เรื่องราวของ นิดา ฐานิดา รุ่นน้องปีหนึ่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ เด็กสาวธรรมดา ๆ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่ทว่าชีวิตของเธอกลับพลิกผันเพราะ การเต้นหลุดโลกในงานรับน้องและยังมารู้อีกว่า ปู่รหัสของเธอเป็นถึง พี่คิณ อคิราห์ ชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนุ่มหล่อสุดเพอร์เฟกต์แต่ดันเย็นชาสุด ๆ แต่ทำไมเวลาอยู่ใกล้พี่คิณทีไร ถึงได้รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูกทุกทีนะ...
ดูเพิ่มเติมเสียงกลองสันทนาการดังกึกก้องพร้อมกับเสียงร้องเพลงปลุกความสนุกสร้างสีสันในงานรับน้องของคณะวิศวกรรมศาสตร์ นิสิตนักศึกษาต่างพากันปล่อยฝีไม้ลายมือออกลวดลายขยับกายเต้นตามจังหวะทั้งที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยแป้งสีขาวโพลน
ฉันเองก็ออกลายเต้นอย่างเมามันไปกับเสียงกลองที่ดังเป็นจังหวะชวนเร้าใจจนไม่อาจยืนอยู่เฉยได้ ก่อนรุ่นพี่จะกรูเข้ามาปะแป้งฉันจนใบหน้าสวย ๆ ของฉันวอกไปด้วยแป้งเด็ก เกือบจะสำลักออกทางจมูก
“น้องนิดานี่เต้นเก่งจริง ๆ เลยนะ” รุ่นพี่พากันเอ่ยแซวอย่างขำขัน ฉันเองก็หัวเราะแหะตอบรับอย่างเก้อเขิน แหมเมื่อกี้มันก็มันอยู่หรอกค่ะแต่พอมีคนมาเอ่ยแซวอย่างนี้แล้วฉันเองก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ฉันเองก็ไม่ใช่คนหน้าหนาอะไร ออกจะบางเสียด้วยซ้ำยิ่งต้องมาทาแป้งขาวเต็มหน้าแล้วก็รู้สึกประหม่าจนแทบทำตัวไม่ถูก ฮือ อยากจะผ่านวันนี้ไปไว ๆ จัง
อ๋อ ฉันลืมแนะนำตัวไปเลย แต่ทุกคนคงได้ยินที่รุ่นพี่เรียกฉันแล้วใช่ไหมคะ ใช่ค่ะ ฉันชื่อ ฐานิดา หรือ นิดา นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีหนึ่ง ตอนแรกพอบอกคุณพ่อสุดที่รักของฉันว่าฉันอยากจะเรียนคณะนี้คุณพ่อนี่แทบจะลมจับเลยค่ะ ท่านห่วงฉันมากกลัวว่าฉันจะเรียนหนักเกินไปเพราะฉันก็เป็นเพียงลูกสาวตัวเล็ก ๆ อันที่จริงท่านหวงฉันเรื่องผู้ชายมากกว่า
แต่เห็นอย่างนี้ฉันเป็นเด็กที่เรียนเก่งมากเลยนะคะ เหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ ถึงฉันจะเป็นสาวโก๊ะ ๆ แต่จะบอกว่าสอบติดเข้ามาด้วยคะแนน ท็อปต้น ๆ เลยนะจะบอกให้ เฮ้อ สะบัดผมหนึ่งที เพราะอย่างนั้นวันนี้ฉันเลยได้มาร่วมกิจกรรมรับน้องครั้งแรกของคณะ
วันนี้บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกครื้นและความอบอุ่นของพวกรุ่นพี่ที่มาร่วมกิจกรรมรับน้องกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา นอกจากกิจกรรมสันทนาการที่ฉันดูจะสนุกเกินหน้าเกินตาก็ยังมีกิจกรรมเฉลยพี่รหัสที่จะคอยดูแลเราไปจนจบอีกด้วย แอบตื่นเต้นว่าจะได้รุ่นพี่หล่อแล้วจบเหมือนในนิยายบ้าง คริคริ แค่คิดก็ฟินแล้ว
“แหม ทำหน้าเคลิ้มแบบนี้เจอของเด็ดเข้าแล้วอะดิ” ฉันหันขวับไปมองเพื่อนสนิทอย่าง กชมน หรือ มน หญิงสาวผมดัดลอน สวย แซ่บ เบอร์ที่ว่าแค่เดินผ่านผู้ชายก็เหลียวตามกันเป็นแถว สายสะพายดาวคณะปีนี้ไปไหนไม่พ้นเธอแน่
“พูดอย่างกับว่าแกเจอแล้วอะ” อีกฝั่งหนึ่งของฉันคือเพื่อนสนิทฉันอีกคนชื่อ เทวิกา หรือ วิ สาวหวาน ขี้อาย กุลสตรีเบอร์หนึ่ง ขั้วตรงข้ามของมนแต่ทว่าดันเป็นเพื่อนที่มนหวงมากที่สุดจนแอนตี้ผู้ชายทุกคนที่เข้ามาจีบเพื่อนรักน้องเล็กของกลุ่ม
“แล้วแกอะ สนใจใครปะ” ฉันลองถามหยั่งเชิงเพื่อว่าเพื่อนรักของฉันคนนี้จะได้ลงจากคานกับเขา เอ่อ อันที่จริงกลุ่มเราก็ยังไม่เคยมีใครหย่อนก้นลงมาจากคานหรอกนะ แหะ ๆ
“คนเยอะตาลายไปหมดเลย เรามองไม่เห็นหรอก นิดากับมนอะเจอแล้วเหรอ” ฉันส่ายหน้าระรัว วันนี้รู้สึกเหมือนภาพมันพร่ามัวไปหมดจับหน้าใครไม่ได้เลยสักคน หรือว่าแป้งเด็กมันเข้าตา ฉันจะตาบอดไหมเนี่ย
“ฉันเจอแล้วจ้ะ” ทั้งฉันและวิต่างรีบหันไปมองด้วยความเร็วแสงจนคอแทบเคล็ดไปทางสาวสวยที่เผยสายตาเจ้าเล่ห์ก่อนที่จะหันไปจับจ้องทางกลุ่มของรุ่นพี่ที่ยืนใส่เสื้อช็อปมองรุ่นน้องสวยใบหน้าที่นิ่งขรึมจนฉันสงสัยว่าจะเก๊กกันไปทำไม ปีนี้ไม่มีพี่ว้ากซะหน่อย
“ใครอะ” ฉันขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางสายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่กลุ่มรุ่นพี่อย่างไม่วางตา
“กลุ่มนั้นน่ะ เป็นรุ่นพี่ปีสี่ที่รวมคนหน้าตาดีไว้ด้วยกันตั้งห้าคนเลยนะ” ฉันและวิฟังมนอธิบายไปก็จ้องมองพวกพี่เขาไป กลุ่มพี่เขาที่ยืนเกาะกลุ่มกันมีทั้งหมดห้าคน
คนแรกที่มนแนะนำคือพี่ ปิยธิดา หรือ ธิดา ผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มที่ทำเอาสาว ๆ อิจฉากันเป็นแถบ ๆ เพราะได้ใกล้ชิดกับหนุ่ม ๆ ที่สาวหมายปองกันเกือบทั้งคณะ แต่ทว่าพี่ธิดาดีกรีไม่ธรรมดาเพราะเป็นถึงดาวคณะ ทั้งสวยและเท่ในคราวเดียว
ต่อด้วยพี่ รามิล หรือ มิน เพราะเป็นหนุ่มที่แพรวพราว เจ้าชู้เข้าถึงง่ายสุด หักอกสาวมาแล้วนับไม่ถ้วนจนกลายเป็นกิตติศัพท์เลื่องลือไปแล้วว่าเขานั้นเป็นเสือตัวพ่อ
คนต่อมาพี่ ภากร หรือ กร หนุ่มเฟรนด์ลี่ ขี้เล่นแถมยังสายเปย์สุด ๆ คนนี้เป็นเหมือนเป้าหมายของสาว ๆ ที่อยากมีแฟนสายซัปพอร์ตพร้อมเปย์ จนหัวกระไดไม่เคยแห้ง
ตัดกับพี่ ต้นคิด หรือ ต้น ที่เนิร์ดสมชื่อ หนุ่มที่สวมแว่นตาสี่เหลี่ยมไว้ตลอดเวลา ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา แต่ว่ากันว่าฉลาดเป็นกรด ตัวท็อปของรุ่นมันสมองของกลุ่ม
และคนสุดท้าย คนนี้ไม่พูดถึงไม่ได้เพราะเป็นเดือนคณะคู่กับพี่ธิดา หนุ่มฮอตที่เป็นที่หมายปองของสาว ๆ ทั้งหล่อ รวยและเก่ง ทายาทของนักธุรกิจชื่อดังตระกูลบูรณ์พิภพ พี่ อคิราห์ หรือ คิณ แต่ใครเขาก็บอกกันว่าพี่คิณเป็นคนที่เข้าถึงยากที่สุดเพราะทั้งหยิ่งและขรึมสุด ๆ ใครเฉียดเข้าใกล้นะเหมือนอุณหภูมิรอบตัวลดฮวบติดลบกันเลยทีเดียว ฟังดูเวอร์นะ ฉันเองก็ว่าอย่างนั้นแหละ
ฉันหรี่ตามองเพื่อนรักเหลือเชื่อขณะที่มนกำลังสาธยายเรื่องราวของพี่คิณให้พวกเราฟัง คนอะไรมันจะแผ่รังสีอำมหิตออกมาได้น่ากลัวเบอร์นั้น
แต่แล้วฉันก็ต้องข่มความสงสัยไว้เท่านั้นเพราะกิจกรรมดำเนินมาถึงช่วงจับพี่รหัส เครื่องชี้ชะตาว่าใครจะได้เนื้อคู่ เอ๊ย พี่ที่แสนดีกลับมาเทกแคร์เราในระหว่างที่ตรากตรำพรากเพียรอยู่ที่นี่
พอถึงตาฉันก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก อยู่ดี ๆ ยางอายก็ทำงานหลังจากช่วงสันทนาการเต้นจนลืมว่าตัวเองอยู่ในสังคม ฉันได้แต่คลี่ยิ้มกว้างอย่างฝืนใจจนแป้งที่แห้งติดขอบปากปริแตกแล้วล้วงมือเข้าไปในกล่องสุ่มเพื่อจับฉลากสายรหัสตัวเอง เนื่องจากปีนี้อยากให้การรับน้องเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีของรุ่นน้องและรุ่นพี่ในเวลาอันสั้นเพื่อลดการรับน้องที่อาจจะใช้ความรุนแรงจึงใช้การจับฉลากเพื่อเลือกสายรหัสกันเดี๋ยวนั้นเลย
ฉันหยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกล่องสุ่มก่อนจะยื่นให้รุ่นพี่ที่เป็นพิธีกร รุ่นพี่คนนั้นเปิดกระดาษที่ถูกพับเอาไว้ออกดู สายตาเลื่อนขึ้นมามองฉันอย่างเจ้าเล่ห์ชอบกลจนฉันเสียวสันหลังวาบ
“น้องนิดาได้เป็นน้องรหัสของพี่เมนิลสุดสวยประจำคณะของเราเลยนะเนี่ย” ฉันรีบหันไปตามมือของรุ่นพี่ที่ผายไปทางสาวสวยที่ยืนส่งยิ้มหวานมาทางฉันก่อนหน้านี้แล้ว พี่ เมนิลา หรือ เมนิล ฉันพอรู้จักอยู่ พี่เขาเป็นดาวคณะปีที่แล้ว ตัวจริงสวยกว่าในรูปตั้งเยอะ
ฉันยืนตะลึงกับความสวยของรุ่นพี่ที่จะมาเป็นพี่รหัสตัวเองจนขาก้าวแทบไม่ออก ฮือ น้ำตาจะไหล ฉันได้พี่เมนิลเป็นพี่รหัสจริง ๆ เหรอเนี่ย
“น้องนิดาคะ มาหาพี่สิ” คนอะไรหน้าก็สวย เสียงก็เพราะ ฉันรีบก้าวเท้าเข้าไปหารุ่นพี่สุดสวยเรากับลอยไป พี่เมนิลเผยรอยยิ้มอย่างเอ็นดูจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก มารยาทก็ดีด้วยเหรอเนี่ยช่างเป็นคุณสมบัติที่ตรงข้ามกับฉันโดยสิ้นเชิงเลยสินะ
“สวัสดีค่ะพี่เมนิล” น้ำเสียงของฉันประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ต้องเกร็ง ๆ คนกันเองทั้งนั้น” พี่เมนิลว่ากลั้วหัวเราะ “อ้อ เดี๋ยวพี่จะพาไปแนะนำสายรหัสให้รู้จักนะ”
“พี่คะ คือหนูขอไปล้างหน้าก่อนได้หรือเปล่าคะ” ฉันเอ่ยถามพร้อมกับยกนิ้วชี้มาที่ใบหน้าตัวเองที่ตอนนี้ขาววอกไปด้วยแป้งเด็กจากกิจกรรมเมื่อครู่จนมันผสมกับเหงื่อที่ไหลเยิ้มแถมยังเหนียวเหนอะหนะติดหน้าอีก
“อือได้สิ” พี่เมนิลอนุญาตฉันเลยรีบเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วล้างหน้าล้างตาให้สะอาดหมดจด อย่างน้อยหน้าสดแสนซีดเซียวของฉันก็คงจะดีกว่าแป้งขาวโพลนนั่นเป็นไหน ๆ ฉันเงยหน้าขึ้นมาส่องกระจกก่อนจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้แห้ง ไหน ๆ ก็ไหนแล้วขอเติมลิปบาล์มสักหน่อยให้ดูเป็นผู้เป็นคนสักนิด
ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าพี่เมนิลยืนรออยู่แล้ว ฉันรีบเดินเข้ามาหารุ่นพี่เพราะไม่อยากให้เธอต้องรอนาน
“มาแล้วค่ะ”
“หน้าสดก็น่ารักเหมือนกันนะเนี่ย น่าส่งเข้าประกวดดาวเดือนเหมือนกันนะเรา” พี่เมนิลว่า ฉันได้แต่พยักหน้ารับอย่างเคอะเขินพร้อมกับยกมือขึ้นลูบท้ายทอยด้วยความรู้สึกประหม่า
ฉันเดินตามรุ่นพี่มาที่โรงอาหารของคณะที่มีรุ่นพี่ปีสามและปีสี่ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในสายรหัสเดียวกัน
“พี่อ้าย พี่คิณคะ น้องนิดาสายรหัสคนใหม่ของเรา” รุ่นพี่ทั้งสองที่กำลังนั่งคุยกันที่โต๊ะเงยหน้าขึ้นมาจับจ้องที่ฉันพร้อมกัน เดี๋ยวนะ พี่คิณ? ฉันแทบจะขยี้ตาแล้วเพ่งมองชายหนุ่มที่นั่งหน้านิ่งมองมาที่ฉันราวกับว่าตอนนี้ฉันเป็นส่วนเกินในบทสนทนาอย่างไรอย่างนั้น
“พี่คิณคะ อย่าไปมองอย่างนั้นน้องเกร็งหมดแล้ว” พี่อ้ายว่าอย่างขำขันแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้พี่เขามีแววตาที่แปรเปลี่ยนเลยสักนิด
“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” พี่คิณว่าก่อนจะหันกลับไปไม่ได้สนใจอะไร
“เรามาผูกข้อมือรับขวัญน้องเข้าสู่สายรหัสเรากันดีกว่าไหมคะ นะพี่คิณ นะพี่อ้าย”
“เอาสิ” พี่อ้ายพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “พี่คิณล่ะคะ”
“ได้หมด” หนุ่มรุ่นพี่ตอบกลับเพียงสั้น ๆ ก่อนที่พี่เมนิลจะหยิบด้ายผูกข้อมือสีขาวจากโต๊ะที่ถูกตั้งเตรียมไว้อยู่แล้ว
“เริ่มจากพี่ก่อนแล้วกัน ยินดีต้อนรับเข้าสู่สายรหัสนะคะ มีอะไรปรึกษาพี่ได้ตลอดเลยนะ” พี่เมนิลว่าพร้อมกับยิ้มอย่างสดใสก่อนจะตั้งใจผูกด้ายที่ข้อมือของฉันต่อด้วยพี่อ้ายที่พูดอวยพรให้ฉันสำเร็จการศึกษาไปอย่างลุล่วงจนมาถึงตาของพี่คิณ
ฉันกลืนน้ำลายดังเอื้อก สายตาเย็นชาของหนุ่มรุ่นพี่ทำเอาฉันตัวแข็งทื่อไม่รู้ตัว มือหนาค่อย ๆ ผูกด้ายสีขาวที่ข้อมือบางของฉันอย่างเบามือความอุ่นจากมือของพี่เขาแตะโดนฉันในบางทีแต่มันก็รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตเลยค่ะ หัวใจฉันเต้นระรัวจนฉันกลัวว่าความเงียบระหว่างเราจะทำให้พี่คิณเกิดได้ยินเสียงหัวใจเจ้ากรรมของฉันจนต้องขบเม้มริมฝีปากเอาไว้
“ไม่ต้องกลัวพี่ขนาดนั้นหรอก พี่ไม่กัด” ดวงตาตมช้อนขึ้นมาสบตากับฉันยิ่งทำใจที่สั่นระรัวแทบจะเต้นไปทั่วหน้าอก แววตาที่เย็นชาแต่กลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยนพิลึก
พี่เขาปล่อยมือออกจากด้ายหลังจากที่ผูกข้อมือให้ฉันเสร็จแล้วหันไปคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นมาสะพายไว้
“พี่ไปทำธุระก่อนนะ ฝากดูน้องด้วยล่ะ” พี่คิณว่าก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ฉันยืนตัวแข็งทื่ออยู่ท่าเดิม หลังจากฉันเห็นแผ่นหลังของร่างสูงเดินออกไปพ้นจากโรงอาหารฉันก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาราวกับเมื่อกี้ฉันกลั้นหายใจจนใบหน้าแดงก่ำไปเลย
“เกร็งเหรอ พี่คิณเขาก็เป็นอย่างนี้กับทุกคนแหละ” พี่เมนิลว่าก่อนจะยกมือขึ้นมาป้องปากแล้วเข้ามากระซิบที่ข้างหูฉัน “แต่ที่จริงพี่เขาเป็นคนขี้อายนะ”
ฉันหันหน้าไปมองพี่รหัสอย่างเหลือเชื่อ ใบหน้ายิ้มแย้มยามที่พูดถึงพี่คิณทั้งยังลดสายตาลงอย่างเขินอายทำให้ฉันเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งเลยล่ะ
พี่เมนิลชอบพี่คิณชัด ๆ
“แก ๆ ๆ” ฉันรีบวิ่งหน้าตื่นหน้าตั้งมาหาเพื่อนสนิททั้งสองที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะในโรงอาหาร “มีอะไรวิ่งหน้าตั้งมาเลย” มนเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามด้วยความงุนงง “มนแกมัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงไม่รู้ว่าวันนี้คณะวิศวะฯ แข่งบาสเกตบอลกับคณะแพทย์” น้ำเสียงเหนื่อยหอบระคนตื่นเต้น ฉันหอบหายใจพลางรีบลากเพื่อนทั้งสองให้ลุกขึ้น “เชี่ย ศึกแดงเดือด” มนอุทานก่อนจะรีบโกยหนังสือลงกระเป๋าเป้โดยมีวิที่เงยหน้าขึ้นมามองตาใส “จะไปกันเหรอ” “แกไม่อยากมีแฟนคณะแพทย์หรือไง พี่หมอน่ะไทป์แกไม่ใช่เหรอ ไปเร็ว” ฉันรีบหยิบหนังสือใส่กระเป๋าผ้าของเพื่อนรักแล้วจูงมือเพื่อนทั้งสองให้วิ่งตามอย่างเร่งรีบ ทั้งมนและวิต่างรีบวิ่งตามฉันให้ทันโดยมีฉันวิ่งนำอยู่ไม่ไกล ฮือ ถ้าชีวิตมีพี่คิณเป็นเส้นชัย นิดาก็พร้อมสับจนเท้าแหลก พอมาถึงโรงยิมพวกเราก็รีบเข้าไปข้างในพลางบดเบียดสอดแทรกผู้คนให้มาอยู่ด้านหน้า “น้องนิดามาแล้ว” ฉันหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียก พี่ธิดาเพื่อนสาวในกลุ่มพี่คิณรีบกวักมือเรียกฉันและเพื่อน ๆ “น้องนิดามาดูด้วยเหรอ” พี่มิลพ่อหนุ่มจอมแพรวพราวเอ่
“นี่ข้าวเช้า” ตั้งแต่วันนั้นพี่คิณก็เอาข้าวเช้ามาส่งให้ฉันทุกวันที่ฉันมีเรียนในตอนเช้า “ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้มรับพลางมองตามแผ่นหลังกว้างของหนุ่มรุ่นพี่เดินออกไป “พี่คิณเขาไม่ไปฝึกงานเหรอ เห็นมาที่คณะได้ทุกวัน” มนเอ่ยถามขณะนั่งดื่มกาแฟอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉัน “เห็นพี่คิณบอกว่ามาหาเพื่อนอะเลยแวะเอาข้าวเช้ามาให้” ฉันหันมายิ้มอย่างอารมณ์ดีกับเพื่อนสนิทก่อนจะเปิดกล่องข้าวดู วันนี้เป็นข้าวผัดกุ้งแบบจุก ๆ พอฉันบอกพี่คิณเมื่อคืนว่าอยากกินกุ้งพี่เขาเลยบอกว่าจะทำข้าวผัดกุ้ง อย่าเรียกว่าข้าวผัดกุ้งเลยกุ้งผัดข้าวดีกว่าแทบมองไม่เห็นเม็ดข้าวแล้วเนี่ย “เพื่อนพี่เขาก็น่าจะไปฝึกงานปะ พี่ปีสี่อยู่ติดมหาวิทยาลัยที่ไหน” วิว่าก่อนจะกัดแซนด์วิชที่ตัวเองเตรียมมาจากบ้านพลางไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ “แกพูดอย่างนี้แกกำลังให้ความหวังว่าพี่เขาตั้งใจเอาข้าวมาให้ฉันอยู่นะ” ฉันหันไปทำตาประกายใส่เพื่อนรักที่หันกลับมามองฉันด้วยหางตา “ก็น่าจะจริงปะ ดูจากดาวอังคารผู้ชายทำแบบนี้ให้ก็น่าจะคิดว่าพี่เขาจีบแกแล้วไหม” เพิ่งเคยเห็นเทวิกาของเราพูดด้วยน้ำเสียงปนหงุดหง
“ไปดูตัวมาเป็นยังไงบ้างจ๊ะเพื่อนสาว ไม่ทักมาเลยนะ แสดงว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือใช่ปะ” ประโยคทักทายจากมนที่เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือยามที่เห็นฉันเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะไม้ในโรงอาหาร “นั่นสิ เงียบไปเลยเกิดไรขึ้นไหม” วิถามเสริมด้วยความอยากรู้ “ผิดคาดมากเวอร์” ฉันนั่งลงก่อนจะรีบสุมหัวกับเพื่อนสนิททั้งสอง “ทำไมอะ เขาหล่อเหรอ” “หรือว่าเขาเกิดชอบแกขึ้นมา” “หรือว่าแกไปถูกตาต้องใจเขา” “หรือเขาเป็นคนที่พวกเรารู้จัก” “เดี๋ยว พวกแกใจเย็น ๆ” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของทั้งสองก่อนที่จะไปกันใหญ่มากกว่านี้ ทั้งสองเม้มริมฝีปากแน่นแล้วตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เล่ามาเลย ๆ ไว” มนเร่งเร้าอย่างตื่นเต้น “คืองี้ ลูกชายของเพื่อนแม่ที่ฉันไปเจออะ คือพี่คิณ” “อะไรนะ” ทั้งสองอุทานออกมาเสียงดังลั่นพร้อมกันอย่างแตกตื่นจนฉันตั้งรีบยกมือขึ้นปิดริมฝีปากของสองเพื่อนรักเอาไว้ไม่ให้เสียงดัง แล้วหันไปมองคนอื่น ๆ ในโรงอาหารพลางค่อมศีรษะขอโทษขอโพยด้วยความเกรงใจ “ก็อย่า
“ไปเดินเล่นกันไหม” “คะ?” ถ้อยคำเชิญชวนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยทำเอาฉันต้องถามกลับอีกรอบให้แน่ใจ “ไปเดินเล่นด้วยกันหรือเปล่า พวกแม่ ๆ เขาคุยกันอยู่ ไม่อยากไปขัดท่าน” “เอ่อ... ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับอย่างเหนียมอายก่อนจะเดินข้างพี่คิณออกไป แล้วเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินของห้างสรรพสินค้าโดยไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนด้วยซ้ำ “ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรา” “หนูก็ไม่คิดว่าจะเป็นพี่คิณเหมือนกันค่ะ ไม่งั้นหนูก็คงไม่แต่งตัวพิลึกแบบนี้” ฉันว่าด้วยน้ำเสียงติดงอแง อีกนิดฉันจะปาดน้ำตาโชว์พี่คิณที่เดินอยู่ข้าง ๆ ฉันแล้วเนี่ย “ก็ว่าอยู่ ไม่คิดว่าเราจะแต่งตัวแบบนี้” พี่คิณว่าอย่างขบขัน ฉันได้ยินพี่เขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อยจนฉันต้องหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ “ก็ฉันไม่อยากให้ใครมาชอบฉันนี่คะ” “งั้นที่บอกว่าถ้ารู้ว่าเป็นพี่จะไม่แต่งตัวแบบนี้คือ...” เดี๋ยวนะ บอกแบบนี้ก็หมายความว่าอยากให้พี่คิณชอบน่ะสิ “ไม่ค่ะ ๆ ๆ คือหนูรู้อยู่แล้วไงว่าพี่ไม่มีทางชอบหนูหรอก” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของพี่เขาพลางส่ายหน้าระรัวด้วยความลนลานแล้วส่งยิ
“บอกฉันทีลมอะไรหอบให้แกแบกพวกฉันมาซื้อเสื้อผ้าได้เนี่ย” มนว่าอย่างแปลกใจพร้อมกับเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าในร้านอย่างคุ้นชิน “แม่ฉันนัดกับเพื่อนสนิทสมัยมัธยมแล้วเอาฉันไปด้วยอะดิ” ฉันว่าอย่างเบื่อหน่ายพลางเดินตามเพื่อนรักที่กำลังเลือกดูเสื้อผ้าอย่างสนอกสนใจ มนเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเก่งต่างจากฉันที่ใส่เสื้อผ้าซ้ำไปซ้ำมา ส่วนวิที่เดินตามมาอยู่อีกฝั่งก็มองเสื้อผ้าที่เข้ากับสไตล์การแต่งตัวของตัวเองที่จะออกแนวสาวน้อยน่ารักตามแบบฉบับของเทวิกา “แม่นัดเจอเพื่อนแล้วเกี่ยวอะไรกับแกอะ” วิที่ยืนเงียบอยู่สักพักเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ก็เพื่อนแม่จะหอบลูกชายมาด้วยนี่สิ ฉันว่านะต้องนัดดูตัวแหง ๆ” เพื่อนทั้งสองของฉันหยุดชะงักตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็งก่อนจะหันมามองหน้ากันราวกับว่าโลกกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ฉันได้แต่มองเพื่อนสาวอย่างแปลกใจที่ทั้งสองนั้นดูอึ้งยิ่งกว่าฉันเสียอีกก่อนที่ทั้งสองจะรีบกรูกันเข้ามาหาฉันอย่างแตกตื่น “นี่แม่แกเขาดูออกขนาดนั้นเลยเหรอว่าแกจะขึ้นคาน” มนว่าเอ่ยแซวจนฉันต้องหรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างคาดโทษ “นี่ที่แกมาเลือกเสื้อผ้าเ
วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ฉันต้องมานั่งอุดอู้เรียนอยู่ในคาบเลกเชอร์ที่แสนจะน่าเบื่อ เครื่องปรับอากาศทำความเย็นฉ่ำ ๆ ภายในห้องชวนให้ง่วงนอนจนตาปรือ “เป็นอะไรเนี่ย” วิสะกิดไหล่ฉันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มสัปหงกด้วยความงัวเงีย “ฉันหนาวอะ เลยง่วง” ฉันหาวฟอดใหญ่พลางยกมือขึ้นป้องปากแล้วฟุบใบหน้าลงบนโต๊ะเรียนเพราะไม่อาจจะทนความง่วงนอนที่เข้ามารุมเร้าเสียจนเปลือกตาหนักอึ้งไปหมด “อีกไม่กี่นาทีก็หมดเวลาแล้ว แกจะมาหลับตอนนี้ไม่ได้นะ” มนใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนของฉันให้เงยหน้าขึ้นมามองไปยังหน้าห้องที่ยังมีอาจารย์เปิดสไลด์พร้อมกับอธิบายโดยที่ฉันไม่ได้เข้าใจเนื้อหาหรือแม้แต่จะฟังมันอย่างตั้งใจด้วยซ้ำ ฉันได้แต่หรี่ตามองข้อความที่ขึ้นมาผ่านตาให้ผ่านพ้นไปในแต่ละนาทีอย่างใจจดใจจ่อแม้ในหัวจะโล่งจนเหมือนได้ยินเสียงลมพัดผ่านความว่างเปล่าก็ตามที จนเวลาล่วงเลยถึงตอนเลิกคลาส เพื่อน ๆ ในห้องต่างเริ่มทยอยเดินออกกันมาด้วยท่าทีที่เหมือนหมดแรงกันเป็นแถบ รวมถึงฉันด้วย ฉันและเพื่อนสาวอีกสองคนเดินออกมาจากห้องเรียนก็พบกับลมแรงที่พัดเข้าตีหน้าจนผมที่ปล่อยสยายของฉันปลิวไม่
ความคิดเห็น