Share

ตอนที่ 3 ดูตัว    

last update Terakhir Diperbarui: 2025-06-01 18:28:36

          “บอกฉันทีลมอะไรหอบให้แกแบกพวกฉันมาซื้อเสื้อผ้าได้เนี่ย” มนว่าอย่างแปลกใจพร้อมกับเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าในร้านอย่างคุ้นชิน

          “แม่ฉันนัดกับเพื่อนสนิทสมัยมัธยมแล้วเอาฉันไปด้วยอะดิ” ฉันว่าอย่างเบื่อหน่ายพลางเดินตามเพื่อนรักที่กำลังเลือกดูเสื้อผ้าอย่างสนอกสนใจ มนเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเก่งต่างจากฉันที่ใส่เสื้อผ้าซ้ำไปซ้ำมา ส่วนวิที่เดินตามมาอยู่อีกฝั่งก็มองเสื้อผ้าที่เข้ากับสไตล์การแต่งตัวของตัวเองที่จะออกแนวสาวน้อยน่ารักตามแบบฉบับของเทวิกา

          “แม่นัดเจอเพื่อนแล้วเกี่ยวอะไรกับแกอะ” วิที่ยืนเงียบอยู่สักพักเอ่ยถามด้วยความสงสัย

          “ก็เพื่อนแม่จะหอบลูกชายมาด้วยนี่สิ ฉันว่านะต้องนัดดูตัวแหง ๆ” เพื่อนทั้งสองของฉันหยุดชะงักตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็งก่อนจะหันมามองหน้ากันราวกับว่าโลกกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ฉันได้แต่มองเพื่อนสาวอย่างแปลกใจที่ทั้งสองนั้นดูอึ้งยิ่งกว่าฉันเสียอีกก่อนที่ทั้งสองจะรีบกรูกันเข้ามาหาฉันอย่างแตกตื่น

           “นี่แม่แกเขาดูออกขนาดนั้นเลยเหรอว่าแกจะขึ้นคาน” มนว่าเอ่ยแซวจนฉันต้องหรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างคาดโทษ

           “นี่ที่แกมาเลือกเสื้อผ้าเพราะแกอยากแต่งตัวให้ดูดีขึ้นใช่ไหม”

วิถามอย่างตื่นเต้นพลางเดินเข้ามากอดแขนฉัน “งั้นเดี๋ยวเราพาแกไปเลือกเอง”

           “ไม่จ้า ไปเจอผู้ใหญ่ก็ต้องแต่งตัวให้ดูมีภูมิฐานหน่อยจะให้ไปแต่งตัวเหมือนเด็กประถมไม่ได้เนอะ” มนเดินเข้ามาพลางกระชับเรียวแขนของฉันไว้แล้วออกแรงยื้อให้ฉันเข้าไปหาเธอ

           “แต่งแบบมน ผู้ใหญ่เขามองว่าไม่น่ารักนะ” วิมองเสื้อครอปสายเดี่ยวที่มนสวมใส่ก่อนจะส่ายหน้าแล้วดึงฉันเข้าไปหาตัวเธอ

           “ก็ไม่ได้แต่งแบบฉันตอนนี้ คนเรามันก็ต้องรู้จักกาลเทศะเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ตัวเองนะจ๊ะ” มนยื้อฉันกลับเข้ามาหาตัวเอง

           เพื่อนสาวทั้งสองของฉันเถียงกันต่อไปพลางยื้อยุดฉันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ในหัวฉันพร่าเบลอไปหมดหันไปมาระหว่างเพื่อนสนิททั้งสองก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นหมวกสานปีกกว้างที่เคยเห็นคนใส่ไปเที่ยวทะเลกันบ่อย ๆ ก็เกิดเสียงปิ๊งขึ้นมาในหัว

           “พวกแก” ฉันรีบยกมือห้ามศึกระหว่างมนและวิอย่างทันท่วงทีพลันส่งสายตาหาเพื่อนทั้งสองด้วยสายตาประกายแวววับอย่างมีเลศนัย

           “อะไร แกเลือกฉันใช่ปะ” มนชี้ตัวเองอย่างดีใจ 

           “ไม่สิ นิดาเลือกเราใช่ไหม” วิจับแขนฉันพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงหวานปนงอแงนิด ๆ ตามประสา 

           “คนเราเกิดมาครั้งเดียวก็ควรจะเลือกในสิ่งที่ตัวเองเชื่อถูกไหม” ฉันหันกลับไปจับจ้องยังหมวกสานใบใหญ่นั้นอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปหามันท่ามกลางสายตางุนงงของเพื่อนสาวทั้งสองแล้วหยิบมันขึ้นมาลองสวมบนศีรษะอย่างอารมณ์ดี

           “แบบนั้นไม่น่าโอเคนะแก” มนขมวดคิ้วอย่างตงิดใจ “แย่กว่าพวกฉันอีก”

           “พวกแกต้องช่วยฉันนะ” ฉันรีบหันไปหาเพื่อน ๆ ก่อนจะจับมือของทั้งสองขึ้นมาอ้อนวอนพลางมองที่ทั้งสองด้วยแววตาออดอ้อน “ขอร้องละฉันยังตัดใจจากพี่คิณไม่ได้เลยจะให้ฉันไปดูตัวกับใคร แง~~”

           “ตัดใจจากพี่คิณเหรอ” แย่แล้วไงฉันลืมไปซะสนิทว่าวิยังไม่รู้เรื่องนี้ เธอขมวดคิ้วพลางมองมาที่ฉันอย่างคาดคั้น               “แกไปชอบพี่คิณตอนไหน แล้วแกไปอกหักจนถึงขั้นต้องตัดใจตั้งแต่เมื่อไหร่”

           ไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวที่ตัวเล็กกว่าฉันพอเข้าสู่โหมดจริงจังก็ทำให้บรรยากาศรอบข้างกลายเป็นห้องสอบสวนอย่างกับว่าฉันเพิ่งทำความผิดร้ายแรงมาอย่างนั้นแหละ สายตาของหญิงสาวตรงหน้าทำฉันให้กลายเป็นเพียงเด็กน้อยหกขวบที่ปกปิดความผิดจากแม่เพราะขโมยขนมมากินตอนสามทุ่มแล้วไม่ได้แปรงฟัน

           “ฉันจะบอกแกก็ได้แต่ว่า แกช่วยฉันก่อนนะ”

           “ช่วยอะไร” วิยกคิ้วขึ้นสูงอย่างสงสัย

           “พวกแกเลือกเสื้อผ้าที่แปลกประหลาดที่สุดมาหน่อยดิ เอาแบบเห็นครั้งแรกยังไงก็ไม่มีทางตกหลุมรักอะ”

           “แค่แกใส่ชุดนอนเน่าของแกไปก็ได้แล้วปะวะ” มนเอ่ยถาม

           “ไม่ได้ชุดนอนเน่าฉันใส่อยู่บ้านได้อย่างเดียวเอาออกไปข้างนอกแล้วกลิ่นเปลี่ยน” สองเพื่อนรักพากันถอนหายใจอย่างเอือมระอาก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วเหมือนจะคิดอะไรออก

           “ฉันว่า ฉันกับแกควรรวมเอาสไตล์มารวมกันดูไหม”

           “ถึงเวลาที่เราสองคนต้องร่วมมือกันสักทีสินะ” มนพยักหน้ารับก่อนจะยื่นมือไปจับมือกับวิเพื่อสามัคคีกันราวกับเมื่อครู่ไม่ได้มีการยื้อยุดฉุดกระชากกันจนฉันรู้สึกเหมือนแขนฉันยืดออกไปประมาณสองเมตรได้แล้ว

           ก๊อก ก๊อก ก๊อก

           “นิดาเสร็จหรือยังลูกจะสายแล้วนะ” แม่เคาะประตูห้องฉันในยามเช้า

           “เสร็จแล้วค่ะแม่” ฉันรีบเดินไปเปิดประตูห้องนอนของตัวเอง

           พอประตูถูกเปิดออกสิ่งแรกที่ฉันเห็นคือสีหน้าของผู้เป็นแม่ที่มองฉันอย่างตกตะลึงเสียจนต้องอ้าปากค้าง

           “แม่คะ” ฉันเรียกผู้เป็นแม่ที่ราวกับกำลังหลุดลอยออกไปจ้องมองมาที่ฉันตัวแข็งทื่อ

           “เอ่อ ไม่มีชุดอื่นแล้วเหรอจ๊ะ”

           “ไม่ทันแล้วค่ะแม่ สายแล้วเราไปกันเถอะค่ะ” ฉันเดินเข้าไปประชิดตัวแม่ก่อนจะกอดแขนท่านไว้หวังจะลากเดินออกไปจากห้องนอนแต่ท่านก็กลับยื้อแขนฉันไว้พลางมองฉันด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าไม่โอเคกับการแต่งกายของฉันแบบขั้นสุด

           “แม่รู้นะว่าลูกแต่งตัวไม่เป็นแต่ไม่คิดว่าหนักเอาการ”

           “ไม่หนักหรอกค่ะแม่ ไปสายมันเสียมารยาทหนักกว่านะคะ” ให้ตายเถอะทำไมวันนี้แม่แรงเยอะอย่างนี้อะ

           “จะไปเจอพี่เขาก็แต่งตัวให้มันดูดีหน่อยสิ”

           “ไม่ค่ะ ไม่จำเป็น” ฉันรีบปล่อยแขนจากแม่เพราะรู้ว่าอย่างไรแม่ก็คงจะไม่ยอมลงไปง่าย ๆ เพราะฉะนั้นเราควรเอาตัวเองลงไปก่อนดีกว่าไม่อย่างนั้นแผนแต่งตัวพิลึกเพื่อสร้างความประทับใจแบบติดลบของฉันมันต้องไม่เป็นผลแน่นอน

           คิดได้แบบนั้นฉันก็รีบก้าวออกจากห้องแล้วสับเท้าถี่ลงบันไดลงไปแบบชิดที่ถ้ามีปีกก็คงจะบินไปถึงห้างแล้วละตอนนี้

           “โธ่เอ๊ยลูกสาวฉัน”

           พอมาถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองฉันก็ได้แต่เดินตามแม่เข้ามาอย่างสงบเสงี่ยม ผู้เป็นแม่ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่นั่งรถมา แต่ฉันสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองภายในใจของท่าน ช่วยไม่ได้ ก็ฉันยังไม่พร้อมเปิดใจนี่นา ต่อให้แม่จะเอาผู้ชายระดับไหนมาประเคนให้หนู หนูก็จะพูดคำเดียวว่า...

           แต่งค่ะ

           คำ ๆ นั้นเด้งเข้ามาในหัวฉันยามที่เข้ามาในร้านอาหารแล้วผู้เป็นแม่โบกมือทักทายกับเพื่อนในวัยเด็ก สายตาของฉันเหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายคุณป้าแล้วได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง

          พี่คิณนี่

          “แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้แต่งตัวดี ๆ” ผู้เป็นแม่หันมากระซิบบอกฉันราวกับเป็นการตอกหน้าว่าเลือกที่จะคัดค้านคำแม่มันเป็นโทษร้ายแรงสถานไหน

           ฉันก้าวเท้ามานั่งฝั่งตรงข้ามพี่คิณด้วยเรียวขาที่สั่นสะท้านก่อนจะหลบสายตาที่พี่เขามองมา แววตาเย็นชาของพี่เขายังไม่เปลี่ยนแปลงจนไม่รู้ว่าชายตรงหน้าซ่อนความรู้สึกอะไรไว้อยู่กันแน่ แต่ที่เด่นชัดที่สุดต้องเป็นใบหน้าที่แดงระเรื่อของฉันอยู่แล้วล่ะ

            อับอายขายขี้หน้าที่สุดเลย

            “เอ่อ... นิดาใช่ไหมลูก” คุณป้าเอ่ยถามอย่างประหม่าพลางเงยหน้าขึ้นมองหมวกใบสานอันใหญ่โตที่ดูจะเกะกะไปสักหน่อย

            “สวัสดีค่ะคุณป้า”

            “สวัสดีจ้ะ เอ่อ ถอดหมวกก่อนดีไหมจ๊ะ แดดไม่ได้แรงอะไร” แดดไม่แรงหรอกค่ะคุณป้าแต่ความอับอายกำลังจะเผาไหม้หนูให้กลายเป็นจุณเลยค่ะ

             “ขอโทษค่ะคุณป้า” ฉันว่าพลางยิ้มเจื่อนก่อนจะถอดหมวกใบนั้นออกจากหัวก่อนผมที่ฉันมัดเป็นดังโงะไว้ด้านในจะถูกปล่อยสยายลงมายาวยันกลางแผ่นหลัง

             “น้องเขาแต่งตัวน่ารักดีนะว่าไหมคิณ” คุณป้าหันไปถามพี่คิณที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาตั้งแต่เห็นหน้าฉัน พี่เขาคงช็อกกับการแต่งตัวของฉันไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้นั่งนิ่งปานรูปปั้นขนาดนี้อะ

              “ครับแม่” พี่คิณตอบรับเพียงเท่านั้นแต่กลับจ้องฉันอย่างไม่วางตาอย่างกับฉันเป็นตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น

              ฉันก้มลงมองเสื้อยืดลายดอกสีฟ้าของตัวเองที่ใส่เข้ากับชุดเอี๊ยมกระโปรงสีชมพูบานเย็นยาวถึงข้อเท้าทั้งยังใส่ร้องเท้าบูตหนังสีขาวยาวขึ้นมาถึงหน้าแข้ง ไหนจะกระเป๋าสะพายที่เป็นรูปแมวเหมียวมีขนนี่อีก น่าอายชะมัดเลย

              “ลืมแนะนำตัวเลย ป้าชื่อฐิติยานะจ๊ะ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ป้าญาก็ได้จ้ะ” แม่ฉันแนะนำตัวกับพี่คิณ

              “ลูกฉันรู้แล้วจ้าว่าแกน่ะชื่อกะทิ”

              “แหมยายอรก็ ไปเอาชื่อสมัยเด็กมาเรียกได้ไงเนี่ยอายเด็กหมด”

              “ไม่เป็นไรเลยครับคุณป้า ผมว่าเรียกคุณป้ากะทิก็น่ารักดีนะครับ” พี่คิณว่าพลางอมยิ้มอ่อนทำให้ใบหนาของพี่เขาดูละมุนเข้าไปอีก

              “แหมถ้าตาคิณว่าอย่างนั้นก็ได้จ้ะ นี่ลูกป้าเองนะ ชื่อนิดา นิดาทักทายพี่คิณเขาสิลูก” แม่หันมาจับที่ต้นแขนของฉันทำให้พี่คิณหันมาตามการขยับกายของแม่ ฉันรีบหลบสายตาของพี่เขาทันทีไม่ให้พี่เขาได้เห็นความลนลานของฉัน ไม่เห็นเลยจริง ๆ นะ

               อย่าให้พี่เขาพูดว่ารู้จักฉันเลยนะขอร้องล่ะ

               “ผมรู้จักแล้วละครับ น้องเป็นสายรหัสของผมเอง”

               “ตายจริง โลกกลมชะมัดเลย” แม่ฉันว่าอย่างอารมณ์ดีก่อนพวกเราจะพากันทานอาหารที่สั่งมา พวกแม่ ๆ คุยกันอย่างสนุกสนานเพราะไม่ได้พบปะกันมานานเลยมีเรื่องให้พูดคุยกันเยอะใช่ย่อย

               พี่คิณเองก็ได้แต่นั่งทานอาหารอยู่เงียบ ๆ คุณป้าถามคำก็ตอบคำ ส่วนฉันก็ก้มหน้าก้มตาเขี่ยอาหารในจานตัวเองไปมา ใครมันจะไปทานลงกันล่ะ

               “หนูขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะแม่”

              “เอาสิ” แม่ตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจนักเพราะมัวแต่พูดคุยกับเพื่อนสนิทอย่างออกรสออกชาติ ฉันเลยถือโอกาสปลีกตัวออกมา

              ฉันเดินไปเข้าห้องน้ำตัวคนเดียวเผชิญกับสายตาผู้คนที่พากันมองมาที่ฉันกันอย่างตกตะลึง ก็แหงสิ แบบนี้ใครเขาแต่งกันล่ะ

             ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาว่าจะทักไปหาเพื่อนรักทั้งสอง

            “นิดา” ฉันเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก พี่คิณยืนอยู่ตรงหน้าฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ทำเอาฉันตกอกตกใจเสียจนเกือบทำโทรศัพท์มือถือ

หลุดมือ

            “พี่คิณมีอะไรหรือเปล่าคะ” น้ำเสียงของฉันถามพี่คิณมันประหม่าเสียจนเสียงเกือบสั่น ไม่รู้ว่าพี่เขาจะรู้หรือเปล่า

            “ไปเดินเล่นกันไหม”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • อคิราห์คนคลั่งรัก   ตอนที่ 7 บาสเกตบอล

    “แก ๆ ๆ” ฉันรีบวิ่งหน้าตื่นหน้าตั้งมาหาเพื่อนสนิททั้งสองที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะในโรงอาหาร “มีอะไรวิ่งหน้าตั้งมาเลย” มนเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามด้วยความงุนงง “มนแกมัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงไม่รู้ว่าวันนี้คณะวิศวะฯ แข่งบาสเกตบอลกับคณะแพทย์” น้ำเสียงเหนื่อยหอบระคนตื่นเต้น ฉันหอบหายใจพลางรีบลากเพื่อนทั้งสองให้ลุกขึ้น “เชี่ย ศึกแดงเดือด” มนอุทานก่อนจะรีบโกยหนังสือลงกระเป๋าเป้โดยมีวิที่เงยหน้าขึ้นมามองตาใส “จะไปกันเหรอ” “แกไม่อยากมีแฟนคณะแพทย์หรือไง พี่หมอน่ะไทป์แกไม่ใช่เหรอ ไปเร็ว” ฉันรีบหยิบหนังสือใส่กระเป๋าผ้าของเพื่อนรักแล้วจูงมือเพื่อนทั้งสองให้วิ่งตามอย่างเร่งรีบ ทั้งมนและวิต่างรีบวิ่งตามฉันให้ทันโดยมีฉันวิ่งนำอยู่ไม่ไกล ฮือ ถ้าชีวิตมีพี่คิณเป็นเส้นชัย นิดาก็พร้อมสับจนเท้าแหลก พอมาถึงโรงยิมพวกเราก็รีบเข้าไปข้างในพลางบดเบียดสอดแทรกผู้คนให้มาอยู่ด้านหน้า “น้องนิดามาแล้ว” ฉันหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียก พี่ธิดาเพื่อนสาวในกลุ่มพี่คิณรีบกวักมือเรียกฉันและเพื่อน ๆ “น้องนิดามาดูด้วยเหรอ” พี่มิลพ่อหนุ่มจอมแพรวพราวเอ่

  • อคิราห์คนคลั่งรัก   ตอนที่ 6 ข้าวกล่อง               

    “นี่ข้าวเช้า” ตั้งแต่วันนั้นพี่คิณก็เอาข้าวเช้ามาส่งให้ฉันทุกวันที่ฉันมีเรียนในตอนเช้า “ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้มรับพลางมองตามแผ่นหลังกว้างของหนุ่มรุ่นพี่เดินออกไป “พี่คิณเขาไม่ไปฝึกงานเหรอ เห็นมาที่คณะได้ทุกวัน” มนเอ่ยถามขณะนั่งดื่มกาแฟอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉัน “เห็นพี่คิณบอกว่ามาหาเพื่อนอะเลยแวะเอาข้าวเช้ามาให้” ฉันหันมายิ้มอย่างอารมณ์ดีกับเพื่อนสนิทก่อนจะเปิดกล่องข้าวดู วันนี้เป็นข้าวผัดกุ้งแบบจุก ๆ พอฉันบอกพี่คิณเมื่อคืนว่าอยากกินกุ้งพี่เขาเลยบอกว่าจะทำข้าวผัดกุ้ง อย่าเรียกว่าข้าวผัดกุ้งเลยกุ้งผัดข้าวดีกว่าแทบมองไม่เห็นเม็ดข้าวแล้วเนี่ย “เพื่อนพี่เขาก็น่าจะไปฝึกงานปะ พี่ปีสี่อยู่ติดมหาวิทยาลัยที่ไหน” วิว่าก่อนจะกัดแซนด์วิชที่ตัวเองเตรียมมาจากบ้านพลางไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ “แกพูดอย่างนี้แกกำลังให้ความหวังว่าพี่เขาตั้งใจเอาข้าวมาให้ฉันอยู่นะ” ฉันหันไปทำตาประกายใส่เพื่อนรักที่หันกลับมามองฉันด้วยหางตา “ก็น่าจะจริงปะ ดูจากดาวอังคารผู้ชายทำแบบนี้ให้ก็น่าจะคิดว่าพี่เขาจีบแกแล้วไหม” เพิ่งเคยเห็นเทวิกาของเราพูดด้วยน้ำเสียงปนหงุดหง

  • อคิราห์คนคลั่งรัก   ตอนที่ 5 ชานมไข่มุก      

    “ไปดูตัวมาเป็นยังไงบ้างจ๊ะเพื่อนสาว ไม่ทักมาเลยนะ แสดงว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือใช่ปะ” ประโยคทักทายจากมนที่เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือยามที่เห็นฉันเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะไม้ในโรงอาหาร “นั่นสิ เงียบไปเลยเกิดไรขึ้นไหม” วิถามเสริมด้วยความอยากรู้ “ผิดคาดมากเวอร์” ฉันนั่งลงก่อนจะรีบสุมหัวกับเพื่อนสนิททั้งสอง “ทำไมอะ เขาหล่อเหรอ” “หรือว่าเขาเกิดชอบแกขึ้นมา” “หรือว่าแกไปถูกตาต้องใจเขา” “หรือเขาเป็นคนที่พวกเรารู้จัก” “เดี๋ยว พวกแกใจเย็น ๆ” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของทั้งสองก่อนที่จะไปกันใหญ่มากกว่านี้ ทั้งสองเม้มริมฝีปากแน่นแล้วตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เล่ามาเลย ๆ ไว” มนเร่งเร้าอย่างตื่นเต้น “คืองี้ ลูกชายของเพื่อนแม่ที่ฉันไปเจออะ คือพี่คิณ” “อะไรนะ” ทั้งสองอุทานออกมาเสียงดังลั่นพร้อมกันอย่างแตกตื่นจนฉันตั้งรีบยกมือขึ้นปิดริมฝีปากของสองเพื่อนรักเอาไว้ไม่ให้เสียงดัง แล้วหันไปมองคนอื่น ๆ ในโรงอาหารพลางค่อมศีรษะขอโทษขอโพยด้วยความเกรงใจ “ก็อย่า

  • อคิราห์คนคลั่งรัก   ตอนที่ 4 ดูตัว (2)         

    “ไปเดินเล่นกันไหม” “คะ?” ถ้อยคำเชิญชวนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยทำเอาฉันต้องถามกลับอีกรอบให้แน่ใจ “ไปเดินเล่นด้วยกันหรือเปล่า พวกแม่ ๆ เขาคุยกันอยู่ ไม่อยากไปขัดท่าน” “เอ่อ... ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับอย่างเหนียมอายก่อนจะเดินข้างพี่คิณออกไป แล้วเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินของห้างสรรพสินค้าโดยไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนด้วยซ้ำ “ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรา” “หนูก็ไม่คิดว่าจะเป็นพี่คิณเหมือนกันค่ะ ไม่งั้นหนูก็คงไม่แต่งตัวพิลึกแบบนี้” ฉันว่าด้วยน้ำเสียงติดงอแง อีกนิดฉันจะปาดน้ำตาโชว์พี่คิณที่เดินอยู่ข้าง ๆ ฉันแล้วเนี่ย “ก็ว่าอยู่ ไม่คิดว่าเราจะแต่งตัวแบบนี้” พี่คิณว่าอย่างขบขัน ฉันได้ยินพี่เขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อยจนฉันต้องหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ “ก็ฉันไม่อยากให้ใครมาชอบฉันนี่คะ” “งั้นที่บอกว่าถ้ารู้ว่าเป็นพี่จะไม่แต่งตัวแบบนี้คือ...” เดี๋ยวนะ บอกแบบนี้ก็หมายความว่าอยากให้พี่คิณชอบน่ะสิ “ไม่ค่ะ ๆ ๆ คือหนูรู้อยู่แล้วไงว่าพี่ไม่มีทางชอบหนูหรอก” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของพี่เขาพลางส่ายหน้าระรัวด้วยความลนลานแล้วส่งยิ

  • อคิราห์คนคลั่งรัก   ตอนที่ 3 ดูตัว    

    “บอกฉันทีลมอะไรหอบให้แกแบกพวกฉันมาซื้อเสื้อผ้าได้เนี่ย” มนว่าอย่างแปลกใจพร้อมกับเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าในร้านอย่างคุ้นชิน “แม่ฉันนัดกับเพื่อนสนิทสมัยมัธยมแล้วเอาฉันไปด้วยอะดิ” ฉันว่าอย่างเบื่อหน่ายพลางเดินตามเพื่อนรักที่กำลังเลือกดูเสื้อผ้าอย่างสนอกสนใจ มนเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเก่งต่างจากฉันที่ใส่เสื้อผ้าซ้ำไปซ้ำมา ส่วนวิที่เดินตามมาอยู่อีกฝั่งก็มองเสื้อผ้าที่เข้ากับสไตล์การแต่งตัวของตัวเองที่จะออกแนวสาวน้อยน่ารักตามแบบฉบับของเทวิกา “แม่นัดเจอเพื่อนแล้วเกี่ยวอะไรกับแกอะ” วิที่ยืนเงียบอยู่สักพักเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ก็เพื่อนแม่จะหอบลูกชายมาด้วยนี่สิ ฉันว่านะต้องนัดดูตัวแหง ๆ” เพื่อนทั้งสองของฉันหยุดชะงักตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็งก่อนจะหันมามองหน้ากันราวกับว่าโลกกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ฉันได้แต่มองเพื่อนสาวอย่างแปลกใจที่ทั้งสองนั้นดูอึ้งยิ่งกว่าฉันเสียอีกก่อนที่ทั้งสองจะรีบกรูกันเข้ามาหาฉันอย่างแตกตื่น “นี่แม่แกเขาดูออกขนาดนั้นเลยเหรอว่าแกจะขึ้นคาน” มนว่าเอ่ยแซวจนฉันต้องหรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างคาดโทษ “นี่ที่แกมาเลือกเสื้อผ้าเ

  • อคิราห์คนคลั่งรัก    ตอนที่ 2 ร่ม      

    วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ฉันต้องมานั่งอุดอู้เรียนอยู่ในคาบเลกเชอร์ที่แสนจะน่าเบื่อ เครื่องปรับอากาศทำความเย็นฉ่ำ ๆ ภายในห้องชวนให้ง่วงนอนจนตาปรือ “เป็นอะไรเนี่ย” วิสะกิดไหล่ฉันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มสัปหงกด้วยความงัวเงีย “ฉันหนาวอะ เลยง่วง” ฉันหาวฟอดใหญ่พลางยกมือขึ้นป้องปากแล้วฟุบใบหน้าลงบนโต๊ะเรียนเพราะไม่อาจจะทนความง่วงนอนที่เข้ามารุมเร้าเสียจนเปลือกตาหนักอึ้งไปหมด “อีกไม่กี่นาทีก็หมดเวลาแล้ว แกจะมาหลับตอนนี้ไม่ได้นะ” มนใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนของฉันให้เงยหน้าขึ้นมามองไปยังหน้าห้องที่ยังมีอาจารย์เปิดสไลด์พร้อมกับอธิบายโดยที่ฉันไม่ได้เข้าใจเนื้อหาหรือแม้แต่จะฟังมันอย่างตั้งใจด้วยซ้ำ ฉันได้แต่หรี่ตามองข้อความที่ขึ้นมาผ่านตาให้ผ่านพ้นไปในแต่ละนาทีอย่างใจจดใจจ่อแม้ในหัวจะโล่งจนเหมือนได้ยินเสียงลมพัดผ่านความว่างเปล่าก็ตามที จนเวลาล่วงเลยถึงตอนเลิกคลาส เพื่อน ๆ ในห้องต่างเริ่มทยอยเดินออกกันมาด้วยท่าทีที่เหมือนหมดแรงกันเป็นแถบ รวมถึงฉันด้วย ฉันและเพื่อนสาวอีกสองคนเดินออกมาจากห้องเรียนก็พบกับลมแรงที่พัดเข้าตีหน้าจนผมที่ปล่อยสยายของฉันปลิวไม่

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status