วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ฉันต้องมานั่งอุดอู้เรียนอยู่ในคาบเลกเชอร์ที่แสนจะน่าเบื่อ เครื่องปรับอากาศทำความเย็นฉ่ำ ๆ ภายในห้องชวนให้ง่วงนอนจนตาปรือ
“เป็นอะไรเนี่ย” วิสะกิดไหล่ฉันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มสัปหงกด้วยความงัวเงีย
“ฉันหนาวอะ เลยง่วง” ฉันหาวฟอดใหญ่พลางยกมือขึ้นป้องปากแล้วฟุบใบหน้าลงบนโต๊ะเรียนเพราะไม่อาจจะทนความง่วงนอนที่เข้ามารุมเร้าเสียจนเปลือกตาหนักอึ้งไปหมด
“อีกไม่กี่นาทีก็หมดเวลาแล้ว แกจะมาหลับตอนนี้ไม่ได้นะ” มนใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนของฉันให้เงยหน้าขึ้นมามองไปยังหน้าห้องที่ยังมีอาจารย์เปิดสไลด์พร้อมกับอธิบายโดยที่ฉันไม่ได้เข้าใจเนื้อหาหรือแม้แต่จะฟังมันอย่างตั้งใจด้วยซ้ำ
ฉันได้แต่หรี่ตามองข้อความที่ขึ้นมาผ่านตาให้ผ่านพ้นไปในแต่ละนาทีอย่างใจจดใจจ่อแม้ในหัวจะโล่งจนเหมือนได้ยินเสียงลมพัดผ่านความว่างเปล่าก็ตามที
จนเวลาล่วงเลยถึงตอนเลิกคลาส เพื่อน ๆ ในห้องต่างเริ่มทยอยเดินออกกันมาด้วยท่าทีที่เหมือนหมดแรงกันเป็นแถบ รวมถึงฉันด้วย ฉันและเพื่อนสาวอีกสองคนเดินออกมาจากห้องเรียนก็พบกับลมแรงที่พัดเข้าตีหน้าจนผมที่ปล่อยสยายของฉันปลิวไม่ได้ทรง
รู้แล้ว ที่อากาศน่านอนแบบนี้เพราะฝนตกนี่เอง
“ให้ตายสิ ฝนตก แล้วพวกแกจะกลับยังไงอะ” มนหันมาถามฉันใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความเบื่อหน่าย
“ทางเดินไปหอมันไม่เปียกมาก งั้นฉันไปก่อนแล้วกันก่อนที่มันจะตกหนักมากกว่านี้” วิว่าอย่างเป็นกังวลทั้งฉันและมนต่างพยักหน้ารับก่อนที่เธอจะแยกเดินออกไปตามลำพัง
“แกล่ะจะกลับยังไง” หลังจากที่ฉันกับไปยืนรอที่หน้าอาคารอยู่นานแต่ฝนกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงหรือเบาลง ยังคงโปรยปรายลงมาจนด้านนอกแทบจะเห็นเพียงแค่เม็ดฝนที่กำลังตกลงมาอย่างหนัก
“คนขับรถมารับอะ แต่รอฝนซากว่านี้สักหน่อยค่อยเดินออกไป” ฉันยืนกอดอกอย่างเบื่อหน่าย อากาศแบบนี้น่าจะนอนอยู่บ้านทั้งยังเฉอะแฉะไปหมดเธอไม่ชอบเลยจริง ๆ
“นิดา ติดฝนเหรอ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเรา ทั้งฉันและมนต่างพร้อมใจกันหันไปมองอย่างทันควัน เป็นพี่คิณที่ยืนอยู่ ใบหน้าหล่อมองมาทางพวกเราอย่างนิ่งเฉย
“ค่ะ” ฉันรีบตอบรับหนุ่มรุ่นพี่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ถึงแม้จะแปลกใจอยู่เล็กน้อยที่เห็นว่าพี่คิณเป็นฝ่ายเดินมาทักก่อน พี่คิณไม่ตอบอะไรได้แต่พยักหน้ารับจนแล้วก็ยืนนิ่งจนฉันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก “พี่คิณมีอะไรหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มช้อนสายตาขึ้นมามองฉันจนขนสันหลังลุกวาบ อย่ามามองกันอย่างนี้สิคะพี่ ขนลุกหมดแล้ว
“เอาไปสิ” คนพี่ถอนหายใจก่อนจะยื่นร่มกันฝนมาตรงหน้าฉัน
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเบิกตากว้างมาก ไม่อยากเชื่อว่ารุ่นพี่ที่เขาบอกว่าเข้าถึงยากจะใจดีเอาร่มให้ฉันซะอย่างนั้น ฉันรีบเอื้อมมือไปรับด้วยความยินดีอย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องเดินตากน้ำค้างไปขึ้นรถแล้ว“ขอบคุณนะคะ” ฉันยิ้มกว้าง “แล้วพี่คิณจะกลับยังไงคะ ร่มมีอยู่คันเดียว”
“พี่ไม่เป็นไร พวกเราก็อย่าเปียกฝนล่ะ” พี่คิณปรายสายตามามองมนที่ยืนเกร็งตั้งแต่ตอนแรกจนเพื่อนรักสะดุ้งพร้อมกับส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้หนุ่มรุ่นพี่
ชายหนุ่มไม่ว่าอะไรต่อก่อนจะเดินออกจากตึกไปทั้งที่สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาจนร่างสูงตัวเปียกปอนท่ามกลางสายฝน
“อ้าว” ฉันร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าพี่คิณเดินตากฝนออกไปอย่างนั้นก่อนพี่เขาจะเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่งไม่นานรถเก๋งที่จอดอยู่ก็ถูกพี่คิณขับออกไปจากลานจอดรถของคณะ
“อ้าว ฉันนึกว่าเขาให้ร่มแกเพราะจะขึ้นไปเรียนต่อซะอีก” มนว่าอย่างประหลาดใจ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
ฉันยกร่มในมือขึ้นมามองอย่างสงสัย ร่มนี้ยังไม่ได้แกะป้ายราคาออกด้วยซ้ำแถมยังไม่ได้แกะพลาสติกที่หุ้มมาด้วยราวกับว่ามันไม่เคยถูกใช้มาก่อน
“ร่มใหม่นี่”
“พี่เขาแอบชอบแกเปล่าวะ” มนว่าพลางเดินเข้ามาใกล้ฉันแล้วเดินเข้ามาใกล้ฉัน ใบหน้าของเพื่อนสาวยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
“บ้า อย่างพี่เขาเนี่ยนะ เขาเห็นฉันเป็นสายรหัสเฉย ๆ แหละ”
ฉันแสร้งทำไปว่าไม่ได้คิดอะไรถึงแม้ว่าใบหน้าของฉันจะเห่อร้อนจนลามไปถึงใบหูแล้วก็ตาม หัวใจในอกเต้นตูมตามอย่างตื่นเต้นไม่รู้ว่าจะแตกตื่นทำไมแล้วถ้าพี่เขาเกิดชอบฉันขึ้นมาล่ะ
“ก็ไม่แน่นะ บางทีถ้าพี่คิณมาชอบแกขึ้นมาแกจะได้เป็นคนแรกที่หย่อนก้นลงจากคานยังไงล่ะ” มนใช้นิ้วมาม้วนปลายผมของฉันเล่นพลางเอ่ยแซวตามประสา
“บ้า” ฉันลากเสียงยาวพลางยกมือไปดันให้เพื่อนรักออกห่างอย่างเขินอาย แหม ก็คนมันเขินง่า
“แล้วแกเขินอะไรจ๊ะ”
“ไม่คุยกับแกละ พี่เขาไม่มีทางมาชอบผู้หญิงธรรมดาแบบฉันหรอกน่า”
“ใครว่าแกเป็นผู้หญิงธรรมดา แกเป็นถึงทายาทคนเดียวของเศรษฐีเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์เลยนะ แถมหน้าตาแกก็ไม่ได้จัดอยู่ในโหมดดูไม่ได้สักหน่อย” มนว่าทั้งยังยกมือขึ้นมาลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน เวลาที่ฉันรู้สึกไม่มั่นใจก็จะมีมนเนี่ยแหละที่คอยมาให้กำลังใจฉันเสมอ นั่นเลย
ทำให้เราเป็นเพื่อนกันมานานมาก ๆ“แต่ว่ามน ฉันว่านะพี่เมนิลต้องแอบชอบพี่คิณแน่ ๆ เลย ฉันไม่อยากแข่งกับพี่เมนิลอะ” ฉันพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาเพราะกลัวว่าใครจะมาได้ยินบทสนทนาที่เราคุยกัน
“แกจะไปกลัวอะไร เดี๋ยวฉันช่วยแกเอง”
“ช่วยยังไง” ฉันหูผึ่งพลางจดจ้องไปหาเพื่อนสนิทอย่างสนอดสนใจ
“สนใจขนาดนี้ แกชอบพี่คิณแล้วใช่ไหม”
“บ้าไม่ได้ชอบ” ฉันรีบปฏิเสธเสียงสูงพลางรีบหันหน้าไปมองทางอื่นอย่างลนลาน ไม่ได้ร้อนตัวเลยนะ ใครจะไปชอบพี่คิณกัน ก็เขาทั้งหล่อทั้งเท่ แถมใจดีอีก ใครมันจะไปชอบล่ะ
“ถ้าแกไม่ชอบพี่คิณแล้วเรื่องอะไรฉันต้องช่วยด้วยล่ะ” ฉันรีบหันใบหน้ากลับมาหาเพื่อนสนิทอย่างทันควัน มนยกแขนขึ้นกอดอกพลางเลิกคิ้วมองมาทางฉันอย่างหยั่งเชิงตอนนี้หัวใจในอกของฉันมันสั่นระรัวเหมือนตอนโดนพ่อจับได้ว่าไม่ได้ไปเรียนพิเศษอย่างไรอย่างนั้นแหละ
“ก็แกบอกว่าแกจะช่วยฉันนี่”
“แต่ถ้าแกไม่ได้ชอบพี่คิณ ก็ไม่มีประโยชน์หรือเปล่า” ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากยามที่ถูกเพื่อนรักจับจ้องมาด้วยแววตาที่จับผิดปนขบขัน
เสียงฝนที่ดังอยู่ด้านนอกกลบเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักอยู่ในทรวงอกไม่ให้คนอื่นได้ล่วงรู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังตื่นเต้นแค่ไหน ก็แหงล่ะ ฉันกำลังถูกเพื่อนสนิทต้อนให้ยอมรับว่าแอบชอบรุ่นพี่หนุ่มสุดฮอตอย่างพี่คิณทั้งที่เพิ่งรู้จักพี่เขาได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ
“เออ ฉันชอบพี่เขา” ฉันก้มหน้าลงมองพื้นกระเบื้องด้านหลังเพราะกลัวว่ามนจะล้อใบหน้าที่แดงระเรื่อ ถึงฉันจะไม่เห็นตัวเองแต่ก็สัมผัสได้เลยว่าหน้าฉันตอนนี้มันแดงเถือกเลยด้วยซ้ำ
“ก็แค่เนี่ย เดี๋ยวเพื่อนคนนี้จะช่วยแกเองนะ” มนเอื้อมมือมาบีบไหล่ฉันอย่างให้กำลังใจก่อนจะเดินออกจากตึกฝ่าฝนไปขึ้นรถของแม่เธอที่มาจอดรออยู่ตรงหน้าตึกได้สักครู่แล้วด้วยท่าทีที่อารมณ์ดีราวกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายโดนบอกชอบเองอย่างนั้นแหละ
พอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็เดินขึ้นชั้นสองมุ่งไปที่ห้องของตัวเองด้วยสภาพที่เหนื่อยหน่ายเต็มทีก่อนจะวางกระเป๋าลงบนเตียงนอนพร้อมกับหย่อนกายลงไปนั่งพัก
ในมือยังคงถือร่มคันที่พี่คิณให้ไว้พร้อมกับทอดสายตามองมันอย่างไม่วางตา
พี่คิณจงใจซื้อให้หรือเปล่านะ หรือว่าพี่คิณแค่พกมันมาใช้เองแล้วสงสารฉัน แต่ไม่ว่ายังไงพี่เขาก็ให้ร่มฉันไม่ใช่หรือไง
พอคิดอย่างนี้แล้วมุมปากฉันก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวจนต้องวางร่มนั้นพิงไว้กับโต๊ะข้างเตียง
พี่คิณ... ชอบฉันอย่างนั้นเหรอ
แค่คิดก็เขินจนแทบจะกรี๊ดออกมาแล้วบ้าเอ๊ย นี่ฉันเป็นอะไรของฉันเนี่ย
ฉันเอนกายลงไปนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงใหญ่พลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงนอนจนผ้าปูที่นอนตึงยับยู่ยี่
ติ๊ง!!!
เสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า ฉันรีบเอื้อมมือไปล้วงหยิบมันขึ้นมาด้วยความรีบร้อนก่อนจะกดเข้าไปอ่านข้อความใหม่ที่ถูกส่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น โทรศัพท์ในมือถูกชูขึ้นเหนือใบหน้าของฉันแถมยังจดจ้องมันอย่างลุ้นระทึก
มน: ทำใจดี ๆ นะแก ฉันมาห้างกับแม่แล้วเห็นพี่เมนิลกับพี่คิณยืนอยู่หน้าโรงหนังอะ
มน: แต่พี่เขาแค่อาจจะยืนคุยกันก็ได้ เนอะ ๆ
โทรศัพท์เครื่องบางหล่นลงทับใบหน้าของฉันอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวจนฉันรีบลุกขึ้นมานั่งด้วยอาการเจ็บปวด
โอ๊ย ยายบ้านิดา
ฉันยกมือขึ้นมาจับสันจมูกที่ถูกโทรศัพท์ล่วงลงกระแทกอย่างแรง ได้แต่โทษตัวเองที่ซุ่มซ่ามอะไรเบอร์นี้
แต่ว่าพี่คิณกับพี่เมนิล ถ้าไปหน้าโรงหนังขนาดนั้นแล้วจะเหลืออะไรนอกจากไปเดตกันล่ะ
ราวกับโทรศัพท์เมื่อครู่เป็นดังเครื่องเตือนสติฉุดฉันขึ้นมาจากฝันกลางวันที่ทำฉันหน้าแตกดังเปรี๊ยะหล่นลงไปกองบนพื้นเป็นเศษเล็กเศษน้อย
นิดาเอ๊ย นิดา แกต้องมั่นหน้าเบอร์ไหนเนี่ยว่าพี่เขาชอบแก
นั่นพี่คิณเลยนะ คิณ อคิราห์ หน้าก็หล่อพ่อก็รวย คนระดับสูงเบอร์นั้นจะหันมามองอะไรที่เธอกันล่ะ
ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา ในใจฉันตอนนี้รู้สึกเหมือนกำลังมีดอกไม้ทั้งทุ่งเหี่ยวเฉาอยู่ในใจฉันเพราะพายุฝนโหมกระหน่ำอย่างไรอย่างนั้นแหละ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“นิดาลูก” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงเคาะประตูตามมาด้วยเสียงของหญิงสาววัยกลางคน ผู้เป็นแม่ของฉันเอง
“ค่ะแม่ เข้ามาได้ค่ะ” ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาในห้องฉันหลังจากที่ฉันกล่าวอนุญาต
“เป็นอะไรเรา ไม่สบายเหรอ ตากฝนหรือเปล่า” ฉันส่ายหน้าอย่างช้า ๆ ราวกับไม่มีเรี่ยวแรง
“เปล่าค่ะ หนูแค่เหนื่อย ๆ”
“งั้นเหรอ” แม่ลงมานั่งข้างฉันสายตาที่ห่วงใยจากผู้เป็นแม่จับจ้องมาทางฉัน
“มีอะไรหรือเปล่าคะแม่ หนูว่าจะไปอาบน้ำนอนแล้ว”
“วันเสาร์นี้ว่างหรือเปล่า”
“ว่างค่ะ” ฉันตอบแบบไม่ต้องคิดเพราะว่าไม่มีกิจกรรมรับน้องและฉันก็ไม่ได้ลงเรียนภาคพิเศษอะไร “แม่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“คือแม่นัดเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว เธอเป็นเพื่อนแม่สมัยเรียนมัธยมเป็นเพื่อนสนิทกันเลยนะ”
“แล้วทำไมเหรอคะ” ฉันมองผู้เป็นแม่พลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“แม่อยากให้เราไปด้วยนะ ไปเป็นเพื่อนแม่หน่อยนะ เนี่ยเพื่อนแม่เขาเอาลูกชายมาด้วยเห็นว่าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันรู้จักกันไว้ก็ดีนะลูก”
อย่าบอกนะว่า... แม่จะพาฉันไปดูตัวน่ะ
“โอ๊ย ตื่นเต้นอะแก” ฉันเดินวกไปวนมาอย่างตื่นเต้นในห้องแต่งตัวโดยมีเพื่อนสาวสองคนของฉันคอยตามประกบ “แกใจเย็น ๆ ก่อนได้ไหมเนี่ยเดี๋ยวชุดพังหมด” มนบ่นเหมือนแม่ตามเคยแถมยังคอยเดินตามจัดชุดให้ฉัน “งานแต่งงานทั้งทีเลยนะเว้ยจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง” “เรารู้ว่าแกอะตื่นเต้น แต่ช่วยอยู่เฉย ๆ ให้พี่ช่างแต่งหน้าซับหน้าก่อนได้ไหม” วิยื้อแขนของฉันไว้พลางพยักเพยิดหน้าไปทางพี่ช่างแต่งหน้าที่ถือแปรงรออยู่นานสองนาน “อุ๊ย ขอโทษค่ะ” ฉันรีบผงกหัวขอโทษแล้วเข้าไปนั่งที่หน้ากระจกเหมือนเดิม “ไม่เป็นไรค่ะคุณน้อง เจ้าสาวส่วนมากที่พี่เห็นก็อาการเหมือนน้องนี่แหละค่ะ เดี๋ยวพอเข้าไปเจอเจ้าบ่าวก็ดีขึ้นเอง” “พี่คิณหล่อมาก ฉันแวะไปดูมาแล้ว” มนก้มลงมากระซิบฉัน “พี่คิณก็หล่ออยู่แล้วปะ แฟนฉันทั้งคน” ฉันแอบขิงใส่เพื่อนสนิทจนเพื่อนสาวทั้งสองแอบเบะปากด้วยความหมั่นไส้ พี่ช่างแต่งหน้าเองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเอือมระอา สงสัยคงเจอมาเยอะแล้วละมั้ง พอช่างแต่งหน้าซับหน้าแล้วแต่งเพิ่มใ
ห้าปีต่อมา ฉันเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาได้ปีกว่าแล้ว และเข้ามารับช่วงต่อในบริษัทของผู้เป็นพ่อ ยอมรับเลยว่างานค่อนข้างหนักหน่วงเสียจนฉันแทบจะไม่มีเวลาได้พักผ่อน หรือแม้แต่ออกไปเที่ยวเล่น ทานข้าว ดูหนังกับพี่คิณเลยสักนิด เมื่อก่อนพี่คิณแบ่งเวลาให้ฉันได้ยังไงกันนะ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าเวลาแทบจะจับโทรศัพท์ยังจะไม่มี “คุณฐานิดาคะ คุณอคิราห์ติดต่อมาว่าติดต่อคุณไม่ได้ค่ะ” เลขาฯสาวเดินเข้ามาในห้องก่อนที่ฉันจะเงยหน้าขึ้นไปมอง พอได้ยินฉันก็รีบเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะข้างกองเอกสารกองโตขึ้นมาดู ให้ตายสิ ลืมนัดพี่คิณไปได้ยังไงเนี่ย “ขอบคุณที่เข้ามาบอกนะ เดี๋ยวฉันขอโทร.หาพี่เขาก่อน” เธอพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ฉันรีบกดโทรศัพท์แล้วโทรหาแฟนหนุ่มทันทีด้วยความรู้สึกผิด ไม่นานนักพี่เขาก็รับสาย [สวัสดีครับ] “พี่คิณ วันนี้หนูคงไปทานอาหารด้วยไม่ได้แล้วนะคะ พอดีว่าหนูมีประชุมตอนเย็นอีก” [อ่า... เหรอครับ] “หนูขอโทษนะ”
“ทะเล” ฉันลากเสียงยาวพลางวิ่งลงจากรถแล้วด้าวเท้าเข้ามาเหยียบบนหาดทรายขาวละเอียดนำหน้าพี่คิณที่กำลังก้าวเท้าลงจากรถตู้ พวกเราเดินทางกันมาหลายคนเลยตัดสินใจที่จะเหมารถตู้มาสองคันเพื่อลดปริมาณรถลง ถ้าต้องขับมาเองได้มาเป็นขบวนแน่ ประหยัดน้ำมันแถมรักโลกด้วย “ยายนิดาเดินดี ๆ เดี๋ยวล้ม” มนเดินตามฉันเหมือนแม่ ในมือประคองหมวกกันแดดบนศีรษะหวั่นจะปลิวไปตามสายลมที่พัดพลิ้ว “มาทาครีมกันแดดด้วย” “ฉันไม่ชอบอะมันเหนียว” “ทา ๆ ไปเถอะ ผิวไหม้ขึ้นมาอย่ามาบ่นนะ” ฉันได้แต่เบะปากมองบนอย่างไม่พอใจในขณะที่มนบีบครีมใส่มือแล้วมาลูบทาบนแขนของฉันยกใหญ่ เหมือนแม่เลยจริง ๆ “พวกเราไปถ่ายรูปตรงนั้นกันไหม” วิชี้ไปทางโขดหินก้อนใหญ่ก่อนพวกเราจะเดินย่ำหาดทรายเพื่อไปถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน “ห้องนอนได้ห้องละสองคนนะ” พี่คุณเดินมาพร้อมกับกุญแจห้อง “ฉันนอนกับนิดานะคะ” พี่ธิดาว่าพลางเดินเข้ามากอดคอฉัน “ได้ค่ะ” ฉันส่งยิ้มรับ “แล้วพี่นอนกับใครล่ะ” พี่คุณเอ่ยทักท้วง ได้ข่าวว่าหลังจากที่พี่ธิดาเรียนจบทั้งส
“หยุดยาวนี้ไปเที่ยวทะเลกันไหม” ฉันพลิกตัวมานอนค่ำบนเตียงนอนในขณะที่เพื่อนของฉันอีกสองคนกำลังนอนเปื่อย ๆ ในห้องนอน คอนโดฯ ของมน เจ้าของห้องนอนไถโซเชียลไปมาในขณะที่วิกำลังนอนอ่านหนังสืออย่างเบื่อหน่าย “พ่อฉันอะไม่เท่าไร แต่พ่อแกกับพ่อวิจะให้ไปเหรอ” มนเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามทั้งฉันและวิ “หยุดยาวป๊าไปต่างประเทศ แอบไปเขาก็ไม่รู้หรอก” วิพูดพร้อมกับปิดหนังสือในมือลงเพื่อหันมาให้ความสนใจ “ใครสั่งใครสอนให้ลูกฉันเป็นเด็กใจแตกเนี่ย” มนเอ่ยแซว แต่กับเรียกสายตาของฉันและวิให้หันไปจ้องมองจนคนที่ถูกจับจ้องกระพริบตาถี่รัวอย่างประหม่า “แล้วแกล่ะนิดา พ่อแกให้ไปเหรอ” “พี่คิณบอกว่าจะไปขอพ่อให้” “แกคิดว่าพี่คิณจะขอพ่อแกได้เหรอ พ่อแกเขาก็ดูไม่ค่อยปลื้มที่แกมีแฟนสักเท่าไรนะ ถ้าไม่ติดที่เกรงใจแม่แกอะ” วิว่าอย่างขำขัน ฉันเองก็ขำพอกัน พ่อฉันหวงฉันมาก ๆ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่พอแม่เล่าให้ฟังฉันก็กระจ่างแจ้งเลย เพราะตอนเป็นวัยรุ่นพ่อเจ้าชู้มาก ๆ พ่อเลยกลัวว่ากรรมจะตามสนองกลัวว่าฉันจะเจอผู้ชายที่ไม่ดี แต่แม่ก็ได้ล้างบาปใ
“อยากไปเที่ยวทะเลชะมัดเลย” ฉันไถหน้าจอโทรศัพท์มือถือดูโซเชียลไปมาอย่างเบื่อหน่าย ตอนนี้ฉันสอบเสร็จหมดแล้วเตรียมที่จะขึ้นปีสองอย่างสมบูรณ์ ส่วนพี่คิณน่ะเหรอก็วุ่นอยู่กับโปรเจกต์จบจนแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่จะนอนพักเสียด้วยซ้ำ “ไว้พี่เรียนจบแล้ว เราไปด้วยกันนะคะ” พี่คิณยกยิ้มมุมปากพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวฉันเบา ๆ “ฉันอยากให้พี่ไปพักผ่อน ทำไมถึงได้ลากฉันมาดูหนังได้ล่ะคะเนี่ย” ฉันเลิกคิ้วขึ้นถาม ถึงแม้ในใจจะดีใจมากก็ตามที “ช่วงนี้เราไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกันเลย พี่เลยหาเวลามาอยู่กับหนูไงคะ” “แฟนใครเนี่ยน่ารักจัง” ฉันกอดแขนของคนพี่พลางซบใบหน้าลงกับไหล่แกร่ง ช่วงนี้พี่คิณดูผอมลงหรือเปล่านะ ต้องเป็นเพราะพักผ่อนไม่พอแน่ ๆ “ไปดูหนังกันเถอะครับ หนังจะเข้าแล้ว” “โอเคค่ะ” พี่คิณพาฉันเดินเข้ามาในโรงหนัง พวกเรานั่งดูภาพยนตร์จนจบเรื่องก่อนจะเดินออกมาจากโรงหนัง หนังเรื่องเมื่อกี้เป็นหนังที่ฉันอยากดูมากแล้วพี่คิณก็ตามใจพาฉันมาดูเพราะรู้ว่าฉันชอบดูหนังผีมากแค่ไหนถึงพี่คิณจะแอบกลัวผีอยู่หน่อย ๆ ในโรงหนังเมื
ฉันค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า สายตาพร่ามัวมองเพดานห้องสีขาวที่ลอยไปมาในอากาศก่อนจะกลับมารวมกันจนเห็นเป็นภาพได้ชัดเจน ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อขจัดความเมื่อยล้าแต่กับถูกแรงรัดจากวงแขนของใครบางคนดึงร่างกายเปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเข้ามาแนบชิดเนื้อหนังอุ่น เดี๋ยวนะ ที่เมื่อคืนฝันว่างูรัดไม่ใช่งูจริง ๆ หรอกเหรอ ฉันลืมตาโพลงขึ้นมาอย่างตกตะลึงสายตาก้มลงมองร่างกายของตัวเองที่ขลุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาก่อนจะบกมือขึ้นมาหยิบมันขึ้นอย่างลุ้นระทึก ร่างกายเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าปกคลุมทั้งฉันและชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งตรอกย้ำว่าเมื่อคืนนั้นเป็นเรื่องจริง บทเพลงรักอันเร่าร้อนที่ถูกบรรเลงขึ้นเมื่อคืนมันเป็นเรื่องจริง เมื่อฉันตั้งสตินึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาอย่างแจ่มชัด ใบหน้าของฉันก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างกับมีแสงแดดมาส่องหน้า “พี่คิณคะ” ฉันเขย่าปลุกอีกฝ่าย “อือ” พี่คิณส่งเสียงครางต่ำในลำคออย่างไม่พอใจยิ่งซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอของฉัน ลมหายใจอุ่นรินรดต้นคอเสียจนมันจั๊กจี้ในหัวใจ “ตื่น