เขาบอกไม่ต้องรอ แต่นางก็รอ รอจนไม่รู้ฟุบหลับไปบนโต๊ะเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าเลยว่าเขาอุ้มนางมานอนบนเตียงเมื่อใดกัน เขาแวะเวียนมากินข้าวกับนางสักมื้อหนึ่งแล้วรีบร้อนออกไป ป้าหวงฝูและบรรดาทหารยามบอกนางว่าช่วงนี้ท่านแม่ทัพมีงานรัดตัวจริง ๆ
นางอยู่ว่างไม่รู้จะทำอะไร จึงหยิบจับเสื้อผ้าของเขาออกมาดู เห็นมีบางแห่งที่มีรอยขาดก็นึกประหลาดใจ จวนแม่ทัพมิได้ยากจน ไฉนเสื้อผ้าสามีนางจึงชำรุดขนาดนี้ นางจึงขอเข็มและด้ายจากป้าหวงฝูแล้วเอาเสื้อผ้าของเขามาซ่อมแซม น่าแปลก นางกลับคุ้นชินกับการเย็บปักเหล่านี้มากกว่าทำอาหารที่แทบจะเผาครัวของเขาไปเมื่อครั้งก่อน ขนาดป้าหวงฝูยังเอ่ยชมว่าฝีมือของนางนั้นประณีตจริง ๆ
“ป้าหวงฝู ข้าอยากไปซื้อพวกอุปกรณ์เย็บปัก ท่านไปกับข้าได้หรือไม่ ข้าเพิ่งเคยมาเมืองนี้”
“ได้สิเจ้าค่ะ ฮูหยินตั้งใจทำให้ท่านแม่ทัพถึงเพียงนี้ ท่านแม่ทัพต้องดีใจมากเป็นแน่”
“ข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็ทำได้แค่เรื่องพวกนี้” นางยิ้มเขินอายจนแก้มเนียนแดงปลั่ง “ข้า...ข้าต้องขอบคุณป้าหวงฝูที่คอยชี้แนะและดูแลข้า”
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าก็แค่หญิงชาวบ้าน ได้ดูแลท่านนับว่าเป็นวาสนาของข้าแล้ว”
ในจวนแม่ทัพไม่มีสตรี ว่ากันว่าแม้กระทั้งยุงยังไม่มียุงตัวเมีย ฮูหยินท่านแม่ทัพจะไปตลาด เหล่าบรรดาทหารและบ่าวรับใช้ต่างตระเตรียมรถม้าอย่างดีและทหารติดตามคุ้มครองฮูหยิน หรูซื่อเกรงจะเป็นการรบกวนผู้อื่น แต่ทุกคนเต็มใจ นางจึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย
ชาวเมืองต่างรับรู้ว่าแม่ทัพซุนหลวนคุนแต่งงานมีภรรยาแล้ว แม้อยู่ไกลบ้านแต่ไม่เคยมีเรื่องชู้สาวเสื่อมเสีย และเมื่อรู้ว่าผู้ที่กำลังเลือกชมแพรพรรณในร้านนั้นคือฮูหยินของท่านแม่ทัพ ผู้คนก็ต่างเบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อยลโฉมหน้าสตรีหนึ่งเดียวในดวงใจแม่ทัพซุน
หรูซื่อไม่คุ้นกับการเป็นเป้าสายตา นางเลือกดูผ้าเนื้อดีสำหรับตัดเสื้อให้สามี เพียงนางกวาดตามองกลับจดจำได้ว่าผ้าชนิดใดเหมาะจะทำอะไร นางสะดุดตากับผ้าพับหนึ่ง เมื่อวางนิ้วมือสัมผัสเนื้อผ้าแล้วก็รู้สึกชอบจนไม่อยากปล่อยมือ
“ฮูหยินสายตาดียิ่ง ผ้านี้เนื้อดีเหมาะกับทำเสื้อคลุมมากขอรับ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” นางยิ้มกว้างอย่างลืมตัว เพียงคิดถึงสามีร่างสูงใหญ่ในหัวของนางก็คำนวนจำนวนผ้าที่ต้องใช้ทันที “ข้าเอาพับนี้กับที่เลือกไว้ก่อนหน้านี้ด้วย”
“ได้ขอรับ ข้าน้อยจะส่งไปให้ที่จวนนะขอรับ”
หรูซื่อพยักหน้ารับ นางได้ของที่ต้องการครบแล้ว นางเดินออกมานอกร้านพบสายตาหลายคู่จับจ้องมองที่นาง หญิงสาวได้แต่ระบายยิ้มน้อย ๆ พวงแก้มเนียนแดงระเรื่อ ท่าทางเขินอายไร้เดียงสาชวนทะนุถนอมจนยากถอนสายตา
มิน่าเล่า ท่านแม่ทัพจึงไม่มีหญิงอื่น เพราะมีภรรยาที่งดงามราวเทพธิดาเช่นนี้
หญิงสาวก้าวเท้าออกมานอกร้าน สายตามองเลยไปยังฝั่งตรงข้าม มีร้านขายเครื่องประดับอยู่ นางคิดจะซื้อกำไลให้ป้าหวงฝูสักชิ้นสองชิ้น ตอบแทนที่ดูแลนาง
“ป้าหวงฝู” นางกวักมือเรียก “เราไปที่ร้านนั้นกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ” นางหวงฝูเข้าใจว่าฮูหยินอยากได้เครื่องประดับ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด สตรีบ้านอื่นล้วนมีเครื่องประดับมากมาย แต่ฮูหยินมีไม่กี่ชิ้น ยังไม่ทันเดินไปถึงที่หมาย บุรุษผู้หนึ่งเข้ามาขวางไว้ก่อน เขาสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแบบบัณฑิตแก่ความรู้ แต่สายตาที่จ้องมองนางนั้นตื่นตกใจยิ่ง นางหวงฝูรีบก้าวมาขวาง ใช้ตัวเองบังสายตาน่ารังเกียจที่จ้องมองฮูหยินท่านแม่ทัพอย่างไร้มารยาท
“หลบไป!”
หรูซื่อปิดบังเรื่องตนความจำเสื่อม นางจำใครไม่ได้ก็จริง จู่ ๆ มีบุรุษมายืนขวางซ้ำยังจ้องนางไม่วางตาเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย นางที่ตัวเล็กอยู่แล้วกลับหดตัวอยู่ด้านหลังป้าหวงฝู แต่นึกได้ว่าตนเองเป็นถึงฮูหยินแม่ทัพจะทำตัวเช่นนี้ไม่ได้ จึงยืดตัวขึ้นแต่ยังหลบด้านหลังป้าหวงอยู่
“ซื่อเอ๋อร์”
หรูซื่อสะดุ้ง นางยืนมองข้ามไหล่ของป้าหวงฝู พยายามพิจารณาว่าตนเองเคยพบชายผู้นี้มาก่อนหรือไม่ เขาเรียกนางเหมือนคนคุ้นเคย แต่นางกลับไม่รู้สึกเคยคุ้นเลยสักนิด
จะว่าไป นางก็ไม่รู้สึกคุ้นเคยกับใครทั้งสิ้น หรือแม้แต่ซุนหลวนคุนที่เป็นสามีของนาง พบหน้ากับครั้งแรก นางก็ตกใจแทบสิ้นสติไป จวบจนเขาค่อยๆ อธิบายเรื่องทั้งหมด นางจึงกล้าเข้าใกล้เขา
“ข้ารู้ว่าข้าผิด แต่เหตุใดทำเป็นไม่รู้จักกันเช่นนี้”
ชายผู้นั้นยื่นมือหมายจะจับหญิงสาว แต่นางหวงฝูกางแขนปกป้อง แม้นางไม่รู้ที่มาที่ไป แต่การกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะไม่ควร และยืนอยู่กลางตลาดเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีเลย
“คุณชายโปรดระวังกิริยาด้วย เด็ก ๆ คุ้มกันฮูหยินท่านแม่ทัพ”
ทหารที่ติดตามมากรูเข้าล้อมวงเข้ามาพร้อมชักกระบี่ปกป้องดวงใจท่านแม่ทัพ เสียงชักกระบี่ทำให้หรูซื่อตื่นตกใจ หัวใจนางเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็นจนนางต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอก
“ช้าก่อนทุกท่าน โปรดยั้งมือก่อน” บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาขวางบัณฑิตผู้นั้น “ขออภัยด้วย คุณชายของข้าเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองนี้ ล่วงเกินผู้อื่นไปด้วยความเข้าใจผิด โปรดให้อภัยด้วย”
“ฮูหยินท่านแม่ทัพ” ชายผู้นั้นพึมพำเหมือนละเมอ ไม่ได้สนใจทหารที่ใช้ปลายกระบี่ชี้มาทางเขา หรือแม้แต่บ่าวรับใช้ที่รั้งแขนเสื้อไว้
“เจ้าใจร้ายกับข้าเหลือเกิน หลิวหรูซื่อ”
‘หลิวหรูซื่อ’
นั่นแซ่ของนางใช่ไหม คล้ายว่ามีคนเคยเรียกนางเช่นนี้มาก่อน
ร่างบางโอนเอน ใบหน้าซีดราวไร้เลือด นางหวงฝูเหลือบเห็นพอดีรีบหมุนตัวมาประคองไว้ได้ทัน
“ฮูหยินเจ้าคะ”
“ข้า...” นางรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก และปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนใบหน้าซีดเซียว นางหวงฝูไม่รอช้ารีบประคองหรูซื่อขึ้นรถม้ากลับจวนทันที
“ฮูหยิน”
“ข้า..ไม่เป็นอะไร” นางพยายามสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนออกช้า ๆ อย่างที่ท่านหมอเคยสอน “ข้าดีขึ้นแล้ว”
“ฮูหยิน” นางหวงฝูประคองศีรษะของหรูซื่อให้เอนลงนอนบนตักของนาง ยามนี้หรูซื่อดูอ่อนแอเหมือนดอกไม้เล็ก ๆ ที่พร้อมจะแตกสลาย
“ข้าขออยู่อย่างนี้สักครู่นะ”
“เจ้าค่ะ ฮูหยินพักผ่อนเถิด”
เรื่องที่เกิดขึ้นในตลาด ทหารไม่รอช้ารีบเร่งไปรายงานให้แม่ทัพซุนทราบ แม้สีหน้าเรียบเฉย รับฟังอย่างนิ่งงัน แต่ไอสังหารที่แผ่ออกมาทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น แม้เป็นทหารร่างใหญ่ก็ตามที
“ท่านแม่ทัพ เรื่องทางนี้พวกเราสามารถจัดการได้ ท่านแม่ทัพ...”
“นายกองกู้ เจ้าดูแลทางนี้ให้ดี แม้ข้าไม่อยู่แต่การฝึกซ้อมก็ต้องเป็นไปตามที่กำหนดห้ามผ่อนปรนเด็ดขาด”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
ซุนหลวนคุนสั่งให้คนไปเชิญหมอทหารไปที่จวนดูแลหรูซื่อก่อน เขาตรวจดูความเรียบร้อยของงานในค่ายทหารแล้วจึงกลับจวน ในใจอดวิตกกังวลไม่ได้ แม้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เขาพอจะเดาได้ว่าชายผู้นั้นเป็นใคร
มุมปากยกขึ้นสยะยิ้ม
“จางหยินเซ่อ เจ้ากล้ามาก แต่ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมเสียนางไปอีกเด็ดขาด”.
นางหวงฝูคอยยืนดูอยู่ไม่ห่าง จนกระทั่งหมอทหารตรวจอาการฮูหยินเรียบร้อยจึงเขียนเทียบยาให้ พร้อมกำชับให้ดูแลดวงใจท่านแม่ทัพให้ดี
“ฮูหยินต้องพักผ่อนให้มาก ระวังอย่าให้มีเรื่องรบกวนจิตใจอีก”
“ข้าทราบแล้ว”
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
“ขอบคุณท่านหมอมาก ป้าหวงฝูส่งท่านหมอด้วย”
“เจ้าค่ะ” นางหวงฝูเดินมาห่มผ้าให้หรูซื่อแล้วพลางเอ่ยขึ้น “ข้าออกไปส่งท่านหมอแล้วจะไปต้มยาให้ฮูหยินนะเจ้าคะ ท่านพักผ่อนก่อน ไม่ต้องคิดอะไรมาก ด้านนอกยังมีทหารเวรยามคอยดูแลไม่ให้ใครมารบกวนท่าน”
“เข้ามาคุยด้านในเถิด” เขาปล่อยมือจากไหล่ของนางแล้วเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ทว่าสายตาของนางถูกตำรามากมายดึงดูดไว้จนหลงลืมว่ามี ‘สามี’ อยู่ใกล้ๆ “ข้าไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะชอบสะสมหนังสือมากขนาดนี้” ‘ท่านแม่ทัพ’ ภรรยาหมาดๆ สนใจแต่หนังสือมากมายเหล่านั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาไม่พอใจของสามีหมาดๆ อย่างเขา ซุนหลวนคุน ลอบถอนหายใจ นางเพิ่งย่างเท้าเข้าบ้านมาเป็นคนสกุลซุน คงไม่คุ้นชินกับการเรียกขานนัก “อีกห้าวันข้าต้องออกเดินทางแล้ว” “เดินทาง? ท่านแม่ทัพจะไปไหนรึ” หลิวหรูซื่อหันมามองหน้า ‘สามี’ นางทำหน้างุนงงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องขบกรามเน้นเช่นนั้น“ได้ ข้าจะเตรียมตัว” “เจ้าไม่ต้องไป” น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้นเล็กน้อย บอกตนเองว่าต้องให้ ‘เวลา’ นางมากกว่านี้ เขาจะโมโหนางไม่ได้เด็ดขาด “เหตุใดไม่ให้ข้าไป” นางเอียงคอถาม ท่าทางไร้เดียงสา “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมารดาข้าเถิด” เขากดน้ำเสียงไม่ให้หงุดหงิดจนเกินไป “นับจากนี้เจ้าเป็นนายหญิงของจวน ต้องรับภาระดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านร่วมกับมารดาข้าแล
“แต่งงาน! น้องเล็กอายุแค่สิบเอ็ดจะให้แต่งงานแล้วหรือ?” “อีกสองเดือนน้องเล็กคนนี้ก็สิบสองแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของร่างเล็กเดินเร็วๆ ยื่นมือมาหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางบนโต๊ะเข้าปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าแอบฟังพ่อกับพี่ๆ คุยกันอีกแล้วนะ”ราชครูหลิวถอนหายใจเบาๆ แต่กลับยิ้มเอ็นดูลูกสาวคนเดียวของสกุลหลิวไม่ได้ แม้นางเป็นหญิงแต่เฉลียวฉลาดแต่เด็ก หากไม่นับเรื่องวรยุทธแล้ว นางก็ไม่ด้อยกว่าบุรุษเลย “ซื่อเอ๋อร์ไม่ได้แอบฟังเสียหน่อย แต่เสียงพี่ๆกับท่านพ่อดังไปนอกห้องเอง” เด็กหญิงตัวน้อยไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้ยิน “แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” บิดาเอ่ยถามพลางรินน้ำให้ลูกสาวอย่างเอาใจ “คนแซ่ซุนอยากแต่งข้าเป็นภรรยา ก็แต่งสิ ไม่เห็นต้องกังวลเลย” นางรับน้ำมาดื่มเล็กน้อยแล้วกินขนมต่อ มุมปากเลอะคราบขนมทำให้พี่ใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้นาง “คนแซ่ซุนไม่มีอะไรเหมาะสมกับเจ้าเลยสักนิด” พี่ชายคนรองเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แค่ทหารปลายแถวที่ถีบตนเองขึ้นมาจากดินโคลน” “ข้าเชื่อว่าคนแซ่ซุน
ความรู้สึกเจ็บปวดนี่มันคืออะไรกัน เป็นอีกเช้าที่ซุนหลวนคุนลืมตาตื่นแล้วพบว่า ดวงตาของตนมีน้ำตาเอ่อคลอ น่าอายเหลือเกิน เขาอายุสิบแปดแล้ว แต่ยังนอนละเมอร้องไห้อยู่อีก ที่สำคัญ เขาไม่เคยจำได้เลยว่าฝันถึงเรื่องใด ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นจะเหลือเพียงความเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งบนเตียง เขาตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องฝึกเพลงยุทธ เขาเป็นทหารมาหลายปีไต่เต้าด้วยความสามารถ มือสองข้างเปื้อนเลือดคล้ายตัวเขามีกลิ่นอายของความตายโอบกอดอยู่ เขาถอนหายใจ จะทำอย่างไรได้ เขาเลือกเส้นทางนี้เอง แต่ก่อนนั้นครอบครัวของเขาเป็นเพียงชาวนายากจน เขาเป็นพี่ชายคนโตที่หนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นทหาร เขาฝึกหนักกว่าผู้อื่น ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คิดว่าเขากล้าทำ เมื่อฐานะของตนเองมั่นคงจึงได้เชิญบิดามารดารวมทั้งน้อง ๆ มาอยู่ด้วยกัน แต่บิดาอ่อนแอเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน ย้ายมาอยู่กับเขาได้ไม่ปีเศษก็ตายจาก เขาไม่ได้สนใจลาภยศใด เขาเพียงหวังให้ครอบครัวของเขาหลุดพ้นความยากจน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ในยามหนาวเหน็บ แต่กระนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้
“แต่ท่านก็ยังส่งข้าไป ท่านเขียนหนังสือหย่าข้า” นางยื่นมือไปโอบกอดร่างแกร่งที่ยามนี้เต็มไปด้วยผ้าพันแผล แม้เลือดจะหยุดแล้วแต่บนผ้าพันแผลยังมีรอยเลือดให้เห็นอยู่ “เพราะข้ารักเจ้า” เขากอดนาง กดปลายจมูกกับเรือนผมอ่อนนุ่ม สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย “ข้าก็รักท่าน” นางเอ่ยที่ออกมา “แม้ข้าจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนที่จะทำร้ายข้า ท่านพยายามปิดบังบางอย่างเพื่อปกป้องข้า ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาท่านเตรียมแผนการสำหรับครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ท่านไม่ได้ไปเอ้อหยีร์ในนามของแม่ทัพพิทักษ์ประจิม ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย ท่านเตรียมตัวไปตาย แต่ท่านลืมไปว่า ข้าคือหลิวหรูซื่อ คนที่ทำอาหารไม่เป็น แต่คัดลอกตำราพิชัยยุทธส่งให้ท่าน คนที่ตระเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน และเป็นสตรีใจแคบที่ไม่ยอมให้ท่านรับอนุ ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเอง แต่ข้าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องรับผิดใด ๆ และยังสามารถกลับเมืองหลวงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวได้” “เจ้ามีแผนใด” แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับมา จึงทุ่มเทสุดเรี่ยวแรงเพื่อให้ครั้งนี้ทำสำเร็จ “
ม้าพุ่งทะยานฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บพ้นเขตเอ้อหยีร์ ม้าของแม่ทัพหนุ่มรั้งท้าย แม้มีหยาดเลือดไหลเปื้อนใบหน้า ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งราวกับปาดเหงื่อ แต่หัวใจเขาพุ่งกลับไปที่ถึงค่ายทหารก่อนแล้วด้วยการเตรียมการของหรูซื่อ นางสั่งการผ่านรองแม่ทัพ เมื่อทหารห้าสิบนายกลับมาถึงค่ายทหารให้ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใด การะจายคนทั้งห้าสิบพักตามกระโจมต่าง ๆ แม้จะตื่นเต้นยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้แต่กระนั้น หรูซื่อที่ห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมของสามียืนรอเขากลับมาที่หน้ากระโจมหลักเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล สายตาของนางนับคนที่กลับมา แม้พวกเขาจะบาดเจ็บแต่ยังรักษาชีวิตมาได้ นางหวงฝูเห็นบุตรชายกลับมาปลอดภัยก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรีบเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที ม้าสองตัวควบขนาบคู่กันมา ดวงตาของหญิงสาวเพ่งมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไปนัก แต่ก็บังคับได้ยากเย็น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เฝ้ารอเข้ามาใกล้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อคลอ ทว่าสองเท้ากลับเหมือนถูกตอกตรึงไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ยืนมองเขาลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาทางนาง “หรูซื่อ...” มีคำถามมากหมาย
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”