ภายหลังที่จื่อหนิงวางแผนกับผู้ช่วยคนใหม่ นางจึงทำน้ำแกงบำรุงร่างกายของตนเสียก่อน จากนั้นจึงไปยังห้องเก็บวัตถุดิบ นางหยิบเอาสมุนไพรหลายตัวที่มีฤทธิ์กดประสาท เพื่อนำไปต้มรวมกันในหม้อปรุงอาหาร ทำเป็นน้ำแกงให้กับคนตระกูลหร่วนได้ดื่ม
“เสี่ยวถังเป่าเจ้านำน้ำแกงสมุนไพรนี้ ไปใส่ถ้วยในห้องครัวให้ข้าที ยังมีผัดผักอีกสองอย่างกับข้าวสวยพวกเขาจะได้ไม่สงสัย”
‘ได้เลย ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอนจื่อหนิง’
“อื้ม ข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้า”
จื่อหนิงมองเสี่ยวถังเป่าเก็บน้ำแกงสมุนไพร รวมถึงอาหารที่นางทำสองอย่างเข้ามิติส่วนตัว และหายออกไปต่อหน้าต่อหน้า จากนี้แค่รอฟังข่าวว่าคนตระกูลหร่วนดื่มน้ำแกงจนหลับไหล นางถึงจะออกไปเก็บค่าแรงย้อนหลังได้
เสี่ยวถังเป่าออกจากมิติของจื่อหนิง ก็บังเอิญเห็นหร่วนชางลี่เดินตรงไปยังห้องครัว ตนจำต้องรีบวิ่งไปยังห้องครัวให้เร็วที่สุด เพื่อจัดการตามแผนของจื่อหนิงได้อย่างเฉียดฉิว
หร่วนชางลี่ที่ถูกพี่ชายคนรองใช้ให้นางมาทำอาหารเช้าอย่างไม่เต็มใจนัก แต่พอเข้ามาถึงก็มีอาหารวางอยู่แล้ว นางจึงคิดว่าพี่สะใภ้รองทำไว้ก่อนไปตามหาจื่อหนิง “อาหารก็ทำไว้แล้วยังจะใช้ข้าอีก”
เมื่ออาหารถูกยกเข้ามาวางบนโต๊ะ เพราะออกไปเดินตามหาคนจนเหน็ดเหนื่อย ไม่มีใครระแวงสงสัยว่าอาหารคือฝีมือของใคร ต่างคนต่างคิดว่าพี่สะใภ้รองเป็นคนทำ ส่วนคนเป็นพี่ชายคนรองก็คิดว่าน้องสาวเป็นคนทำ ด้วยความหิวจึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องของจื่อหนิง
จนกระทั่งอิ่มหนำสำราญและแยกย้ายกัน เพื่อเตรียมตัวไปทำงานของแต่ละคน จู่ ๆ พวกเขาก็เกิดอาการง่วงงุนจนไม่อาจฝืนมันได้ ทั้งบุรุษและสตรีในบ้านหลังนี้ต่างล้มลงนอนบนพื้น เหมือนคนอดหลับอดนอนมานานทันที
‘สมน้ำหน้าเจ้าพวกสารเลว เงินทองที่เก็บสะสมไว้ทั้งหมด ข้าจะให้จื่อหนิงเก็บเข้ามิติไปให้หมด หลังจากนี้พวกเจ้าก็ทำงานเก็บเงินใหม่เถิด เหอะ’
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน เสี่ยวถังเป่าจึงหายตัวเข้ามิติไปหาจื่อหนิง และบอกเล่าเหตุการณ์ด้านนอกให้ฟัง ‘จื่อหนิง ๆ
เจ้าพร้อมหรือยัง ด้านนอกนอนหลับสนิทกันทั้งบ้านแล้วนะ ถ้าเจ้าพร้อมข้าจะพาไปรับค่าแรงที่เจ้าอยากได้’พรึบ! “เจ้าพูดจริงรึเสี่ยวถังเป่า หึ คราวนี้คนพวกนั้นจะได้ทำงานทั้งหมดเองเสียที จิกหัวใช้เจ้าของร่างมานาน ดูท่าคนที่จะดวงซวยคงไม่พ้นอาหญิงเล็กกับบุตรสาวเป็นแน่” เพราะหร่วนชางลี่เลิกรากับสามีที่เป็นช่างตีเหล็ก และพาบุตรสาวกลับมาอาศัยบ้านเดิมมาหลายปี พวกนางสองแม่ลูกย่อมถูกกดหัวให้ทำงานแทนนางอยู่แล้ว
จื่อหนิงออกจากมิติพร้อมเสี่ยวถังเป่า นางค่อย ๆ เดินเข้าไปชะโงกหน้ามองด้านในผ่านช่องประตู เมื่อเห็นว่าภายในเงียบสนิทไม่มีเสียงความเคลื่อนไหว จึงเปิดประตูเข้าไปใช้มือสะกิดตัวอารอง เพื่อความแน่ใจว่าจะไม่มีใครตื่นมาระหว่างที่นางเก็บค่าแรง
ปึก! “หึ สมน้ำหน้านอนหลับยาว ๆ ไปเถอะ ส่วนเงินทองของพวกเจ้าข้าจะช่วยใช้ให้เกิดประโยชน์เอง ไปเสี่ยวถังเป่า
พวกเรารีบเก็บค่าแรง และออกไปจากหมู่บ้านไป๋หยุนกันดีกว่า”‘อื้ม เจ้าตามข้ามาก็แล้วกันเก็บให้หมดทุกห้อง สิ่งไหนมีค่าเจ้าก็เก็บไปด้วยเถิดพอไปถึงอำเภออื่น ค่อยเอาออกไปขายทีหลัง’
“แน่นอนสิเสี่ยวถังเป่า พวกเราจะเป็นคู่หูจอมโจรลึกลับ ที่กวาดของมีค่าทุกอย่างให้เกลี้ยง ฮ่า ๆ ๆ” จื่อหนิงนึกถึงสีหน้าของคนในบ้านหลังนี้ หลังตื่นมาพบกับความว่างเปล่าก็หัวเราสะใจ
หนึ่งคนกับกระรอกน้อยหนึ่งตัว กำลังรื้อค้นในห้องนอนของคนในบ้าน ไม่ว่าจะเจอก้อนเงินตำลึงหรือตั๋วเงิน แม้กระทั่งเครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ จื่อหนิงไม่ทิ้งไว้ให้สตรีคนไหนได้ใช้อีก นางจะนำไปขายเปลี่ยนเป็นเงินให้หมด
เมื่อจื่อหนิงเก็บค่าแรงจากการทำงานเสร็จ จึงรีบชักชวนเสี่ยวถังเป่าออกจากหมู่บ้านไป๋หลุน เพราะนางกลัวว่าหากยังอยู่ในบ้าน เกรงว่าจะมีสหายของอารองมาตามไปทำงาน ถ้าคนพวกนี้ตื่นขึ้นมาเสียก่อนนางคงหลบหนีได้ยากแล้ว
“เสี่ยวถังเป่าพวกเรารีบไปกันเถอะ ข้ายังต้องเข้าไปที่ตำบลหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ขืนใส่ชุดเก่า ๆ ปะแล้วปะอีกเดินทาง มีหวังคงถูกพวกค้าทาสจับตัวไปขายแน่”
‘ได้เลย ก่อนอื่นต้องเข้าไปในมิติของเจ้าเสียก่อน จากนั้นค่อยออกคำสั่งว่าจะให้มิติพาเจ้าไปโผล่ที่ใด’
“อืม” วับ! “มิติวิเศษช่วยพาข้าไปยังชายป่านอกเขตตำบลหลานฮวาที อ้อ ขอเป็นบริเวณที่ไม่ไกลทางเข้าตำบล
และไม่มีคนเห็นยามที่ข้าออกจากมิติ”หลังจากจื่อหนิงพูดจบ นางรู้สึกได้ว่าในมิติคล้ายไม่มีการเคลื่อนไหว แต่เป็นเสี่ยวถังเป่าที่สะกิดบอกกับนาง ว่ายามนี้ได้มาถึงนอกเขตตำบลหลานฮวาแล้ว
‘ออกไปดูด้านนอกเถิดจื่อหนิง ว่าใช่สถานที่ที่เจ้าออกคำสั่งไปเมื่อครู่หรือไม่’
“พวกเราออกไปพร้อมกันดีกว่านะเสี่ยวถังเป่า หากเป็นเช่นที่เจ้าพูดข้าจะได้หยิบเครื่องประดับออกไปขาย จะได้ใช้เงินนี้
ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เสียก่อน ขืนเข้าร้านไปและจ่ายเงินในสภาพน่าสังเวช คงถูกทางการจับตัวเพราะคิดว่าข้าเป็นหัวขโมยละนะ”เสี่ยวถังเป่าใช้ดวงตาเล็ก ๆ มองตั้งแต่หัวจรดเท้าของจื่อหนิง ก็เห็นจะจริงอย่างที่นางพูดเพราะชุดบนร่างของนางเก่าคร่ำครึสุด ๆ รอยปะชุนจนทั่วมองอย่างไรก็เป็นผ้าขี้ริ้วดี ๆ นี่เอง
พรึบ! จื่อหนิงหลับตาก่อนจะออกมาด้านนอก นางไม่กล้ามองด้วยกลัวว่าจะยังอยู่ที่เดิม เมื่อสัมผัสถึงสายลมที่พัดผ่านร่างกาย จึงค่อย ๆ ลืมตาอย่างช้า ๆ ซึ่งภาพตรงหน้าทำเอานางถึงกับกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ
“โฮะ! เสี่ยวถังเป่าข้าหลบหนีจากตระกูลเฮงซวยนั่นได้แล้ว จากนี้ข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง และตามหาขาทองคำในการพึ่งพาอำนาจ พอข้าได้รับความไว้วางใจค่อยจัดการบิดาชั่วนั่น ฮ่า ๆ ๆ”
‘ข้าเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถมากพอ ที่จะมีขาทองคำมาให้เกาะจนไม่อยากปล่อยมือเชียวล่ะ ส่วนบิดาชั่ว ๆ ของเจ้าไว้จัดการทีหลังก็ยังทันถมเถ’
“ใช่ดั่งคำที่ว่าแก้แค้นสิบปียังไม่สาย หร่วนฉินหงเจ้ารอข้าก่อนเถิด วันหน้าบุตรสาวคนใหม่ผู้นี้จะไปแสดงความกตัญญูต่อเจ้าเอง แต่ตอนนี้รีบไปจัดการธุระส่วนตัวของข้าให้เสร็จก่อนก็แล้วกัน ค่อยออกเดินทางต่อให้ไกลจากตำบลหลานฮวา”
จื่อหนิงเดินลัดเลาะออกจากชายป่า โดยมีเสี่ยวถังเป่าเกาะอยู่บนไหล่ของนาง เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่งก็เริ่มพบผู้คนสัญจรไปมา แต่สายตาของคนเหล่านั้นที่เห็นนางเดินเพียงลำพัง เต็มไปด้วยความรู้สึกนึกคิดที่หลากหลาย คนที่พอมีจิตใจเมตตาก็รู้สึกสงสาร คนที่ดูถูกชาวบ้านที่มีฐานะยากจนย่อมมองอย่างเหยียดหยาม หรือบางคนมองด้วยความเฉยชาก็มีเช่นกัน
จื่อหนิงทำอย่างที่พูดด้วยการขายเครื่องประดับ ซึ่งเป็นของอาสะใภ้รองที่เก็บเอาไว้อย่างดี นางขายไปหลายชิ้นได้เงินมา
เกือบสิบตำลึงเงิน จึงพาตัวเองไปยังร้านผ้าซื้อชุดที่ตัดสำเร็จสามสี่ชุด และขอใช้ห้องที่ร้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทันทีด้วยเค้าโครงใบหน้าที่งดงามเหมือนมารดา ผู้ซึ่งมาจากตระกูลเศรษฐีกินดีอยู่ดี พี่น้องของมารดาในตระกูลหวงล้วนงดงามหล่อเหลาทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อจื่อหนิงได้เปลี่ยนชุดใหม่ แม้รูปร่างจะยังดูซูบผอมอยู่บ้าง แต่ยังคงความโดดเด่นของดวงตากลมโต ที่แฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาดและซุกซน ตามประสาของคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะด้านโภชนาการจากโลกคู่ขนาน
ภายหลังผ่านพ้นคืนเข้าหอที่มีอุปสรรคเป็นบุตรชายตัวน้อย หลี่อ๋องไม่คิดว่าบุตรชายจะทำอย่างที่ตนพูดจริง ๆ นั่นคือการเรียกทุกคนในจวนไปที่เรือนหยางชู เพื่อเตรียมยาบำรุงให้เสด็จแม่คนใหม่ เพราะต้องการให้น้อง ๆ มาเกิดไว ๆแต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลังจากผ่านไปไม่ถึงสามเดือน จื่อหนิงจะตั้งครรภ์สมใจซื่อจื่อน้อย เมื่อมีข่าวดีคนที่อยากมีน้องตัวน้อย ยิ่งทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์พระมารดา รวมถึงน้องน้อยที่อยู่ในครรภ์ทุกย่างก้าวจนกระทั่งถึงวันที่จื่อหนิงเจ็บครรภ์จะคลอด มิได้มีเพียงเจ้าของจวนและตระกูลหวงเท่านั้นที่รอลุ้น แต่ชาวเมืองหลงเฉิงก็มารอลุ้นเช่นกันว่า ครรภ์นี้ของจื่อหนิงจะเป็นท่านชายหรือท่านหญิง‘พวกเจ้าว่าครรภ์แรกของพระชายาจะเป็นหญิงหรือชาย’‘ข้าว่าเป็นชาย /ข้าว่าเป็นหญิง’แม้จะรู้สึกเจ็บปวดเกินจะทานทนในยามคลอด ยังดีที่จื่อหนิงให้เสี่ยวถังเป่าเตรียมยาสมุนไพร รวมถึงน้ำพุวิญญาณเอาไว้ล่วงหน้า การคลอดลูกครั้งแรกนี้จึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และข่าวดีสำหรับทุกคน ก็คือหลี่อ๋องได้บุตรสาว ที่หน้าตางดงามล่มเมืองตั้งแต่เกิดยามที่ยังเล็กก็เป็นที่ห่วงหวงมากแล้ว แต่ยิ่งโตทุกคนยิ่งหวงบุตรหลานคนนี้เข้าไปใหญ่ ท่านหญิงห
เมื่อตกลงปลงใจแล้วว่าจะร่วมใช้ชีวิตกับหลี่อ๋อง จากนั้นถัดมาอีกสามวันหลี่อ๋องจึงพาจื่อหนิงและบุตรชาย ไปเยือนจวนตระกูลหวงเพื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงาน ซึ่งหลี่อ๋องได้ส่งพ่อบ้านห้าวมาแจ้งไว้ล่วงหน้าแล้วเนื่องจากหลี่อ๋องถูกบุตรชายรบเร้าเรื่องพี่น้องอยู่ทุกวัน หากเขายังไม่ขยับตัวทำเรื่องนี้ให้ถูกต้อง เกรงว่าที่เรือนของเขา คงไม่สงบสุขอีกอีกต่อไปเป็นแน่ การเจรจาเรื่องการแต่งงานจึงต้องจัดการโดยเร็วหลังจากได้รับรายงานจากพ่อบ้านหวง ว่าหลี่อ๋องจะมาเยือนที่จวนด้วยเรื่องสำคัญ ทุกคนในตระกูลหวงจึงหยุดงานทั้งหมด และรอต้อนรับหลี่อ๋องรวมถึงหลานทั้งสองของพวกเขา จกระทั่งรถม้าจากจวนอ๋องหยุดลงที่หน้าจวน นายท่านหวงจึงนำทุกคนทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ /เพคะ”“ทุกท่านตามสบายเถิดอย่าได้มากพิธีเลย”“คารวะท่านตาท่านยาย ท่านลุงกับป้าสะใภ้ด้วยเจ้าค่ะ /ขอรับ” จื่อหนิงกับซื่อจื่อน้อยทำความเคารพญาติของตนบ้างเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของชาวบ้าน นายท่านหวงจึงเชื้อเชิญแขกเข้าไปด้านในห้องโถงรับรอง เพราะอยากรู้ว่าที่หลี่อ๋องพาหลานชายหลานสาวมาพบ มีเรื่องสำคัญอันใดจะพูดคุยกับพวกตนกันแน่“ท่านอ๋
วันถัดมาภายหลังกลับมาถึงเมืองหลงเฉิง ทุกอย่างกลับเข้าสู่วิถีการใช้ชีวิตเช่นก่อนหน้าอีกครั้ง จื่อหนิงยังคงทำหน้าที่ดูแลอาหารและของบำรุง การเรียนการสอนทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ เสริมให้ซื่อจื่อน้อย หลังจากนั้นก็เป็นการดูแลแปลงสมุนไพร และไปดูแลร้านไป๋อวี้ถังที่มีลูกค้าเข้าออกอย่างต่อเนื่องส่วนหลี่อ๋องยิ่งได้รับการดูแลจากจื่อหนิง ก็ไม่อยากห่างยามต้องไปจัดการเรื่องงานที่ค่ายทหาร แต่มักจะได้รับสายตาดุ ๆ จากสตรีร่างบางเสียทุกครั้ง สุดท้ายก็เป็นจื่อหนิงที่ต้องเสนอข้อแลกเปลี่ยนเป็นของบำรุง แต่หลี่อ๋องมักจะเพิ่มสิ่งแลกเปลี่ยน ด้วยการจุมพิตที่แก้มนวลก่อนออกจากจวนเช่นกันทางด้านชางอวี่ได้ทำตามรับสั่งอย่างเคร่งครัด นอกจากการปลดผู้ช่วยเจ้าเมืองออกจากตำแหน่ง และรับโทษโบยห้าสิบไม้ร่วมกับอนุภรรยาผู้นั้น ยังได้ปล่อยข่าวลือไปทั่วเมืองเฮยเฟิง ยามผู้ช่วยเจ้าเมืองพาครอบครัวออกจากจวน จึงถูกประณามและโดนผู้คนปาเศษผักและก้อนหิน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวรีบย้ายไปอยู่เมืองที่ห่างไกลทันทีในวันนี้ที่จื่อหนิงเข้ามาที่ร้าน หวงซวีหนานที่รู้ข่าวจากลูกจ้างก็รีบไปพบญาติผู้น้องของตนอย่างรวดเร็ว และครั้งนี้ยังมีหวงหมิงลู่ตามมาด้วยอีก
ภายหลังกลับมาถึงจวนท่านหมอก็มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน หลี่อ๋องยืนกำชับท่านหมอให้ตรวจจื่อหนิงอย่างละเอียด ว่านาง มิได้บาดเจ็บถึงกระดูกหรือมีส่วนใดแตกหัก แม้ท่านหมอจะตรวจซ้ำถึงสองครั้งแล้ว แต่หลี่อ๋องยังมีท่าทีไม่ยินยอม จื่อหนิงทนดูต่อไปไม่ไหวจึงต้องเอ่ยห้ามเสียเอง“ท่านหมอท่านตรวจให้ละเอียดมากกว่านี้ เปิ่นหวางยังไม่ค่อยวางใจถึงจะเป็นบาดแผลภายนอก แต่มันอาจกระเทือนไปถึงกระ...”“ท่านอ๋องเพคะ”“หนิงเอ๋อร์เรียกเปิ่นหวางทำไม หรือว่าเจ้ารู้สึกเจ็บที่ใดเพิ่มอีกรีบบอกกับท่านหมอระ...”“หยุด! ท่านอ๋องทรงอยู่เงียบ ๆ อย่าได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะไม่พูดกับพระองค์เป็นเวลาเจ็ดวันเพคะ”“ตะ...”“หือออ...”“เอ่อ ไม่พูด ๆ เปิ่นหวางจะนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ นะ เชิญเจ้าพูดกับท่านหมอต่อเถิด”จื่อหนิงถึงกับมองค้อนไปหนึ่งที “ท่านหมอข้ามิได้เป็นอันใดมาก แค่แผลถลอกข้ามียาทาติดตัวอยู่ จะใช้มันรักษาแผลเหล่านี้เองเจ้าค่ะ”ท่านหมอถึงกับแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากจื่อหนิงไม่ยอมออกปากหยุดหลี่อ๋องเอาไว้ เขาคงต้องคุกเข่าอ้อนวอนเป็นแน่ “ในเมื่อคุณหนูมียาอยู่แล้วย่อมเป็นเรื่องดี หากต้องการยาเพิ่มท่านไปพบข้าที่
เมื่อลงมายืนด้านล่างได้มั่นคงแล้ว เว่ยซูหรูรีบยกชายกระโปรงและวิ่งตรงไปหาหลี่อ๋อง โดยไม่สนสายตาผู้คนบนท้องถนนว่า จะมองนางเป็นสตรีกร้านโลกวิ่งตามบุรุษหรือไม่แฮ่ก ๆ ๆ “ท่านอ๋องเพคะ ๆ”หลี่อ๋องรีบหยุดเท้าของตนเมื่อมีสตรีเอ่ยเรียก และยังวิ่งมายืนขวางทางอย่างคนไร้มารยาท แต่สตรีนางนี้กลับไม่สนใจเรื่องมารยาท“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันดีใจจริง ๆ ที่ท่านอ๋องแวะพักในเมืองอวิ๋นเซียง นี่ก็ผ่านมาเกือบสองปีที่ท่านอ๋องมิได้แวะที่นี่...”“เจ้าเป็นใคร? ถึงได้บังอาจมาขวางทางเปิ่นหวางเช่นนี้”มิใช่หลี่อ๋องเพียงคนเดียวที่สงสัย แต่ยังมีจื่อหนิงกับซื่อจื่อน้อยที่สงสัยเช่นกันว่า สตรีที่ยืนขวางทางพวกตนอยู่นี้เป็นใคร นางช่างใจกล้าไม่กลัวว่าจะถูกหลี่อ๋องลงโทษแม้แต่น้อย“พวกเราไม่เคยรู้จักเจ้ามาก่อน เหตุใดถึงวิ่งมาขวางทางผู้อื่นเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวจะถูกเสด็จพ่อของข้าลงโทษงั้นหรือ”ชางอวี่จำได้ว่าเว่ยซูหรูคือผู้ใด เพราะสตรีที่ใจกล้าพยายามเข้าหาเจ้านายของตน มีเพียงหยิบมือเขาจะจำไม่ได้เชียวหรือ “ทูลท่านอ๋อง ซื่อจื่อนางเป็นบุตรสาวท่านเจ้าเมืองอวิ๋นเซียง ที่สำคัญนางยังหลงรักพระองค์และอยากเป็นพระชายาด้วยพ่ะย่ะค
หลี่อ๋องกับซื่อจื่อน้อยที่ยืนฟังอยู่นาน ก็เริ่มทำสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนกันอย่างกับแกะเข้าไปทุกที เมื่อฮ่องเต้ไม่ยอมหยุดตรัสเรื่องยากับจื่อหนิง ซื่อจื่อน้อยถึงกับเขย่ามือพระบิดาเป็นการส่งสัญญาณ ไหนจะสายตาที่สื่อความหมายง่าย ๆ ถึงกัน‘เสด็จพ่อรีบพาพี่จื่อหนิงกลับตำหนักได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ขืนยังอยู่ที่นี่เกิดเสด็จปู่รั้งตัวพี่จื่อหนิงเอาไว้ พวกเราจะไม่แย่หรือพ่ะย่ะค่ะ’‘จริงของเจ้าเสี่ยวอวี้ ขอบใจมากที่เตือนพ่อเรื่องนี้ พวกเราต้องรีบพาพี่จื่อหนิงของเจ้ากลับไปเก็บสัมภาระ เตรียมตัวกลับเมืองหลงเฉิงในวันพรุ่งนี้ ขืนยังอยู่ในเมืองหลวงอีกหลายวัน พี่จื่อหนิงของเจ้าคงไม่รอดแน่’“อะ ฮึ่ม ฝ่าบาทกระหม่อมต้องขอตัวพาหนิงเอ๋อร์กลับจวนแล้ว ยังมีเรื่องที่ตำหนักซือเจินให้ทำอีกมาก ส่วนเรื่องยาบำรุงก็เป็นไปตามที่หนิงเอ๋อร์ทูลกับพระองค์ เมื่อถึงเวลาคนของกระหม่อมจะนำมาส่ง และจะมิให้ผู้ใดแย่งชิงไปได้แน่พ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมทูลลา”“เอ่อ...”“หม่อมฉันทูลลาเพคะ /หลานทูลลาพ่ะย่ะค่ะเสด็จปู่”ฮ่องเต้ถึงกับตรัสสิ่งใดไม่ออก เมื่อเห็นอาการหึงหวงของพระนัดดาทั้งสอง “เฮ๊ เจ้าหลานสองคนนี่จะขี้หวงคนกับเจิ้น เกินไปแล้วนะ แค่พู