับตงหลงจนมิยอมกลับเรือน เหล่าพี่เลี้ยงจึงต้องไปคอยดูแลคุณชายใหญ่ที่นั่นเพราะนายหญิงใหญ่มิสามารถดูแลคุณชายใหญ่ได้เต็มที่ด้วยอาการแพ้ท้อง“แอว๊ะ……อ๊วก…….” เสียงอาเจียนดังมาตั้งแต่ยามเหม่า การตั้งครรภ์ครานี้นั้นหลินซูเหมยลำบากอยู่ไม่น้อยเพราะอาการแพ้ท้องออกเร็ว“ฮูหยินเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ให้พี่ตามหมอหลวงมาตรวจอาการดีหรือไม่”ฟางเซี่ยหมินเอ่ยถามภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน เหตุใดเกิดมาเป็นสตรีต้องทรมานเช่นนี้ในยามตั้งครรภ์ก็ไม่รู้ เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลย เพราะเป็นเช่นนี้เขาจึงต้องทะนุถนอมภรรยาให้มากๆ เพราะนางเสียสละร่างกายของนางเพื่อให้กำเนิดทายาทสืบสกุล“ดมยาหอมค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อยเจ้าค่ะท่านพี่ นี่ท่านมิออกไปชายแดนหรือเจ้าคะ” มู่หลันนำยาหอมมาให้นายหญิงสูดดมเพื่อลด