“ไปสิคะ จะเหมือนพาเหรดที่โลกของฉันมั้ย?”
ฉันถามพลางยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย หวังว่าที่นี่จะมีบอลลูนการ์ตูนลอยกลางฟ้าแบบที่ฉันเคยดู
หลงอวิ๋นจับมือฉันแน่นขึ้น แล้วพาฝ่าฝูงชนไปยังจุดชมวิวริมถนน ที่เงียบสงบและไม่มีใครยืนบังพอดี
“เหมือนโลกของเจ้า?” เขาเอียงหน้ายิ้มน้อย ๆ
“ข้าไม่เคยเห็นของโลกเจ้า...แต่เชื่อเถอะ เจ้ายังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้แน่นอน”
ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อขบวนพาเหรดเริ่มขึ้น…
นักเต้นในชุดขาววิบวับราวกับหลุดจากกลุ่มดาว เดินนำขบวนออกมาอย่างสง่างาม ท่าทางพริ้วไหวของพวกเขาเหมือนเกล็ดหิมะกำลังร่ายระบำ พวกเขาถือไม้คทาคริสตัลที่ปลายเป็นรูปดาวหิมะ และทุกครั้งที่ปลายคทาแตะพื้น เกล็ดหิมะสีเงินก็ลอยขึ้นจริง ๆ!
“กลุ่มแรกคือ ‘นักเต้นหิมะแรก’ พวกเขาคือตัวแทนของหิมะแรกแห่งฤดูหนาว” หลงอวิ๋นอธิบายข้างหูฉัน
“โอ้โห… แบบนี้ต้องเรียกว่าหิมะแบรนด์เนมแล้วล่ะค่ะ!” ฉันแซวขำ ๆ พร้อมยิ้มเงยหน้าขึ้นมองเขา แต่หลงอวิ๋นแค่ส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วยิ้มแบบกลั้นหัวเรา
ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มือของหลงอวิ๋นเลื่อนไปประคองข้างแก้มฉันไว้อย่างแผ่วเบา นิ้วมือของเขาเย็นจัดตามแบบฉบับของมังกรหิมะ แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนเปลวอุ่น ๆ ลูบไล้ผิวแก้มที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไร้สาเหตุ“เอลาเรีย...”“ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครแตะต้องเจ้าอีก...แม้แต่หิมะก็ตาม”เสียงของเขาทุ้มต่ำจนสั่นสะเทือนอยู่ในอกฉัน เขาพูดราวกับคำสัญญา...แต่ดวงตานั้นกลับกำลังเผาไหม้ฉันทีละน้อยริมฝีปากของเขาโน้มลงมาแตะหน้าผากฉันแผ่วเบา...เหมือนจะกลบเสียงหัวใจของฉันที่เต้นระส่ำจากหน้าผาก...ไล่ลงที่สันจมูกจากสันจมูก...มาหยุดที่ริมฝีปากของฉันสัมผัสแรกนั้น...อ่อนโยนจนฉันต้องหลับตาลงโดยไม่รู้ตัวจูบของเขานุ่มและแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าถ้าลึกซึ้งกว่านี้ ฉันจะละลายหายไปในอ้อมแขนของเขาจริง ๆแต่ทันทีที่ฉันจูบตอบเขากลับไป...ปลายนิ้วที่จับใบหน้าฉันแน่นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่“ข้าอดกลั้น...มานานเกินไปแล้ว”เขากระซิบเสียงพร่าราวกับไม่ใช่คำพูด แต่คือเสียงลมหายใจที่กระซิบเข้าไปถึงกระดูกสันหลังริม
หิมะยังคงโปรยลงมาไม่หยุด ละอองขาวบางร่วงหล่นอย่างแผ่วเบาเหมือนไม่มีน้ำหนัก แต่ยามนี้...หัวใจของฉันกลับหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก“หยกหิมะ…ตรงนี้ล่ะ” ฉันกระซิบกับจิ้งจอกหิมะร่างกลางซึ่งตัวแทบเท่าฉัน มันยืนเคียงข้างด้วยท่าทีตื่นตัว พลังเวทบางเบากำลังแผ่ออกจากฝ่ามือฉัน ลงสู่เส้นวงเวทที่วาดไว้บนพื้นน้ำแข็งใต้ต้นสนเก่าแม้เวทนี้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่...มันคือคีย์ที่จะเปิดทางออกไปจากมิตินี้ฉันใช้ทั้งค่ำคืนฝึกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอยแผลบนฝ่ามือยังไม่ทันหายดี แต่เวลาของหลงอวิ๋นก็ร่นเข้ามาทุกที...“อีกนิดเดียว...”ฉันพึมพำเบา ๆ พลางลากเส้นเวทต่อ แสงจันทราเหนือยอดไม้สะท้อนลงปลายนิ้ว สาดประกายอ่อนลงสู่อักขระบนพื้นหิมะที่เริ่มเปล่งแสงราง ๆแต่แล้ว—หยกหิมะชะงัก เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว หูเล็กตั้งชัน ขนหลังลุกชันราวถูกสายลมเย็นกระแทกใส่“...มีคนมา”ฉันรู้สึกถึงแรงสั่นบางอย่างใต้ฝ่าเท้า เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ย่ำลงบนหิมะ...เข้าใกล้เรื่อย ๆ“ต้องหนี”ฉันลบเวททั้งหมดบนพื้นหิม
หิมะโปรยลงมาเบา ๆ ราวม่านบางของความเงียบงันที่ปกคลุมพระราชวังน้ำแข็งยามค่ำคืนเอลาเรียเดินช้า ๆ ไปตามโถงทางเดินแกะสลักที่เย็นเฉียบ แม้จะใส่เสื้อคลุมกำมะหยี่ของราชสำนักอยู่เต็มตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินเปลือยเปล่าในดินแดนของศัตรูหนาว—ไม่ใช่เพราะลม แต่เพราะสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังจับจ้องวันนี้...มีบางอย่างไม่เหมือนเดิมสายตาของเหล่าทหารเวรที่เคยนิ่งเฉย กลับดูตั้งใจเกินเหตุบางคนมองสบตาเธอแล้วรีบหลบสายตาบางคน…ไม่ได้หลบเลยแววตาเหล่านั้นไม่ได้เปล่งความเคารพ—...แต่มากไปด้วยความระแวง เหมือนเธอคือระเบิดเวลาที่อาจระเบิดได้ทุกเมื่อ“เราไปทำอะไรผิด...หรือพวกเขาเริ่มรู้เรื่องคำทำนาย...หรือแม้แต่...”“...หลงอวิ๋น?”เสียงหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามเธออยากไปหาเขา อยากถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นแต่หอประชุมชั้นในของราชสภาถูกผนึกด้วยม่านเวท ห้ามผู้ใดเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาตและเขา...ก็ไม่ได้กลับมาหาเธอเลยนับตั้งแต่รุ่งเช้าเอลาเรียก้า
เสียงลมหายใจของฉันแผ่วเบาในห้องเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อนที่ส่องลอดผ้าม่านลงมากระทบหลังมือฉันขณะสับไพ่ทาโรต์ เสียงกระดิ่งจากข้อมือดังกริ่งเบา ๆ ทุกครั้งที่นิ้วลากผ่านไพ่ ราอูลเพิ่งจากไปหลังเอ่ยคำเตือนเพียงประโยคเดียว—ประโยคที่ยังสั่นอยู่ในอกฉันจนถึงตอนนี้“หากเจ้าอยากรู้ว่าความรักครั้งนี้จะสิ้นสุดอย่างไร...จงถามไพ่ของเจ้า”ฉันวางไพ่สามใบเรียงลงบนโต๊ะไม้เก่า ทุกใบเหมือนจะสั่นเล็กน้อย—หรืออาจเป็นฉันเองที่กำลังสั่นอยู่ใบแรก: The Lovers (กลับหัว)ใบที่สอง: Death (ตั้งตรง)ใบที่สาม: The Star (กลับหัว)ฉันรู้ทันที…ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ดีนักรักที่ต้องเลือกระหว่างสองทางการจบสิ้น…และความหวังที่ริบหรี่ หากใจไม่มั่นพอ“จะต้องมีคนหนึ่ง...ที่เสียสละ” ฉันกระซิบออกมา ลูบแผ่นไพ่ด้วยปลายนิ้ว เสียงหัวใจเต้นหนักจนรู้สึกได้ถึงชีพจรที่ข้อมือ รอยสักที่ข้อมือฉันเรืองแสงจาง ๆทันใดนั้นเอง—แสงสีฟ้าม่วง
หลังจากเอลาเรียฟื้นคืนจากห้วงหลับใหล เธอได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดภายในตำหนักส่วนพระองค์แม้หลงอวิ๋นจะไม่อยากห่างจากเธอแม้เพียงหนึ่งลมหายใจ แต่ในฐานะองค์ชายผู้ถือดุลอำนาจแห่งราชวังเทียนหลง เขายังต้องแบกรับภาระ…เพื่อทั้งราชวงศ์ และโลกทั้งใบทุกเช้า เขาจะเป็นผู้ประคองเธอลุกจากเตียงด้วยมือตนเอง ก่อนจะก้มจูบหน้าผากเธอแผ่วเบา แล้วผละจากมาอย่างเงียบ ๆ พร้อมคำมั่นสัญญาซ้ำเดิม“อีกไม่นาน ข้าจะกลับมา...พร้อมข่าวดี”แต่ภายในห้องประชุมของราชสภามังกร ไม่มีสิ่งใดใกล้เคียงคำว่า ‘ข่าวดี’เหล่าองค์ราชาแห่งมังกรทั้งห้าทิศประจำที่อยู่ในที่นั่งสูง แวดล้อมด้วยขุนนางอาวุโส มังกรเวท และบรรดาสายสืบจากแต่ละแคว้น ผู้ทำหน้าที่รายงานการเคลื่อนไหวของเหล่าศัตรูที่ยังหลบซ่อนอยู่ในเงามืด“...มีรายงานจากหุบผาดำ” ไคเซอร์ องค์ชายแห่งมังกรดำ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“พบร่องรอยเวทที่ใกล้เคียงกับเนรูไซร์ แม้มันจะถูกผนึก แต่แก่นเวท...ยังไม่สลาย”“มันจะตื่นไม่ได้” หลงอวิ๋นกล่าวเสียงเย็นเยียบ&
ณ ห้องบรรทมแห่งวังเทียนหลง — เมื่อม่านจันทราปิดบังสายตาจากท้องฟ้าเบื้องบนเสียงประตูห้องบรรทมปิดลงเบา ๆ ราวกับไม่อยากรบกวนเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นรัวอยู่ในห้วงเดียวกันแสงเทียนนับสิบเล่มล่องลอยกลางห้องอย่างสงบ เปลวไฟสะบัดปลายไหวในจังหวะอ้อยอิ่ง พาแสงส้มอุ่นทอดเงาบนผนังหินแกะลาย เงาสองร่างทาบทับกัน ใกล้...จนแทบกลืนเป็นหนึ่งเดียวหลงอวิ๋นไม่ได้พูดสักคำ...แต่ในดวงตาของเขา มีคำมากมายที่ถูกกักเก็บไว้นานนับคืนความโหยหา ที่กัดกินทุกวินาทีของการรอคอยความรัก ที่ถูกหล่อหลอมด้วยทั้งเวทมนตร์และความเจ็บปวดความต้องการ ที่ไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้ในวันที่ฉันไม่อาจรับรู้ถึงมันเขาก้าวเข้ามาใกล้ ช้า...แต่มั่นคงมือของเขาเลื่อนไปประคองแผ่นหลังฉันเบา ๆ อีกมือหนึ่งรั้งใต้เข่าด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่ร่างสูงสง่าจะช้อนฉันขึ้นจากพื้น—อ้อมแขนของเขาอุ่นและแน่นหนาราวกับจะไม่ยอมให้ฉันหลุดหายไปอีกแม้เพียงวินาทีเดียวฉันซุกหน้าไว้ที่อกของเขา รับรู้ได้ถึงแรงเต้นของห