เมื่อจื่อหนิงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว อย่างแรกที่นางทำคือการเข้าไปนั่งในร้านน้ำชา เพื่อฟังเรื่องราวที่ผู้คนชอบนำมาเล่าสู่กันฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วไปจนถึงเรื่องของขุนนางล้วนมีให้ฟังอยู่เป็นประจำ ซึ่งวันแรกของการหลบหนีออกจากหมู่บ้าน จื่อหนิงก็ได้ฟังข่าวลือเรื่องใหญ่ทันที
“นี่สหายเจ้าว่าใครกันที่กินดีหมีหัวใจเสือ กล้าลักพาตัวซื่อจื่อจากจวนหลี่อ๋องได้”
“ฮ้าย ในความคิดข้านะในจวนของหลี่อ๋อง ต้องมีเกลือเป็นหนอนคบหาคนนอกจวน รอจังหวะที่ทุกคนไว้ใจถึงได้กล้าลงมือเช่นนี้”
“ข้าก็คิดคล้าย ๆ กับพี่ชายท่านนี้นะ แต่สาเหตุของการลักพาตัวซื่อจื่อมาจากอะไรกันแน่ล่ะ”
ขวับ! ขวับ! “ชู่ว์ เรื่องนี้ถ้าพวกเจ้ารู้แล้วต้องปิดปากให้สนิท อย่าได้เที่ยวไปพูดให้ใครฟังพร่ำเพรื่อเด็ดขาด”
“พวกข้ามิใช่คนปากสว่างเสียหน่อย รีบเล่ามาเร็วเข้าสิ”
“ที่จริงแล้วซื่อจื่อคนนี้เป็นบุตรของน้องชายหลี่อ๋อง ซึ่งถูกคนร้ายลอบสังหารพร้อมกับพระมารดาและฮูหยินของตน ผ่านมาหลายปีจนถึงตอนนี้ยังหาตัวผู้บงการไม่ได้ ไหนจะสูญเสียพระบิดาไปในสนามรบ หลี่อ๋องที่สืบทอดตำแหน่งจากพระบิดา จึงรับบุตรของน้องชายเป็นบุตรของตน หลังจากนั้นเป็นต้นมาหลี่อ๋องก็ไม่คิดแต่งพระชายาเข้าจวน”
“จริงรึ! ใครกันที่กล้าลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ครอบครัวของหลี่อ๋องคอยปกป้องชายแดนมานาน ไม่เคยคิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งในราชสำนัก ข้าว่าอาจจะเป็นคนจากวังหลวงที่ลงมือ ด้วยเกรงกลัวฝีมือและอำนาจทางทหารของหลี่อ๋องมากกว่า”
“ใช่ ๆ ๆ ข้าเห็นด้วย หลี่อ๋องช่างน่าสงสารจริง ๆ หน้าที่ปกป้องชายแดนก็ต้องทำ บุตรของน้องชายก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี
แต่ยังมีมือมืดยื่นเข้ามาทำร้ายอีกครั้งจนได้ เฮ้อ สวรรค์ช่างไม่เห็นใจคนดีบ้างเลยรึ”“เอาล่ะ ๆ เลิกพูดเรื่องนี้เถิด ข้ายังไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวตอนนี้”
บุรุษทั้งสามที่แต่งกายคล้ายนักเดินทาง เปลี่ยนเรื่องพูดคุยไปเรื่องอื่นแทน เนื่องจากกลัวว่าตนเองจะดวงซวยกับเรื่องนี้ แต่สตรีร่างบางที่ทำทีมิได้สนใจผู้ใด กลับนั่งนิ่งตั้งใจฟังทั้งสามคนพูดจนจบ และเป็นเสี่ยวถังเป่าที่คิดว่าตอนนี้มีขาทองคำมาเชิญจื่อหนิงถึงที่
‘จื่อหนิงข้าว่าขาทองคำที่เจ้าอยากได้ คงเป็นหลี่อ๋องผู้นี้อย่างแน่นอน’
‘หา! เสี่ยวถังเป่าเจ้าจะให้ข้าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ เพื่อเกาะขาทองคำซึ่งก็คือหลี่อ๋องผู้นั้นงั้นรึ’
‘ใช่น่ะสิ หากเจ้าสามารถคว้าโอกาสนี้ได้ ในอนาคตย่อมมีสักวันที่หลี่อ๋องเดินทางไปเมืองหลวง อาจเป็นพิธีการสำคัญที่เชื้อพระวงศ์จะรวมตัวกัน เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะได้แก้แค้นบิดาชั่วนั่นอย่างไรเล่า’
‘โอ้โฮ! เสี่ยวถังเป่าเจ้าช่างเชี่ยวชาญเรื่องนี้จริง ๆ พอคิดดี ๆ แล้วก็จริงอย่างที่เจ้าพูดมาเหมือนกัน ได้ ข้ายินดีทำสุดความสามารถในการช่วยเหลือซื่อจื่อ เพื่อขาทองคำที่มีอำนาจในมืออย่างหลี่อ๋อง อื้อ’
‘ส่วนเรื่องจะตามหาตัวซื่อจื่อได้อย่างไรนั้น ข้าว่าพวกเราคงต้องเดินทางไปเมืองชางอัน เพราะเมืองนี้เป็นเมืองการค้าระหว่างแคว้น คนที่ลักพาตัวซื่อจื่อหากไม่สังหารทิ้ง ก็ต้องนำตัวไปขายยังต่างแคว้นเท่านั้น’
‘เช่นนั้นจะรอช้าอยู่ไยพวกเรารีบไปเมืองชางอันเถิด หากชักช้าอาจไม่ทันการณ์เอาได้’
‘อืม แต่พวกเราต้องออกไปนอกเมืองเสียก่อนนะ ทำเหมือนตอนที่เดินทางมายังตำบลหลานฮวาน่ะ’
‘เข้าใจแล้ว’
จื่อหนิงจ่ายค่าน้ำชาและลุกออกจากร้านเงียบ ๆ เพื่อไปยังชายป่านอกตำบลตรงจุดที่นางให้มิติพามา หลังจากมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ นางก็หายตัวเข้าไปในมิติทันที ก่อนจะสั่งมิติวิเศษให้พาไปสถานที่ใกล้เขตเมืองชางอัน
ซึ่งเป็นความบังเอิญหรือนางดวงดีก็ไม่อาจทราบได้ เพราะสถานที่ที่จื่อหนิงโผล่ออกจากมิติ กลับเป็นอำเภอที่คนร้ายลักพาตัวเด็กน้อยเดินทางมาถึงพอดี
‘มิติวิเศษพาข้าไปบริเวณที่ใกล้เมืองชางอันมากที่สุด’
‘ถึงแล้วล่ะจื่อหนิงรีบออกไปกันเถิด ข้ารู้สึกว่าเด็กน้อยคนนั้นคงอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก’
“อืม รบกวนเจ้าใช้ความสามารถในการบำเพ็ญเพียร ช่วยเหลือเด็กน้อยเพื่อทำความดีด้วยก็แล้วกัน”
จื่อหนิงก็คิดเช่นเดียวกับเสี่ยวถังเป่า นางคิดว่าคนร้ายจะรีบร้อนเดินทางไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจเผยพิรุธจนถูกทหารจับได้ ดังนั้นการเดินทางและหยุดพักไปเรื่อย ๆ คล้ายคนกำลังย้ายเมือง ย่อมเป็นทางออกของคนร้ายกลุ่มนี้อย่างแน่นอน
จากที่จื่อหนิงเคยดูซีรี่ย์แนวโบราณมาบ้าง นางจึงฉุกคิดถึงสถานที่ที่คนร้ายชอบใช้ซ่อนตัว หากไม่เป็นอารามร้างนอกเมืองก็ต้องเป็นโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ที่เจ้าของไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากเงิน ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ เมื่อเสี่ยวถังเป่าได้ยินเสียงบุรุษสองสามคน พูดถึงเรื่องการนำตัวเด็กน้อยออกจากแคว้นหลงอวิ๋น
‘จื่อหนิงข้าได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน เกี่ยวกับเรื่องของซื่อจื่อจวนหลี่อ๋อง ที่สำคัญคนเหล่านั้นยังอยู่ในอารามร้างด้านหน้า
ห่างจากที่เจ้ากับข้าอยู่ราว ๆ สามจั้ง’“แต่ตอนนี้ยังสว่างอยู่มากหากจะลงมือช่วยคน คงต้องใช้ยาสลบกับพวกเขาเท่านั้น เอาเช่นนี้พวกเรากลับเข้าไปในมิติก่อน รอข้านำสมุนไพรมาทำยาสลบแล้ว เจ้าค่อยเอาไปใส่ในกองไฟนะเสี่ยวถังเป่า”
‘อืม ทำตามแผนของเจ้าน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้วล่ะ’
เมื่อตัดสินใจจะลงมือในยามพลบค่ำ ทั้งสองจึงกลับเข้าไปอยู่ในมิติอีกครั้ง และจื่อหนิงก็เริ่มทำยาสลบจากสมุนไพรทันที
จนกระทั่งเวลาผ่านไปเข้ายามซวี เสี่ยวถึงเป่ารับห่อยาสลบมาเก็บไว้ในมิติของตน เมื่อออกมาด้านนอกมิติจื่อหนิงจึงรออยู่หลังพุ่มไม้ โดยให้เสี่ยวถังเป่าจัดการตามที่คุยกันไว้ไม่ถึงหนึ่งจิบชาเสี่ยวถังเป่าก็วิ่งกลับมา เพื่อตามจื่อหนิงให้เข้าไปช่วยเด็กน้อย ซึ่งนอนหมดสติจากการสูดควันยาสลบเข้าไป เช่นเดียวกับคนร้ายอีกสามคนที่ร่างกายกำยำ ที่หน้าตาก็สมกับเป็นผู้ร้ายจริง ๆ แต่ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับสูตรยาสลบของจื่อหนิง แม้จะเป็นผู้มีวรยุทธ์แข็งแกร่งยังไม่อาจต้านทานได้
หลังจากเข้ามาในอารามร้างและได้เห็นร่างเล็ก ๆ ที่นอนหมดสติอยู่ซูบผอมลงเล็กน้อย จื่อหนิงจึงรีบเข้าไปอุ้มไว้ในอ้อมแขนทันที “โธ่เอ้ย เด็กก็ตัวเท่านี้เหตุใดพวกผู้ใหญ่ถึงได้ใจร้ายกับเจ้านัก คงตกใจมากสินะที่จู่ ๆ ก็ถูกคนแปลกหน้าพาตัวมาเช่นนี้ รู้สึกว่าตัวจะเริ่มรุม ๆ เหมือนจะเป็นไข้ ไม่เป็นไรมีพี่สาวอยู่ทั้งคนเจ้าต้องมีสุขภาพแข็งแรงได้แน่”
‘จื่อหนิงรีบไปจากที่นี่กันเถิด จะได้เดินทางไปให้ไกลจากอำเภอหลันเถียนเสียก่อน เด็กคนนี้ก็โตพอจะพูดจาตอบโต้ได้แล้ว ไว้ฟื้นคืนสติค่อยถามไถ่เส้นทางไปจวนหลี่อ๋องทีหลัง’
“อืม”
จื่อหนิงยังคงใช้วิธีเดิมอีกครั้ง ด้วยการเคลื่อนย้ายผ่านมิติวิเศษ และครั้งนี้นางขอมายังอำเภอที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ที่นางสามารถไปหาร้านค้าเพื่อเช่ารถม้า ในการเดินทางพาเด็กน้อยกลับจวนหลี่อ๋อง
ซึ่งยามนี้เจ้าของจวนอย่างหลี่อ๋อง “หลี่เจิ้งหาน” กำลังมีโทสะหลังจากคนของตนถูกคนร้ายลวงไปผิดเส้นทาง ทำให้คลาดกันกับคนร้ายอีกกลุ่มหนึ่ง หลี่อ๋องแม้จะมั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ต้องเกี่ยวข้องกับใครบางคนในวังหลวง แต่ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ก็ไม่อาจด่วนสรุปว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริงได้
ภายหลังผ่านพ้นคืนเข้าหอที่มีอุปสรรคเป็นบุตรชายตัวน้อย หลี่อ๋องไม่คิดว่าบุตรชายจะทำอย่างที่ตนพูดจริง ๆ นั่นคือการเรียกทุกคนในจวนไปที่เรือนหยางชู เพื่อเตรียมยาบำรุงให้เสด็จแม่คนใหม่ เพราะต้องการให้น้อง ๆ มาเกิดไว ๆแต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลังจากผ่านไปไม่ถึงสามเดือน จื่อหนิงจะตั้งครรภ์สมใจซื่อจื่อน้อย เมื่อมีข่าวดีคนที่อยากมีน้องตัวน้อย ยิ่งทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์พระมารดา รวมถึงน้องน้อยที่อยู่ในครรภ์ทุกย่างก้าวจนกระทั่งถึงวันที่จื่อหนิงเจ็บครรภ์จะคลอด มิได้มีเพียงเจ้าของจวนและตระกูลหวงเท่านั้นที่รอลุ้น แต่ชาวเมืองหลงเฉิงก็มารอลุ้นเช่นกันว่า ครรภ์นี้ของจื่อหนิงจะเป็นท่านชายหรือท่านหญิง‘พวกเจ้าว่าครรภ์แรกของพระชายาจะเป็นหญิงหรือชาย’‘ข้าว่าเป็นชาย /ข้าว่าเป็นหญิง’แม้จะรู้สึกเจ็บปวดเกินจะทานทนในยามคลอด ยังดีที่จื่อหนิงให้เสี่ยวถังเป่าเตรียมยาสมุนไพร รวมถึงน้ำพุวิญญาณเอาไว้ล่วงหน้า การคลอดลูกครั้งแรกนี้จึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และข่าวดีสำหรับทุกคน ก็คือหลี่อ๋องได้บุตรสาว ที่หน้าตางดงามล่มเมืองตั้งแต่เกิดยามที่ยังเล็กก็เป็นที่ห่วงหวงมากแล้ว แต่ยิ่งโตทุกคนยิ่งหวงบุตรหลานคนนี้เข้าไปใหญ่ ท่านหญิงห
เมื่อตกลงปลงใจแล้วว่าจะร่วมใช้ชีวิตกับหลี่อ๋อง จากนั้นถัดมาอีกสามวันหลี่อ๋องจึงพาจื่อหนิงและบุตรชาย ไปเยือนจวนตระกูลหวงเพื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงาน ซึ่งหลี่อ๋องได้ส่งพ่อบ้านห้าวมาแจ้งไว้ล่วงหน้าแล้วเนื่องจากหลี่อ๋องถูกบุตรชายรบเร้าเรื่องพี่น้องอยู่ทุกวัน หากเขายังไม่ขยับตัวทำเรื่องนี้ให้ถูกต้อง เกรงว่าที่เรือนของเขา คงไม่สงบสุขอีกอีกต่อไปเป็นแน่ การเจรจาเรื่องการแต่งงานจึงต้องจัดการโดยเร็วหลังจากได้รับรายงานจากพ่อบ้านหวง ว่าหลี่อ๋องจะมาเยือนที่จวนด้วยเรื่องสำคัญ ทุกคนในตระกูลหวงจึงหยุดงานทั้งหมด และรอต้อนรับหลี่อ๋องรวมถึงหลานทั้งสองของพวกเขา จกระทั่งรถม้าจากจวนอ๋องหยุดลงที่หน้าจวน นายท่านหวงจึงนำทุกคนทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียงกัน“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ /เพคะ”“ทุกท่านตามสบายเถิดอย่าได้มากพิธีเลย”“คารวะท่านตาท่านยาย ท่านลุงกับป้าสะใภ้ด้วยเจ้าค่ะ /ขอรับ” จื่อหนิงกับซื่อจื่อน้อยทำความเคารพญาติของตนบ้างเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของชาวบ้าน นายท่านหวงจึงเชื้อเชิญแขกเข้าไปด้านในห้องโถงรับรอง เพราะอยากรู้ว่าที่หลี่อ๋องพาหลานชายหลานสาวมาพบ มีเรื่องสำคัญอันใดจะพูดคุยกับพวกตนกันแน่“ท่านอ๋
วันถัดมาภายหลังกลับมาถึงเมืองหลงเฉิง ทุกอย่างกลับเข้าสู่วิถีการใช้ชีวิตเช่นก่อนหน้าอีกครั้ง จื่อหนิงยังคงทำหน้าที่ดูแลอาหารและของบำรุง การเรียนการสอนทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ เสริมให้ซื่อจื่อน้อย หลังจากนั้นก็เป็นการดูแลแปลงสมุนไพร และไปดูแลร้านไป๋อวี้ถังที่มีลูกค้าเข้าออกอย่างต่อเนื่องส่วนหลี่อ๋องยิ่งได้รับการดูแลจากจื่อหนิง ก็ไม่อยากห่างยามต้องไปจัดการเรื่องงานที่ค่ายทหาร แต่มักจะได้รับสายตาดุ ๆ จากสตรีร่างบางเสียทุกครั้ง สุดท้ายก็เป็นจื่อหนิงที่ต้องเสนอข้อแลกเปลี่ยนเป็นของบำรุง แต่หลี่อ๋องมักจะเพิ่มสิ่งแลกเปลี่ยน ด้วยการจุมพิตที่แก้มนวลก่อนออกจากจวนเช่นกันทางด้านชางอวี่ได้ทำตามรับสั่งอย่างเคร่งครัด นอกจากการปลดผู้ช่วยเจ้าเมืองออกจากตำแหน่ง และรับโทษโบยห้าสิบไม้ร่วมกับอนุภรรยาผู้นั้น ยังได้ปล่อยข่าวลือไปทั่วเมืองเฮยเฟิง ยามผู้ช่วยเจ้าเมืองพาครอบครัวออกจากจวน จึงถูกประณามและโดนผู้คนปาเศษผักและก้อนหิน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวรีบย้ายไปอยู่เมืองที่ห่างไกลทันทีในวันนี้ที่จื่อหนิงเข้ามาที่ร้าน หวงซวีหนานที่รู้ข่าวจากลูกจ้างก็รีบไปพบญาติผู้น้องของตนอย่างรวดเร็ว และครั้งนี้ยังมีหวงหมิงลู่ตามมาด้วยอีก
ภายหลังกลับมาถึงจวนท่านหมอก็มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน หลี่อ๋องยืนกำชับท่านหมอให้ตรวจจื่อหนิงอย่างละเอียด ว่านาง มิได้บาดเจ็บถึงกระดูกหรือมีส่วนใดแตกหัก แม้ท่านหมอจะตรวจซ้ำถึงสองครั้งแล้ว แต่หลี่อ๋องยังมีท่าทีไม่ยินยอม จื่อหนิงทนดูต่อไปไม่ไหวจึงต้องเอ่ยห้ามเสียเอง“ท่านหมอท่านตรวจให้ละเอียดมากกว่านี้ เปิ่นหวางยังไม่ค่อยวางใจถึงจะเป็นบาดแผลภายนอก แต่มันอาจกระเทือนไปถึงกระ...”“ท่านอ๋องเพคะ”“หนิงเอ๋อร์เรียกเปิ่นหวางทำไม หรือว่าเจ้ารู้สึกเจ็บที่ใดเพิ่มอีกรีบบอกกับท่านหมอระ...”“หยุด! ท่านอ๋องทรงอยู่เงียบ ๆ อย่าได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะไม่พูดกับพระองค์เป็นเวลาเจ็ดวันเพคะ”“ตะ...”“หือออ...”“เอ่อ ไม่พูด ๆ เปิ่นหวางจะนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ นะ เชิญเจ้าพูดกับท่านหมอต่อเถิด”จื่อหนิงถึงกับมองค้อนไปหนึ่งที “ท่านหมอข้ามิได้เป็นอันใดมาก แค่แผลถลอกข้ามียาทาติดตัวอยู่ จะใช้มันรักษาแผลเหล่านี้เองเจ้าค่ะ”ท่านหมอถึงกับแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากจื่อหนิงไม่ยอมออกปากหยุดหลี่อ๋องเอาไว้ เขาคงต้องคุกเข่าอ้อนวอนเป็นแน่ “ในเมื่อคุณหนูมียาอยู่แล้วย่อมเป็นเรื่องดี หากต้องการยาเพิ่มท่านไปพบข้าที่
เมื่อลงมายืนด้านล่างได้มั่นคงแล้ว เว่ยซูหรูรีบยกชายกระโปรงและวิ่งตรงไปหาหลี่อ๋อง โดยไม่สนสายตาผู้คนบนท้องถนนว่า จะมองนางเป็นสตรีกร้านโลกวิ่งตามบุรุษหรือไม่แฮ่ก ๆ ๆ “ท่านอ๋องเพคะ ๆ”หลี่อ๋องรีบหยุดเท้าของตนเมื่อมีสตรีเอ่ยเรียก และยังวิ่งมายืนขวางทางอย่างคนไร้มารยาท แต่สตรีนางนี้กลับไม่สนใจเรื่องมารยาท“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันดีใจจริง ๆ ที่ท่านอ๋องแวะพักในเมืองอวิ๋นเซียง นี่ก็ผ่านมาเกือบสองปีที่ท่านอ๋องมิได้แวะที่นี่...”“เจ้าเป็นใคร? ถึงได้บังอาจมาขวางทางเปิ่นหวางเช่นนี้”มิใช่หลี่อ๋องเพียงคนเดียวที่สงสัย แต่ยังมีจื่อหนิงกับซื่อจื่อน้อยที่สงสัยเช่นกันว่า สตรีที่ยืนขวางทางพวกตนอยู่นี้เป็นใคร นางช่างใจกล้าไม่กลัวว่าจะถูกหลี่อ๋องลงโทษแม้แต่น้อย“พวกเราไม่เคยรู้จักเจ้ามาก่อน เหตุใดถึงวิ่งมาขวางทางผู้อื่นเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวจะถูกเสด็จพ่อของข้าลงโทษงั้นหรือ”ชางอวี่จำได้ว่าเว่ยซูหรูคือผู้ใด เพราะสตรีที่ใจกล้าพยายามเข้าหาเจ้านายของตน มีเพียงหยิบมือเขาจะจำไม่ได้เชียวหรือ “ทูลท่านอ๋อง ซื่อจื่อนางเป็นบุตรสาวท่านเจ้าเมืองอวิ๋นเซียง ที่สำคัญนางยังหลงรักพระองค์และอยากเป็นพระชายาด้วยพ่ะย่ะค
หลี่อ๋องกับซื่อจื่อน้อยที่ยืนฟังอยู่นาน ก็เริ่มทำสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนกันอย่างกับแกะเข้าไปทุกที เมื่อฮ่องเต้ไม่ยอมหยุดตรัสเรื่องยากับจื่อหนิง ซื่อจื่อน้อยถึงกับเขย่ามือพระบิดาเป็นการส่งสัญญาณ ไหนจะสายตาที่สื่อความหมายง่าย ๆ ถึงกัน‘เสด็จพ่อรีบพาพี่จื่อหนิงกลับตำหนักได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ขืนยังอยู่ที่นี่เกิดเสด็จปู่รั้งตัวพี่จื่อหนิงเอาไว้ พวกเราจะไม่แย่หรือพ่ะย่ะค่ะ’‘จริงของเจ้าเสี่ยวอวี้ ขอบใจมากที่เตือนพ่อเรื่องนี้ พวกเราต้องรีบพาพี่จื่อหนิงของเจ้ากลับไปเก็บสัมภาระ เตรียมตัวกลับเมืองหลงเฉิงในวันพรุ่งนี้ ขืนยังอยู่ในเมืองหลวงอีกหลายวัน พี่จื่อหนิงของเจ้าคงไม่รอดแน่’“อะ ฮึ่ม ฝ่าบาทกระหม่อมต้องขอตัวพาหนิงเอ๋อร์กลับจวนแล้ว ยังมีเรื่องที่ตำหนักซือเจินให้ทำอีกมาก ส่วนเรื่องยาบำรุงก็เป็นไปตามที่หนิงเอ๋อร์ทูลกับพระองค์ เมื่อถึงเวลาคนของกระหม่อมจะนำมาส่ง และจะมิให้ผู้ใดแย่งชิงไปได้แน่พ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมทูลลา”“เอ่อ...”“หม่อมฉันทูลลาเพคะ /หลานทูลลาพ่ะย่ะค่ะเสด็จปู่”ฮ่องเต้ถึงกับตรัสสิ่งใดไม่ออก เมื่อเห็นอาการหึงหวงของพระนัดดาทั้งสอง “เฮ๊ เจ้าหลานสองคนนี่จะขี้หวงคนกับเจิ้น เกินไปแล้วนะ แค่พู