“ข้าเข้าใจแล้ว” นางเอ่ยไปเช่นนั้นแต่ในใจยังคงว้าวุ้นสับสน แสร้งหลับตาลง เมื่อรับรู้ว่าในห้องไม่เหลือผู้ใดแล้วจึงลืมตาขึ้น ริมฝีปากงามถอนหายใจหนักหน่วง
นางบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก แต่ไม่อาจทำได้ ตั้งแต่ได้สติฟื้นขึ้นมา นางพบซุนหลวนคุนเป็นคนแรก เขาบอกว่านางคือภรรยาของเขาชื่อหรูซื่อ นางก็เชื่อทุกสิ่งที่เขาพูด แต่นางคือ ‘หรูซื่อ’ ภรรยาของเขาจริง ๆหรือไม่นั้น ไม่มีใครยืนยันได้ เขาเล่าว่ารถม้าของนางถูกปล้นชิง คนติดตามล้วนถูกสังหารหมดสิ้น ข้าวของที่นำมาถูกขโมยไปสิ่งที่เหลือก็ใช้การอะไรไม่ได้ นางโชคดีที่เขาและทหารลาดตระเวนมาพบและเข้าช่วยเหลือได้ทัน
‘หรูซื่อ’
‘หลิวหรูซื่อ’
ชายแปลกหน้าผู้นั้นก็เรียกนางว่า ‘หรูซื่อ’ นางคงเป็น‘หรูซื่อ’จริงๆ นั้นแหละ ทว่านางไม่คุ้นหน้าชายผู้นั้นเลย แต่น้ำเสียงและแววตาตัดพ้อนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นการจำคนผิดเป็นแน่
ทำไมคนผู้นั้นถึงมองนางเช่นนั้น
นางทำสิ่งใดไว้หรือ? ทำเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ถึงขนาดที่จ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้น
หรือนางทำเรื่องผิดต่อซุนหลวนคุน เขาจึงไม่กลับบ้าน ทำให้ห้าปีที่แต่งงานกันแต่นางก็ยังไร้ทายาท
หญิงสาวปิดเปลือกตาอย่างอ่อนล้า ได้ยินเสียงเปิดประตูก็เข้าใจไปว่าป้าหวงฝูนำยามาให้ เพียงแค่คิดถึงยารสขมฝาด นางอยากแสร้งหลับไม่รับรู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าใบหน้าถูกปลายนิ้วกระด้างไล้ผ่านแผ่วเบา นางลืมตาขึ้นมองเห็นใบหน้าของซุนหลวนคุนที่โน้มลงมองนางอยู่ หญิงสาวกะพริบตาปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่ง จึงมั่นใจว่าไม่ได้ฝันไปจึงยันกายลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“ท่านแม่ทัพ...เอ่อ...ท่านพี่”
“เป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินว่าเจ้าไม่สบาย”
“ข้า...” นางไม่รู้จะเล่าเรื่องที่เจอวันนี้อย่างไร แต่เมื่อเห็นว่าเขายังสวมชุดทหารอยู่ ในใจพลันรู้สึกผิดมากขึ้น “ข้าทำให้ท่านพี่ลำบากอีกแล้ว”
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าควรใส่ใจทุกเรื่องของเจ้า” เขานั่งลงริมเตียงยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมที่ลงมาเคลียแก้มของนาง “เจ้าลุกขึ้นมาดื่มยาเสียหน่อยค่อยนอนต่อ”
ท่าทางเหมือนเด็กขยาดยา ทำให้เขายิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดู รอยยิ้มของเขาทำให้หรูซื่อตะลึงงันไป ความว้าวุ่นใจพลันหายไปหมดสิ้น นางอยากเห็นเขายิ้มบ่อย ๆ แต่ก็อยากให้รอยยิ้มของเขา เป็นของนางผู้เดียว
นางปรารถนาจะเห็นรอยยิ้มของเขา และยิ้มให้นางเช่นนี้ตลอดไป
แม่ทัพหนุ่มหยิบชามยาแล้วเป่าไล่ไอร้อนจนมั่นใจว่าอุ่นพอดีแล้วจึงใช้ช้อนป้อนให้นาง แต่ริมฝีปากดุจผลอิงเถาไม่ยอมอ้าปากดื่มยา เขาเลิกคิ้วขึ้นเหมือนตั้งคำถาม นางส่งสายตาอ้อนวอนแต่กลับทำให้แม่ทัพหนุ่มหัวเราะในลำคอ
“ก็มันขมนี่” นางหลุดปากพูดออกมาจนได้ เขาถือดีอย่างไรมาหัวเราะนาง นางต้องทนดื่มยาขมๆ นี่มาตั้งหลายวันแล้วนะ
“ได้ ข้ามีวิธี”
เขายังคงยิ้มแต่แววตาแฝงรอยเจ้าเล่ห์ นางมองเขาอย่างงุนงงเมื่อเห็นเขายกชามยาขึ้นดื่มเสียเอง แต่อึดใจต่อมามือข้างหนึ่งประคองท้ายทอยของนางไว้มั่น แล้วตามด้วยริมฝีปากของเขาทาบลงมาที่ริมฝีปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อยของนาง นางไม่อาจถอยหนีได้เพราะมือที่ประคองลำคอของนางไว้ ยารสขมไหลผ่านจากปากของเขาสู่ปากของนาง ดวงตากลมเบิกกว้าง แต่เมื่อเห็นแววตาของเขาที่จ้องมองราวกับจะกลืนกินทำให้ดวงตาของนางหลุบลง ปล่อยให้ยาแสนขมไหล่ผ่านลำคอจนหมดสิ้น ทว่าเขากลับไม่หยุดเพียงแค่นี้ เรียวลิ้นแทรกเข้ามาในโพรงปากหยอกล้อกับเรียวลิ้นของนาง มือเลื่อนจากท้ายทอยแล้วที่แผ่นหลังของนางโอบรัดร่างเล็กเข้ามาแนบชิด ถูกปิดกั้นลมหายใจจนมึนงง จนกระทั่งเขายอมถอนริมฝีปาก หรูซื่อรีบอ้าปากสูดลมหายใจเข้าปอด แววตาของเขายังคงร้อนแรงแต่มุมปากมีรอยยิ้ม นางยกมือขึ้นทุบแผ่นอกกำยำแล้วขึงตาใส่
“ท่านแกล้งข้า! ยาก็ขมยังจะมาปิดปากไม่ให้ข้าหายใจได้อีก”
ซุนหลวนคุนคว้ามือนางขึ้นมาแล้วประทับริมฝีปากกับกลางฝ่ามืออ่อนนุ่ม นางชะงักไป สองแก้มแดงระเรื่อพยายามดึงมือกลับแต่เขายึดไว้ แล้วหญิงสาวก็สะดุ้งเมื่อลิ้นร้อนของเขาแตะที่กลางฝ่ามือของนาง
“ท่าน...ท่านพี่ทำอะไร”
น้ำเสียงที่ถามเบายิ่งกว่าเสียงยุง หากเขาไม่ได้ฝึกยุทธคงไม่ได้ยินเป็นแน่
“ทำเช่นนี้เจ้าจะได้ไม่รู้สึกว่ายาขมอย่างไรเล่า” เขายิ้มแล้วประคองร่างภรรยาตัวน้อยลงนอนอีกครั้ง “แต่วิธีนี้ทำได้เฉพาะสามีภรรยาเท่านั้น เจ้าห้ามให้ใครทำเด็ดขาด”
“ข้า...ข้าทราบแล้ว” นางสบตาเขาแล้วเอ่ย “ท่านพี่ก็เช่นกัน ห้ามทำเช่นนี้กับผู้อื่น”
“ข้าสัญญา” เขาดึงผ้าห่มคลี่คลุมร่างแล้วเหน็บให้เรียบร้อย “กินยาแล้วเจ้าพักผ่อนเถิด”
เห็นเขากำลังจะไป นางยื่นมือไปคว้ามือของเขาไว้ก่อน
“คืน...คืนนี้ ท่าน..ท่านพี่กลับมานอนกับข้านะ” พูดออกไปแล้วก็นึกเขินอาย นางชักมือกลับแล้วดึงผ้าขึ้นคลุมโปงปิดซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อ
“เจ้านอนเถิด ข้าอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ”
ถ้อยคำของเขาทำให้หัวใจของหรูซื่อผ่อนคลายลง ที่วิตกกังวลก็จางไป ขอเพียงเขายังอยู่ข้างกายนาง ก็ไม่มีสิ่งใดให้นางต้องหวาดกลัวอีกแล้ว
ซุนหลวนคุนเฝ้ามองภรรยาตัวน้อยผล็อยหลับไปแล้ว จึงขยับตัวถอยออกมา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มหายไปหมดสิ้น เขาก้าวเท้าเดินออกมาอย่างเงียบเฉียบไม่รบกวนคนที่เข้าสู่ห้วงนิทรา เพียงก้าวเท้าออกมาจากห้องนอน แม่ทัพหนุ่มยกมือส่งสัญญาณ องครักษ์เงาที่เร้นกายอยู่ราวยี่สิบคนก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า
“ท่านแม่ทัพ”
“พวกเจ้าคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่จงทำอย่างเงียบเฉียบอย่าให้เรื่องนี้รู้ถึงฮูหยินของข้า”
“รับทราบ!”
ร่างองครักษ์เงาหายไปราวภูติผีไร้เงา แม่ทัพหนุ่มสูดลมหายใจลึก แล้วยกมือขึ้นกดบริเวณหัวใจของตน
ครั้งนี้เขาจะไม่เสียนางไปอีก
เขาจะไม่ยอมให้ดวงใจต้องพลัดพรากจากนางอีกแล้ว ความทุกข์ทรมานที่ได้รับมันมากมายเหลือเกิน จนเขาไม่คิดว่าตนเองจะฝืนรับได้อีกครั้ง แม้ต้องใช้วิธีที่ชั่วช้าหรือเลวทรามที่สุด เขาจะทำทุกวิธีเหนี่ยวรั้งนางไว้ข้างกาย.
ในความมืด สองเท้าวิ่งไปเต็มฝีเท้า รองเท้าหลุดออกจากเท้าเมื่อไหร่ไม่รู้ แม้จะเจ็บแต่หญิงสาวรู้ว่าหยุดไม่ได้ หยาดน้ำตาหยดใสไหลรินจากดวงตาที่เบิกกว้าง รู้เพียงว่าต้องหนี นางเอี้ยวตัวมองด้านหลังเพียงแวบเดียว แต่ทำให้ร่างกระแทกกับบางสิ่ง นางหันกลับมาอย่างตกใจ ร่างบอบบางซุกในแผ่นอกแข็งแกร่งดุจหินผา ดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองว่างเปล่าจนน่าใจหาย ริมฝีปากเผยอขึ้นจะส่งเสียงเรียกคนเบื้องหน้า ทว่ามือใหญ่หยาบกระด้างกุมลำคอของนาง แรงบีบรอบลำคอทำให้นางหายใจไม่ออกแต่ยังเค้นเสียงออกมา
‘ทำไม...’
‘อย่าโกรธข้าเลย ข้าไม่อาจมอบเจ้าให้ใครได้’
“หรูซื่อ...เจ้าตื่นเถอะ เจ้าฝันร้าย”
ซุนหรวนคุนเขย่าตัวหรูซื่อเบาๆ หญิงสาวหวีดร้องแล้วลืมตาโพลง น้ำตาเปื้อนเปรอะใบหน้า มือเรียวเล็กคว้าสาบเสื้อของเขาไว้แน่น
“หรูซื่อ?”
“ทำไม...”
“....”
“ทำไมต้องฆ่าข้า ทำไม...”
‘นาง...จำได้แล้ว’
ถ้อยคำของนางทำให้ร่างของชายหนุ่มเกร็งไปทั่วร่าง ดวงตาฉ่ำน้ำตาปิดลงไปอีกครั้งและร่างเอนพิงอกแกร่ง หัวใจชายหนุ่มถูกบีบรัดเจ็บเจียดคลั่ง
“อื้อ...”
เสียงครางแผ่วทำให้ซุนหลวนคุนตื่นจากภวังค์ เขาก้มมองร่างในอ้อมกอดที่ค่อยๆ ฟื้นได้สติ ดวงตาที่ยังมีหยดน้ำตาจ้องมองใบหน้าของเขา หรูซื่อกะพริบตาปรับสายตาครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือแตะแก้มของเขาอย่างลืมตัว
“เข้ามาคุยด้านในเถิด” เขาปล่อยมือจากไหล่ของนางแล้วเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ทว่าสายตาของนางถูกตำรามากมายดึงดูดไว้จนหลงลืมว่ามี ‘สามี’ อยู่ใกล้ๆ “ข้าไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะชอบสะสมหนังสือมากขนาดนี้” ‘ท่านแม่ทัพ’ ภรรยาหมาดๆ สนใจแต่หนังสือมากมายเหล่านั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาไม่พอใจของสามีหมาดๆ อย่างเขา ซุนหลวนคุน ลอบถอนหายใจ นางเพิ่งย่างเท้าเข้าบ้านมาเป็นคนสกุลซุน คงไม่คุ้นชินกับการเรียกขานนัก “อีกห้าวันข้าต้องออกเดินทางแล้ว” “เดินทาง? ท่านแม่ทัพจะไปไหนรึ” หลิวหรูซื่อหันมามองหน้า ‘สามี’ นางทำหน้างุนงงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องขบกรามเน้นเช่นนั้น“ได้ ข้าจะเตรียมตัว” “เจ้าไม่ต้องไป” น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้นเล็กน้อย บอกตนเองว่าต้องให้ ‘เวลา’ นางมากกว่านี้ เขาจะโมโหนางไม่ได้เด็ดขาด “เหตุใดไม่ให้ข้าไป” นางเอียงคอถาม ท่าทางไร้เดียงสา “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมารดาข้าเถิด” เขากดน้ำเสียงไม่ให้หงุดหงิดจนเกินไป “นับจากนี้เจ้าเป็นนายหญิงของจวน ต้องรับภาระดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านร่วมกับมารดาข้าแล
“แต่งงาน! น้องเล็กอายุแค่สิบเอ็ดจะให้แต่งงานแล้วหรือ?” “อีกสองเดือนน้องเล็กคนนี้ก็สิบสองแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของร่างเล็กเดินเร็วๆ ยื่นมือมาหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางบนโต๊ะเข้าปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าแอบฟังพ่อกับพี่ๆ คุยกันอีกแล้วนะ”ราชครูหลิวถอนหายใจเบาๆ แต่กลับยิ้มเอ็นดูลูกสาวคนเดียวของสกุลหลิวไม่ได้ แม้นางเป็นหญิงแต่เฉลียวฉลาดแต่เด็ก หากไม่นับเรื่องวรยุทธแล้ว นางก็ไม่ด้อยกว่าบุรุษเลย “ซื่อเอ๋อร์ไม่ได้แอบฟังเสียหน่อย แต่เสียงพี่ๆกับท่านพ่อดังไปนอกห้องเอง” เด็กหญิงตัวน้อยไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้ยิน “แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” บิดาเอ่ยถามพลางรินน้ำให้ลูกสาวอย่างเอาใจ “คนแซ่ซุนอยากแต่งข้าเป็นภรรยา ก็แต่งสิ ไม่เห็นต้องกังวลเลย” นางรับน้ำมาดื่มเล็กน้อยแล้วกินขนมต่อ มุมปากเลอะคราบขนมทำให้พี่ใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้นาง “คนแซ่ซุนไม่มีอะไรเหมาะสมกับเจ้าเลยสักนิด” พี่ชายคนรองเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แค่ทหารปลายแถวที่ถีบตนเองขึ้นมาจากดินโคลน” “ข้าเชื่อว่าคนแซ่ซุน
ความรู้สึกเจ็บปวดนี่มันคืออะไรกัน เป็นอีกเช้าที่ซุนหลวนคุนลืมตาตื่นแล้วพบว่า ดวงตาของตนมีน้ำตาเอ่อคลอ น่าอายเหลือเกิน เขาอายุสิบแปดแล้ว แต่ยังนอนละเมอร้องไห้อยู่อีก ที่สำคัญ เขาไม่เคยจำได้เลยว่าฝันถึงเรื่องใด ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นจะเหลือเพียงความเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งบนเตียง เขาตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องฝึกเพลงยุทธ เขาเป็นทหารมาหลายปีไต่เต้าด้วยความสามารถ มือสองข้างเปื้อนเลือดคล้ายตัวเขามีกลิ่นอายของความตายโอบกอดอยู่ เขาถอนหายใจ จะทำอย่างไรได้ เขาเลือกเส้นทางนี้เอง แต่ก่อนนั้นครอบครัวของเขาเป็นเพียงชาวนายากจน เขาเป็นพี่ชายคนโตที่หนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นทหาร เขาฝึกหนักกว่าผู้อื่น ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คิดว่าเขากล้าทำ เมื่อฐานะของตนเองมั่นคงจึงได้เชิญบิดามารดารวมทั้งน้อง ๆ มาอยู่ด้วยกัน แต่บิดาอ่อนแอเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน ย้ายมาอยู่กับเขาได้ไม่ปีเศษก็ตายจาก เขาไม่ได้สนใจลาภยศใด เขาเพียงหวังให้ครอบครัวของเขาหลุดพ้นความยากจน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ในยามหนาวเหน็บ แต่กระนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้
“แต่ท่านก็ยังส่งข้าไป ท่านเขียนหนังสือหย่าข้า” นางยื่นมือไปโอบกอดร่างแกร่งที่ยามนี้เต็มไปด้วยผ้าพันแผล แม้เลือดจะหยุดแล้วแต่บนผ้าพันแผลยังมีรอยเลือดให้เห็นอยู่ “เพราะข้ารักเจ้า” เขากอดนาง กดปลายจมูกกับเรือนผมอ่อนนุ่ม สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย “ข้าก็รักท่าน” นางเอ่ยที่ออกมา “แม้ข้าจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนที่จะทำร้ายข้า ท่านพยายามปิดบังบางอย่างเพื่อปกป้องข้า ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาท่านเตรียมแผนการสำหรับครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ท่านไม่ได้ไปเอ้อหยีร์ในนามของแม่ทัพพิทักษ์ประจิม ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย ท่านเตรียมตัวไปตาย แต่ท่านลืมไปว่า ข้าคือหลิวหรูซื่อ คนที่ทำอาหารไม่เป็น แต่คัดลอกตำราพิชัยยุทธส่งให้ท่าน คนที่ตระเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน และเป็นสตรีใจแคบที่ไม่ยอมให้ท่านรับอนุ ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเอง แต่ข้าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องรับผิดใด ๆ และยังสามารถกลับเมืองหลวงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวได้” “เจ้ามีแผนใด” แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับมา จึงทุ่มเทสุดเรี่ยวแรงเพื่อให้ครั้งนี้ทำสำเร็จ “
ม้าพุ่งทะยานฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บพ้นเขตเอ้อหยีร์ ม้าของแม่ทัพหนุ่มรั้งท้าย แม้มีหยาดเลือดไหลเปื้อนใบหน้า ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งราวกับปาดเหงื่อ แต่หัวใจเขาพุ่งกลับไปที่ถึงค่ายทหารก่อนแล้วด้วยการเตรียมการของหรูซื่อ นางสั่งการผ่านรองแม่ทัพ เมื่อทหารห้าสิบนายกลับมาถึงค่ายทหารให้ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใด การะจายคนทั้งห้าสิบพักตามกระโจมต่าง ๆ แม้จะตื่นเต้นยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้แต่กระนั้น หรูซื่อที่ห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมของสามียืนรอเขากลับมาที่หน้ากระโจมหลักเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล สายตาของนางนับคนที่กลับมา แม้พวกเขาจะบาดเจ็บแต่ยังรักษาชีวิตมาได้ นางหวงฝูเห็นบุตรชายกลับมาปลอดภัยก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรีบเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที ม้าสองตัวควบขนาบคู่กันมา ดวงตาของหญิงสาวเพ่งมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไปนัก แต่ก็บังคับได้ยากเย็น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เฝ้ารอเข้ามาใกล้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อคลอ ทว่าสองเท้ากลับเหมือนถูกตอกตรึงไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ยืนมองเขาลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาทางนาง “หรูซื่อ...” มีคำถามมากหมาย
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”