เพราะฆ่าคนไปมากมายในชาติก่อน นางจึงต้องมาใช้กรรมในชาตินี้กับสามีพิการ
ดูเพิ่มเติมโจวเมี่ยวเมี่ยวที่เคยอยู่ในครอบครัวหมอ แต่งงานกับบัณฑิตยากจนคนหนึ่งเพราะคิดว่าเขารักนางจริง ๆ ทั้งที่พ่อแม่ของนางไม่เห็นด้วย นางช่วยเหลือสามีและครอบครัวจนเขามีตำแหน่งใหญ่โตในเวลาเพียง 7 ปีหลังจากแต่งงาน
โจวเมี่ยวเมี่ยวมีลูกชายหนึ่งคนให้กับฉินเหยากวงสามี แต่พอเขาได้เป็นขุนนางขั้น 5 เขากลับพาบุตรีเสนาบดีหยินกลับจวนอย่างยิ่งใหญ่ และให้หยินซินหลินเป็นภรรยาเอก ทั้งที่นางกับลูกยังคงอยู่
ฉินหลางที่ยังเด็กไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้ที่จวนจึงมีคนมากมายได้แต่หันไปถามท่านแม่อย่างไร้เดียงสา
“ท่านแม่ขอรับ วันนี้บ้านเรามีงานอะไรหรือ? เหตุใดเราไม่ได้เข้าร่วมด้วยเล่า”
“ฮึก… งานแต่งงานของพ่อเจ้าน่ะ เราไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมหรอกลูก ไปที่เรือนกันก่อนเถอะ แม่จะสอนเจ้าอ่านหนังสือ”
“ขอรับ ท่านแม่ ท่านแม่อย่าร้องไห้เลย ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง”
โจวเมี่ยวเมี่ยวลูบหัวบุตรชายแล้วปาดน้ำตาออกไม่ให้ลูกชายเป็นห่วง นางยังคิดว่าสามีจะรักนางกับลูกไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้เขาจะแต่งงานใหม่แล้วก็ตาม
ตั้งแต่หยินซินหลินกับคนของนางเข้ามาอยู่ในจวน โจวเมี่ยวเมี่ยวถูกบังคับให้ทำงานไม่ต่างจากบ่าวไพร่ในเรือนเลยแม้แต่น้อยจนไม่มีเวลาดูแลบุตรชายที่อายุเพียงแค่ 5 ขวบปี ด้วยความอิจฉาริษยาและรังเกียจโจวเมี่ยวเมี่ยว หยินซินหลินสั่งบ่าวของนางให้หลอกล่อฉินหลางไปยังสระบัวแล้วผลักเขาตกลงไปจนตาย กว่าที่โจวเมี่ยวเมี่ยวจะรู้ว่าลูกชายหายไปและพบศพของเขาในสระบัวก็สายเกินกว่าจะช่วยเหลือได้แล้ว
“ฮือ… อาหลางของแม่ เหตุใดจึงได้เป็นเช่นนี้”
โจวเมี่ยวเมี่ยวกอดร่างไร้วิญญาณของบุตรชายแล้วร้องไห้ปานจะขาดใจ นางไม่รู้ว่าช่วงที่นางทำงานเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดบุตรชายจึงได้มาที่สระบัวทั้งที่นางเคยสั่งห้ามเอาไว้
บ่าวของหยินซินหลินที่เฝ้าดูอยู่เบะปากอย่างรังเกียจสองแม่ลูก นางอยากเยาะเย้ยโจวเมี่ยวเมี่ยวมานานแล้วที่หน้าด้านอยู่ในจวนฉินไม่ยอมออกไปสักที ทั้งที่คุณหนูของนางได้แต่งงานเข้าจวนเป็นฮูหยินใหญ่มาหลายเดือนแล้ว
“เฮอะ แค่เด็กคนเดียวทำเหมือนจะเป็นจะตายอย่างนั้นแหละ ใครบอกให้มันโง่มาเล่นแถวนี้เองล่ะ” เสี่ยวซิงกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“ฮึก… เจ้าพูดอะไร? ลูกข้าเป็นคนรู้ความ มีหรือที่เขาจะกล้ามาแถวนี้คนเดียว”
“ฮ่า ฮ่า รู้ความเยี่ยงไร? เจ้าก็เห็นเองกับตาว่ามันตายอยู่ในสระบัวคนเดียว มีใครที่ไหนอยากยุ่งเกี่ยวกับเด็กสารเลวแบบมันกัน ตายซะได้ก็ดี”
เพี๊ยะ!!!
โจวเมี่ยวเมี่ยววางร่างลูกชายลงก่อนจะลุกขึ้นตบหน้าเสี่ยวซิงจนเลือดกลบปากที่นางกล่าวหาบุตรชายที่ตายไปแล้ว
“กรี๊ด!!! นังสารเลว กล้าตบข้าหรือ? คอยดูว่าข้าจะบอกฮูหยินใหญ่อย่างไร”
เสี่ยวซิงรีบหันหลังวิ่งไปที่เรือนหยินซินหลินแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังว่านางถูกโจวเมี่ยวเมี่ยวตบตีอย่างไร
“หึ! เจ้าไม่ต้องกังวลไป เรื่องนี้ข้าจะบอกท่านพี่เอง ในเมื่อมันกล้าเหิมเกริมทำร้ายคนของข้า ข้าไม่ปล่อยมันเอาไว้แน่”
ฉินเหยากวงพอกลับมาที่จวนและรู้เรื่องทั้งหมดจากหยินซินหลินก็โกรธมากจนไปที่เรือนของโจวเมี่ยวเมี่ยวซึ่งกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลูกชายก่อนจะออกไปบอกสามีให้จัดงานศพให้ลูกชายของนาง นางไม่คิดว่าสามีจะมาหาที่นี่พร้อมกับสายตาโกรธแค้นเช่นนี้ทั้งที่ฉินหลางก็เป็นบุตรชายของเขา
“โจวเมี่ยวเมี่ยว! ข้าใจดีกับพวกเจ้าสองแม่ลูกมากเกินไปใช่ไหม เจ้าถึงได้กล้าทำร้ายคนของฮูหยินใหญ่น่ะ ฮะ!!!”
“ฮือ… ท่านพี่ นี่ท่านไม่เห็นหรือว่าลูกของเราตายแล้วน่ะ ท่านยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า? ที่ข้าตบนางก็สมควรแล้ว!!!”
เพี๊ยะ!!!
“ตบนี้สำหรับที่เจ้าทำร้ายคน”
เพี๊ยะ!!!
“ตบนี้สำหรับที่เจ้าดูแลลูกไม่ดีจนเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
โจวเมี่ยวเมี่ยวไม่อยากจะเชื่อว่าสามีของนางกล้าตบตีนางเช่นนี้ต่อหน้าคนในจวนมากมายที่มามุงดูกันอยู่หน้าประตูเรือน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฉินเหยากวง เจ้ามันสารเลว!!!”
โจวเมี่ยวเมี่ยวเข้าไปทุบตีฉินเหยากวงอย่างไม่ออมแรงจนฉินเหยากวงเจ็บตัวไปไม่น้อยเช่นกัน เขาได้แต่ต้องเตะนางออกไปอย่างโมโหที่ถูกทำร้าย
พลั่ก! ตุ้บ!
“เจ้า… เจ้ากล้าทำร้ายข้า เจ้ามันไม่ใช่คน!!!”
“ใครใช้ให้เจ้ากล้าลงไม้ลงมือกับข้า ข้าเป็นผู้นำตระกูล แค่อนุอย่างเจ้ากล้าทำให้ข้าต้องอับอายก็นับว่าสมควรโดนแล้ว ส่วนเรื่องลูกของเจ้า เจ้าจัดการเอาเอง ข้าไม่ยอมให้จวนข้ามีเรื่องอัปมงคลเด็ดขาด!”
“เขาเป็นลูกของเจ้านะ!!! เจ้าเป็นพ่อประสาอะไรจึงได้โหดร้ายกับลูกเช่นนี้”
“เฮอะ แค่ลูกอนุ เหตุใดข้าจะต้องสนใจ พวกเจ้าจะไปตายที่ไหนก็ไป!”
“ได้!!! ฉินเหยากวง เจ้าจำคำที่เจ้าพูดเอาไว้ แค้นนี้ข้าจะต้องมาสะสางกับพวกเจ้าชายโฉดหญิงชั่วในสักวันหนึ่ง เมื่อถึงวันนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้ารู้ว่าอยู่ไม่สู้ตายนั้นเป็นอย่างไร ไสหัวออกไปจากเรือนของข้า!!!”
สายวันรุ่งขึ้น โจวเมี่ยวเมี่ยวที่เสียใจมากเขียนหนังสือหย่าทิ้งเอาไว้ให้กับฉินเหยากวงและออกจากจวนฉินไปอย่างไม่หันหลังกลับ นางแบกศพลูกชายและเก็บความคับแค้นใจแล้วเข้าไปยังหุบเขาพิษ โจวเมี่ยวเมี่ยวฝังร่างบุตรชายใกล้กับกระท่อมที่นางเห็นในหุบเขา และเริ่มฝึกฝนการใช้พิษอย่างมุมานะเพื่อจะกลับไปแก้แค้นคนเลวพวกนั้น
หยินซินหลินเมื่อเห็นว่าโจวเมี่ยวเมี่ยวที่ขัดหูขัดตาจากไปแล้วก็ยิ่งได้ใจ นางควบคุมทุกอย่างในจวนเอาไว้ในมือได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่หลังแต่งงานหนึ่งปีผ่านไป นางก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะตั้งท้องเสียที ทำให้นางกดดันเป็นอย่างมาก และแอบจ้างหมอมาตรวจจนรู้ว่านางนั้นมีภาวะตั้งครรภ์ยากแต่กำเนิด
“ท่านหมอ นี่ท่านตรวจดีแล้วหรือ?”
“ดีแล้วขอรับ หากท่านอยากตั้งครรภ์จะต้องดูแลรักษาร่างกายและดื่มยาเพิ่มอีกสักปีเพื่อให้ร่างกายพร้อมที่จะตั้งครรภ์ขอรับ”
“เหตุใดจึงต้องกินยานานถึงเพียงนั้นเล่า ไม่มียาอื่นที่ทำให้ข้าหายดีเร็วกว่านั้นหรือ”
“ไม่มีแล้วขอรับ หากเร่งรีบเกินไปอาจมีผลกระทบจนท่านไม่สามารถตั้งครรภ์ได้”
“เช่นนั้นเจ้าก็จัดยามาให้ข้า จำไว้ว่าเรื่องนี้ห้ามบอกให้ใครรู้ ข้าจะให้บ่าวไปรับยาตามเวลาที่เจ้านัด เสี่ยวซิง พาท่านหมอออกไป แล้วจ่ายค่าตรวจและค่ายาให้เขา”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” เสี่ยวซิงย่อกายคารวะหยินซินหลินก่อนจะเชิญหมอออกไป
หยินซินหลินไม่รู้มาก่อนเลยว่านางถูกคนในจวนเสนาบดีวางยามานานแล้วจนเกือบจะตั้งครรภ์ไม่ได้ โชคดีที่นางให้หมอมาตรวจเสียก่อน แต่นางก็ยังคงคิดมากเรื่องทายาทตระกูลฉินที่นางไม่มีข่าวดีเสียที
สองผู้เฒ่าตระกูลฉินใช่ว่าจะไม่สงสัยเรื่องหลานชายที่ตายไป แต่พวกเขานั้นไร้หลักฐานและยังต้องพึ่งพาจวนเสนาบดีเพื่อให้บุตรชายมีตำแหน่งใหญ่กว่านี้จึงไม่ได้ช่วยอดีตลูกสะใภ้ เรื่องการตั้งครรภ์ของหยินซินหลินพวกเขาก็ไม่กล้าถามเช่นเดียวกัน ทำให้บรรยากาศในจวนฉินนั้นอึมครึมไม่น้อย
ขบวนของไท่จื่อมาถึงหน้าพระราชวังในเวลาต่อมา ก่อนที่พระองค์จะอุ้มไท่จื่อน้อยและจับมือไท่จื่อเฟยเดินเข้างานไปพร้อมขันที นางกำนัลอีกสี่คนที่มาคอยรับใช้ไท่จื่อน้อยติดตามเข้าไปด้วยระหว่างทางเดินไปยังที่นั่งด้านหน้า ขุนนางและครอบครัวต่างทำความเคารพไท่จื่อและไท่จื่อเฟยเสียงดังไปทั่วงานเลี้ยง ถึงแม้บุตรีขุนนางจะยังมีความคิดอยากเข้าจวนไท่จื่ออยู่หลายคน แต่พวกนางเองก็ไม่กล้าแสดงออกมากไปนัก ทุกคนต่างรู้ดีว่าในสายพระเนตรของไท่จื่อนั้นมีเพียงไท่จื่อเฟย พวกนางจึงต้องเก็บงำความคิดไม่ดีเอาไว้ ไม่เช่นนั้นหากเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกนางคงลากครอบครัวลงน้ำไปด้วยเป็นแน่ ใครไม่รู้บ้างว่าฝ่าบาทรักไท่จื่อมากเพียงใด“พวกท่านตามสบายเถอะ งานเลี้ยงครั้งนี้เสด็จพ่อเพียงแค่อยากร่วมสนุกกับทุกคนเท่านั้น พวกท่านอย่าได้กังวลเกินไป” หยางชิงหลงตรัสพร้อมรอยยิ้มบาง“ขอบพระทัยไท่จื่อพะย่ะค่ะ/เพคะ” ทุกคนรีบกล่าวพร้อมกัน“น้องหญิง เจ้ารีบไปนั่งพักก่อนเถอะ ประเดี๋ยว
สามเดือนต่อมาอาการป่วยหนักของชาวเมืองตงหยางที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นผู้ที่เคยป่วยมีสุขภาพดีไม่ต่างจากคนทั่วไปแล้ว ถึงแม้อาการจะไม่หายขาดแต่ก็ทำให้พวกเขาอ้วนท้วนมากขึ้นและอาการไอไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเหมือนเมื่อก่อน ส่วนการพัฒนาเมืองหลังจากนี้นั้น จื้อไฉ่เจ้าเมืองตงหยางก็ถวายแผนงานให้ไท่จื่อรับทราบและเริ่มปฏิบัติมาได้เดือนกว่าแล้วหยางชิงหลงเห็นว่าเมืองตงหยางในตอนนี้สามารถอยู่ได้อย่างปกติสุข พระองค์จึงกำหนดวันเดินทางไปยังเมืองอื่นเพื่อดูแลสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรต่อไป แน่นอนว่าซินเมี่ยวและไท่จื่อน้อยก็จะติดตามพระองค์ไปด้วยเช่นกัน พวกเขาสามพ่อแม่ลูกไม่มีทางที่จะแยกกันเดินทางจนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้นหนึ่งปีต่อมาขบวนเดินทางของไท่จื่อ ไท่จื่อเฟยและไท่จื่อน้อยกลับถึงเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่พร้อมความสำเร็จในการช่วยเหลือราษฎรตามเมืองต่าง ๆ ชื่อเสียงของทั้งสองพระองค์เลื่องลือไปทั่วแคว้น จากพระเมตตาที่มีให้แก่ราษฎร
ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หมอหลวงออกตามหาสมุนไพรที่จำเป็นพร้อมทหารตามภูเขาใกล้เคียงเมืองตงหยางแทบจะวันเว้นวัน ไท่จื่อยังส่งทหารส่วนหนึ่งไปตามหายังภูเขาห่างออกไป กว่าที่พวกเขาจะพบสมุนไพรที่จำเป็นก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน ส่วนอาการของผู้ป่วยที่มาทดลองรักษาทั้ง 10 คนนั้น หลังจากฝังเข็มเพื่อไล่พิษจากปอดรอยาสมุนไพรอยู่ก็มีอาการดีขึ้น พวกเขาไม่ไอบ่อยเท่าที่เคยเป็นและนอนหลับสนิทมากขึ้นจึงทำให้ระบบภายในร่างกายที่ไม่ค่อยได้พักผ่อนเนื่องจากอาการไอนั้นเริ่มกลับมาทำงานได้ดีขึ้นมากซินเมี่ยวที่เลี้ยงลูกในกระโจมมาตลอดหนึ่งเดือน ตอนนี้นางสามารถออกนอกกระโจมได้แล้ว นางจึงเริ่มไปตรวจสอบดูสมุนไพรที่หมอหลวงและทหารไปช่วยกันหามาว่าถูกชนิดหรือไม่ จากนั้นจึงปรุงยาให้ผู้ป่วยลองกินดูในแต่ละวันซินเมี่ยวจะตรวจชีพจรเพื่อติดตามผลว่าปอดของผู้ป่วยอาการดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเห็นว่ายาทั้งสามที่นางคิดค้นขึ้นช่วยบรรเทาอาการและเสริมความแข็งแกร่งให้ปอดที่เสียหายได้ ซินเมี่ยวจึงสั่งให้ทหารออกไปตามหาสมุนไพรมาเพิ่มเพื่อที่จะได้ให้หมอหลวงเข้าไปรักษาผู้ป่
สายวันต่อมา หยางชิงหลงได้รับแจ้งจากทหารว่าเจ้าเมืองตงหยางกับฮูหยินขอเข้าเฝ้า พระองค์ที่กำลังกล่อมไท่จื่อน้อยให้หลับหลังดื่มนมอยู่พยักหน้าอนุญาต ให้พวกเขาเข้ามาพบได้ อย่างไรวันนี้พระองค์ก็ยังไม่อยากเข้าเมืองไปสอบถามเรื่องราวการแก้ไขปัญหาของราษฎรในช่วงที่บุตรชายเพิ่งคลอดสักเท่าไหร่นัก“ถวายบังคมไท่จื่อ ไท่จื่อเฟยพะย่ะค่ะ/เพคะ” จื้อไฉ่กับฮูหยินค้อมกายคำนับทั้งสองพระองค์ที่นั่งรออยู่พร้อมไท่จื่อน้อยในอ้อมแขนไท่จื่ออย่างนอบน้อม“พวกท่านตามสบายเถิด เชิญนั่งก่อน” หยางชิงหลงตรัสพร้อมรอยยิ้มบาง“กระหม่อมนำของรับขวัญไท่จื่อน้อยมามอบให้พะย่ะค่ะ ขอแสดงความยินดีกับไท่จื่อและไท่จื่อเฟยด้วยพะย่ะค่ะ” จื้อไฉ่ยื่นกล่องของขวัญให้ซุนเหยาที่อยู่ในกระโจมเพื่อนำไปมอบให้ไท่จื่อเฟยดูแทนไท่จื่อที่กำลังกล่อมไท่จื่อน้อยอยู่“ขอบใจพวกเจ้ามาก เรื่องเมืองตงหยางที่มีปัญหาสุขภาพ เราให้หมอหลวงช่วยกันหาวิธีรักษาอยู่ ท่านเจ้าเมืองพาราษฎรที่ป่วยหนั
รุ่งเช้าวันต่อมา เหล่าหมอหลวงมาขอพบไท่จื่อเฟยเพื่อพูดคุยเรื่องขั้นตอนการรักษาชาวเมืองอย่างเคร่งเครียด จนกระทั่งเที่ยงวัน พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทานอาหารและปล่อยให้ซินเมี่ยวกินข้าวกับหยางชิงหลงในกระโจม“น้องหญิงอย่าหักโหมงานมากนะ อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะคลอดแล้ว พี่ไม่อยากให้เจ้าเครียดเกินไปนัก” หยางชิงหลงตรัสระหว่างคีบอาหารให้ซินเมี่ยว“ทราบแล้วเพคะ เสด็จพี่อย่ากังวลเลย น้องรู้ดีว่าต้องพักผ่อนให้มากเพคะ”หลังอาหารเที่ยง หยางชิงหลงเดินไปยังกระโจมของเหล่าหมอหลวงเพื่อสอบถามถึงขั้นตอนการรักษาต่อ พระองค์จะได้สั่งให้องครักษ์เข้าไปแจ้งเจ้าเมืองให้เตรียมสมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้เพิ่มเติม เพราะในขบวนของพระองค์ถึงจะมีสมุนไพรอยู่บ้าง แต่ก็ถูกใช้ไปมากแล้วก่อนหน้านี้ หากต้องไปหาซื้อยังเมืองอื่นก็คงต้องใช้เวลาเดินทางอีกมากซินเมี่ยวนั่งอ่านตำรารอให้อาหารย่อยเกือบครึ่งชั่วยาม ก่อนที่นางจะนอนพักผ่อนรอทานอาหารเย็นและออกไปเดินเล่นกับหยางชิงหลงเหมือนทุกวัน
สองวันต่อมา ต้วนฟางเหยาส่งรายงานสรุปปัญหาออกมาเป็นข้อ ๆ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เขาคิดขึ้นมา หยางชิงหลงและซินเมี่ยวนั่งอ่านรายงานอย่างละเอียดก็เห็นว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง นับว่าต้วนฟางเหยาทำงานได้ดีสมกับที่ฝ่าบาทส่งมาช่วยเหลือราษฎรจริง ๆ“วิธีการแก้ไขปัญหาของเจ้าเหมาะสมแล้ว เราอนุญาตให้ดำเนินการได้ ส่วนสิ่งที่เจ้าต้องการก็สามารถเบิกได้กับองครักษ์ซุนเหยา” ไท่จื่อตรัส“ขอบพระทัยไท่จื่อพะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำเรื่องเบิกกับท่านซุนเหยาตามรับสั่ง”“เจ้าเมืองต้วน ที่ค่ายทหารนอกเมืองของเรามีต้นอ่อนสมุนไพรรักษาบาดแผล ท่านลองดูว่ามีหมู่บ้านใดที่เหมาะสมจะปลูกเป็นอาชีพและส่งออกไปยังเมืองอื่นด้วยก็แล้วกันนะ เราอยากให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นนอกจากการทำเกษตร”“พะย่ะค่ะไท่จื่อเฟย เรื่องนี้กระหม่อมจะปรึกษากับผู้ใหญ่บ้านและมารายงานให้พระองค์ทราบอีกครั้ง”ทั้งสองพระองค์ต่างพยักหน้าอย่างพอใจกับการทำงาน
ความคิดเห็น