บุรุษหนุ่มในชุดสีดำยังคงยืนมองนางพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นราวกับกำลังจะพิจารณาบางอย่าง หลางเย่หลินรู้สึกว่าเขาออกจะ…ไร้มารยาทอยู่นิดหน่อย
“ข้า…จะทราบได้เช่นไรว่าพวกท่านคือคนที่อาจารย์ส่งมาคุ้มกันจริง ๆ”
“คุณหนูรอง ข้าช่วยเจ้ามาสองรอบแล้วตลอดทางลงเขา หากว่าครั้งนี้ไม่ใช่ข้าเกรงว่าเจ้าคงตายก่อนไปถึงสกุลหลางแล้ว แต่หากว่าเจ้าไม่เชื่อก็คงต้องกลับไปถามนางแล้วล่ะ ตอนนี้เจ้ามีทางเลือกสองทาง ให้ข้าอารักขาเจ้าหรือไม่ก็…รอเจ้าพวกที่ดักฆ่าเจ้าข้างหน้า เจ้ารู้ดีนี่ว่ามันไม่น่าจะหมดเท่านี้”
หลางเย่หลินหรี่ตามองบุรุษปากดีตรงหน้า ท่าทางองอาจมั่นใจนั่นทำให้นางรู้สึกขัดตายิ่งนักแม้ว่านางที่แทบจะไม่ค่อยได้พบผู้ใดเลยตลอดสี่ปีกว่าที่ผ่านมาแต่นึกไม่ถึงว่าเมื่อก้าวเท้าลงจากเขาก็เจอเรื่องวุ่นวายเช่นนี้
“แม้แต่ชื่อข้ายังไม่รู้จักท่านเลย”
“ข้า…อึก!!….เจ้า!!”
""คุณชาย!!""
เขาอ้าปากเพียงนิดเดียวก็ถูกนางดีดยาบางอย่างเข้าไปในปากทันทีพร้อมกับความตกใจขององครักษ์อีกสองคนที่จะพุ่งตัวเข้ามาแต่พวกเขาก็ถูกสาวใช้ทั้งสองของหลางเย่หลินกันเอาไว้เช่นกัน
“เจ้า…คุณหนูรองเจ้าเอาสิ่งใดให้ข้ากิน”
“ท่านองครักษ์ หากว่าท่านมิได้คิดร้ายกับข้าท่านก็ไม่ต้องกลัว ยานั่นเพียงแค่ทำให้ข้ามั่นใจในความภักดีของท่านเท่านั้น ข้าก็แค่ให้ท่านกินยา "เย่าหยุน" เข้าไป มันแค่จะบีบกระเพาะของท่านทุก ๆ สิบวัน ก่อนหน้านั้นหากท่านตั้งใจอารักขาข้าเป็นอย่างดี ทุก ๆ เจ็ดวันข้าจะให้ยาถอนพิษแก่ท่าน"
“เจ้า!!….นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะขี้ระแวงถึงเพียงนี้”
“ขออภัยด้วยแต่ข้าเองก็ต้องปกป้องตัวเอง หากว่าท่านมิได้คิดร้ายก็อย่าได้กังวลใจไป ยาถอนพิษข้าจะให้ท่านไม่ขาดแน่นอน…ชื่อของท่านคือ….”
“คุณหนูรอง คุณชายเสี่ยงชีวิตมาช่วยท่านแต่เหตุท่านจึง…”
เขายกมือห้ามองครักษ์ของเขาให้หยุดพูด เขาหันไปมองสตรีตรงหน้าที่แม้แต่จะเห็นเพียงดวงตาเขาก็พอจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่ถูกบดบังด้วยผ้าคลุมนั้นคงจะงดงามไม่น้อย มิเช่นนั้นจะมีคนปองร้ายนางถึงเพียงนี้หรือ
“ข้าโม่จางหยวน เจ้าเรียกข้าว่าจางหยวนก็ได้”
“คุณชาย….”
“ส่วนพวกเขาคือเป่ากงและกังลี่เป็นคนของข้าเช่นกัน หากเจ้ายังไม่มั่นใจจะให้พวกเขากินยาพิษของเจ้าพร้อมกับข้าก็ย่อมได้”
เขาหันไปสบตานาง เป็นอีกครั้งที่สายตานางเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ด้ นางเองก็บอกไม่ได้ว่ามันคือความรู้สึกใดแต่นางไม่ชอบเลยเมื่อถูกเขามองมาเช่นนี้ สายตาของเขาราวกับจะมองผ่านทะลุเข้าไปข้างในใจของนางได้
“ไม่ต้อง ท่านเป็นหัวหน้าพวกเขา ท่านกินแค่คนเดียวก็พอ คุณชายโม่เช่นนั้นจากนี้ชีวิตของข้าหลางเย่หลินก็ฝากเอาไว้กับพวกท่านแล้ว”
“ฝากชีวิตเอาไว้แต่กลับให้กินยาพิษ หึ เช่นนี้จะ…”
“พูดมาก คุณหนูข้าก็บอกแล้วว่าแค่ชั่วคราว ใช่ว่าจะวางยาให้ตายเสียเมื่อไหร่กัน”
“นี่เจ้า…”
“จี้ถง พอได้แล้วรีบไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
เป่ากงและจี้ถงยังคงเถียงกันไม่หยุดเมื่อหลางเย่หลินสั่งให้ทุกคนเดินทางต่อ ระยะทางคงอีกราวๆ สองวันกว่านางจะเดินทางไปถึงเมืองหลวงคืนนี้พวกนางคงต้องหาที่พักก่อน
องครักษ์ “โม่จางหยวน” มานั่งกับนางในรถม้าสลับเปิดดูตามทาง แม้ว่าจะพึ่งพบกันแต่การที่มีพวกเขาทั้งสามคนร่วมเดินทางก็ทำให้หลางเย่หลินรู้สึกคลายกังวลลงไปได้บ้าง
“คุณหนูรอง เจ้ากับน้องสาวเจ้า…มีเรื่องบาดหมางกันมากเลยงั้นหรือ”
“ข้าต้องตอบคำถามนี้ด้วยงั้นหรือ”
“ด้วยฐานะของท่านจะไม่ตอบข้าก็ย่อมได้แต่ข้าเป็นองครักษ์ประจำตัวเจ้า ข้าเองก็ต้องรู้ว่าผู้ที่เข้ามาหาเจ้าผู้ใดเป็นมิตร ผู้ใดเป็นศัตรู อย่าลืมสิ หากพวกมันมิได้ถือดาบหรืออาวุธพุ่งมาทำร้ายเจ้า ข้าก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าผู้ใดเป็นมิตรแท้หรือศัตรูคู่อาฆาตของเจ้า”
“หลางเสี่ยวหง นางเป็นบุตรคนเล็กของสกุลหลางเกิดจากฮูหยินเสนาบดีหลางในตอนนี้”
“ในตอนนี้งั้นหรือ นั่นแสดงว่าเจ้า….”
“ข้าเป็นบุตรคนรองสกุลหลาง เกิดจากภรรยาคนแรกของเสนาบดีหลาง เดิมทีเรามิได้เกี่ยวข้องกัน นับตั้งแต่ที่แม่ข้าตายข้ากับพี่ใหญ่ก็ตัดขาดกับพวกเขา”
“แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องเรียกตัวเจ้ากลับไปที่ต้าเซี่ย”
“คงเพราะงานเลือกคู่สมรสของเหล่าบรรดาองค์ชายกระมัง รายละเอียดข้ามิอาจทราบได้คงต้องรอจนถึงเมืองหลวงถึงจะทราบ”
“แต่ว่าเสนาบดีหลางก็มีบุตรสาวอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องเรียกตัวเจ้ากลับไปด้วยเล่า”
“นั่นเพราะหลางเสี่ยวหงมิใช่บุตรสาวคนโตของสกุลหลางและเรื่องที่เขามีบุตรสาวคนรองเช่นข้าอยู่ก็เป็นเรื่องที่ทั้งราชสำนักทราบ หากว่าข้ามิได้เข้าพิธีเลือกคู่ด้วยนางก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมเช่นกัน”
“เพราะเรื่องนี้ นางก็เลย…สั่งคนมาจัดการเจ้าแต่เพื่ออะไรกันเล่า”
“นางคงอยากเป็นชายาองค์รัชทายาทกระมัง นางคงเกรงว่าข้าจะไปต้องตาเจ้าองค์ชายกระหายเลือดผู้นั้นกระมัง”
คำพูดนางทำเอาเขาขมวดคิ้วอย่างนึกสนใจกึ่งข้องใจกับสิ่งที่นางพูดถึงผู้ที่นางไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้า
“องค์ชาย…กระหายเลือดงั้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงได้วิจารณ์ผู้ที่เป็นถึงองค์รัชทายาทเช่นนั้นล่ะ”
“แม้ว่าชื่อเสียงองค์รัชทายาทจะเลื่องลือมาไกลถึงเขาฉีซาง บ้างก็ว่าเขาทั้งรูปงามและเก่งกาจมีความสามารถรอบด้าน การศึกษาไม่เคยแพ้การเจรจาก็เป็นเลิศ บางคนก็เล่าว่าองค์ชายผู้นี้เป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง” (ทำตัวลึกลับไม่ชอบเปิดเผย)
“นั่นสิ ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นนั้นมาโดยตลอด ว่าแต่เจ้าล่ะคิดเช่นไร”
“ข้าคิดว่าเขา…ช่างไร้ความคิดยิ่งนักที่ยอมทำเรื่องเช่นนี้”
“หืม…น่าสนใจดีนี่ เหตุใดเจ้าจึงได้คิดเช่นนั้น”
“หากว่าชื่อเสียงที่เลื่องลือนั้นเป็นเรื่องจริง เหตุใดเพียงแค่เลือกคู่สมรสยังต้องให้ผู้อื่นคอยจัดการให้ เขาเป็นถึงผู้ที่จะครองบัลลังก์มังกรคนถัดไปแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังจัดการไม่ได้ นั่นก็นับว่าแย่เกินไป”
“เจ้าพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกนะเรื่องของราชวงศ์มันมีมากกว่าเรื่องของความรู้สึก มีทั้งเรื่องการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น อำนาจและการปกครองผู้คนมากมาย มีหลากหลายฝ่ายที่จะต้องดูแลและคอยงัดและคานอำนาจกัน”
“นี่ท่านองครักษ์ ท่านคงเป็นองครักษ์มานานสินะจึงได้สนใจเรื่องเหล่านี้”
“ไม่แปลกที่ข้าจะรู้เรื่องเหล่านี้ ข้าทำงานกับเหล่าขุนนางพวกนี้มามากก็เลยรับรู้ไปด้วย แต่เหตุใดดูเจ้าไม่ค่อยพอใจนักล่ะเจ้าไม่ได้อยากเป็นชายาองค์ชายหรอกหรือ”
“ไม่"
“แล้วเจ้าจะไปที่เมืองหลวงนั่นทำไมกันให้ยุ่งยาก”
“ข้าแค่ต้องการอิสระ การที่ข้ามาเมืองหลวงในครั้งนี้เพราะต้องการทำเรื่องบางอย่างให้เสร็จสิ้น”
“เรื่องอะไรงั้นหรือ”
“นั่นมันเป็นธุระของข้า”
“อ้อ…ข้าลืมไปต้องขออภัยที่ถามเรื่องส่วนตัว เอาล่ะเราจะถึงที่พักแล้ว ข้าจะให้คนไปจองห้องให้พวกเจ้า”
การเดินทางกับองครักษ์แปลกหน้าผู้นี้ก็มิได้น่ากลัวมากอย่างที่เย่หลินคิดเอาไว้ เขาดูไว้ใจมากกว่ามีคนขับรถม้าเพียงคนเดียวที่สกุลหลางส่งมารับเสียอีก นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะส่งเพียงแค่รถม้าหนึ่งคันพร้อมคนขับเพียงสองคนมารับนาง ซึ่งทั้งคู่ก็ถูกฆ่าตายระหว่างทางกลับหมดแล้วเช่นกัน ไม่นานเมื่อพวกนางเข้ามาในโรงเตี๊ยม โม่จางหยวนก็เดินมาหานาง
“ข้าจะพาเจ้าไปที่ห้องพัก”
“เหตุใดท่านเป็นคนพาไป แล้วพวกนางเล่า”
“พวกนางพักอีกห้องหนึ่ง คืนนี้ข้าต้องเฝ้าอารักขาเจ้าด้วยตัวเอง เราต้องพักห้องเดียวกัน”
“ว่าอย่างไรนะ!!”
สิบสองปีผ่านไป / วังหลวง“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”กังลี่เที่ยวมองหาองค์ชายใหญ่ที่กำลังฝึกวิชาอยู่ในสวนแต่จู่ ๆ ก็หายไปจากสายตาของเขาหลังจากที่เขาถูกฝ่าบาทเรียกไปเพื่อสั่งงานบางอย่างก่อนที่พระองค์จะเสด็จเข้าไปที่ท้องพระโรงเพื่อประชุมราชสำนัก“ข้าอยู่นี่อาจารย์กังลี่”“องค์ชายเซียวหยาง ลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาทกำลังประชุมราชสำนักเช้าอยู่ หากว่าพบพระองค์อยู่ตรงนี้จะถูกลงโทษนะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าพึ่งถูกเสด็จแม่ไล่ออกมาจากตำหนักเพราะว่านางกำลังจะให้นมน้องของข้า มาปีนต้นไม้ก็ถูกท่านพบเข้าอีก เฮ้อ ชีวิตองค์ชายในวังนี่แสนลำบาก หรือว่าข้าควรจะขอเสด็จพ่อไปฝึกที่กองทัพบูรพาของท่านลุงเจิ้งหลิงดีเล่ากังลี่”“ลงมาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”“เป่ากง!!”“รีบลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีบางอย่างให้ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”“สิ่งใดงั้นหรือ หากว่าเป็นหนังสือวิชายุทธ์เช่นวันเก่าข้าไม่เอาแล้วเพราะข้าอ่านหมดแล้ว”“หน้ากากที่พระององค์สั่งให้กระหม่อมไปทำให้เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ว่าอย่างไรนะ จริงหรือเป่ากงเสร็จแล้วงั้นหรือแล้วทำไมไม่รีบบอกเล่า”“จ้าวเซียวหยาง” องค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นพระโอรสของฮ่องเต้จ้าวซางหยวนและฮองเฮาเซี
“หา!! เจ้าว่าอย่างไรนะ แล้วทำไมไม่รีบบอกเล่า แล้วเหตุใดจึงเอาไปวางไว้ที่เดียวกับยาทาแผล”“โม่จางหยวน!! นี่ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่ามิได้จงใจจะฆ่าหม่อมฉัน”“เย่หลินข้าเปล่านะ ข้าก็แค่….”“ออกไปเลย แล้วไปเรียกหย่าหลีมาให้หม่อมฉัน!!”เรือนใหญ่“เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้”“ดังนั้นในตอนนี้….”องค์รัชทายาทนั่งที่โต๊ะพร้อมกับเซี่ยเจิ้งหลิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพื่อฟังเรื่องที่พระองค์เล่าให้ฟัง เซี่ยเย่หลินไล่องค์ชายออกมาเพราะว่าเขาทำนางบาดเจ็บและหยิบขวดยามาผิดนางจึงโกรธและไล่เขาออกมาจากห้อง“ตอนนี้…”“สาวใช้ของนางกำลังทำแผลให้นางอยู่ข้างใน เจ้าช่วยข้าหน่อยสิเจิ้งหลิง”“เฮ้อ องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ไม่ได้ต่างจากพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ หากว่าหลินเอ๋อร์โกรธเข้าล่ะก็…”“แต่เจ้าเป็นพี่ชายนางนะ”“พระองค์เป็นถึงพระสวามียังถูกไล่ออกมาจากห้องเลยนะพ่ะย่ะค่ะ คิดว่านางจะ…”“เจ้าไปลองดูหน่อย ไปสิ เร็ว ๆ เข้า”“เอ่อ….องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่ามีวิธีที่ดีกว่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้พระองค์ควรจะ….”เซี่ยเจิ้งหลิงกระซิบบางอย่างกับองค์ชาย โม่จางหยวนเริ่มยิ้มออกมาและพยักหน้าอย่างรู้ทัน เขาหันมามองหน
เมืองหลวงหลังจากพิธีอภิเษกที่กองทัพบูรพาผ่านไปสิบวันองค์รัชทายาทก็ได้เสด็จกลับเมืองหลวงพร้อมกับพระชายาเซี่ยหลิงเย่ ขบวนนำเสด็จถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติเพราะในครั้งนี้กองทัพบูรพาที่ยิ่งใหญ่ของรองแม่ทัพเซี่ยเจิ้งหลิงจัดขบวนทัพเข้าเมืองหลวงด้วยตัวเอง เมื่อขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทเข้าสู่ประตูเมืองหลวงก็ได้รับการต้อนรับอย่างคับคั่งจากชาวบ้านในเมืองหลวงที่ทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว“ตื่นเต้นเหรอเย่หลิน”“คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาอีกครั้งเพคะ หม่อมฉัน…”“ถึงอย่างไรเจ้าก็หนีวังหลวงไม่พ้นแล้วล่ะพระชายา ทางที่ดีทำใจและยอมรับเสียเถอะ”“หม่อมฉันขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงประทานแซ่เซี่ยให้หม่อมฉันและพี่ใหญ่เพคะ”“นั่นเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อทรงประทานให้แม่ทัพเซี่ยผู้เฒ่ามิใช่ข้า สิ่งที่ข้าจะมอบให้เจิ้งหลิงกับเจ้าน่ะ คือสิ่งนั้นต่างหากเล่า”องค์รัชทายาทเปิดหน้าต่างรถม้าเพื่อให้นางเห็นบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า จวนหลังใหญ่ที่ประดับตกแต่งแล้ว ประตูจวนนั้นเขียนด้วยป้ายพระราชทาน “ความดีงามคงอยู่ตลอดกาล” “ที่นี่คือ….."จวนสกุลเซี่ย" พระองค์…"“แน่นอนว่าจะต้องมีจวนเพื่อสกุลเซี่ยที่ทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมืองสิใช่หรือไม่
เจ้าสาวหันไปมองแม่สื่อที่กระซิบบางอย่างกับนาง ไม่นานมือของนางก็โผล่ออกมาจากม่านสีแดงเพื่อเป็นการยืนยันว่านางคือเจ้าสาวที่แท้จริง เสียงโห่ร้องกึกก้องด้วยความยินดีที่องค์รัชทายาทสามารถเลือกเจ้าสาวถูกต้องได้ตั้งแต่ด่านแรกซึ่งมีน้อยคนนักที่จะทำได้ แม่สื่อดึงม่านแดงออก เจ้าสาวอีกสองคนที่เหลือคือสาวใช้ของนางทั้งสองคนนั่นเอง พวกนางเดินไปหาเป่ากงและกังลี่พร้อม ๆ กัน“ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พิธีการซ่อนเจ้าสาวผ่านพ้นไปแล้ว จากนี้จะเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินพ่ะย่ะค่ะ”ท่านแม่ทัพได้รับเกียรติให้เป็นผู้เอ่ยนำพิธีมหามงคลนี้ เมื่อพวกเจาจุดธูปแดงมงคลเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และจึงได้เดินเหยียบพรมแดงที่มีเด็ก ๆ โปรยดอกไม้สีแดงไปตลอดทางจนถึงบริเวณหน้าพิธีเพื่อทำการกราบไหว้ฟ้าดิน“คำนับที่หนึ่ง คำนับฟ้าและดิน”บ่าวสาวค่อย ๆ ทำการคำนับและค่อย ๆ ลุกขึ้นมาองค์รัชทายาทหันไปพยุงเย่หลินให้นางลุกขึ้นมา“คำนับที่สอง คำนับบุพการีและผู้ให้กำเนิด”“คำนับที่สาม บ่าวสาวคำนับซึ่งกันและกัน”เมื่อพวกเขาคำนับเสร็จแล้ว หย่าหลีจึงนำไม้หอมผูกดอกไม้มงคลมามอบให้องค์ชายเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาว“องค์รัชทายาท เปิดหน้าเจ้าสาวไ
“แต่นั่น…จะไม่เป็นการหักหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรอกหรือเพคะ”“บัลลังก์เป็นของข้า ใต้หล้านี้ข้าก็เป็นผู้ดูแล เหตุใดต้องอาศัยอำนาจของพวกขุนนางละโมบที่คอยจดจ้องส่งบุตรสาวเข้ามาในวังหลังให้วุ่นวายด้วย ขอเพียงมีเจ้าที่อยู่ร่วมเคียงเป็นหงส์คู่มังกร ข้าไม่ต้องการผู้อื่นอีก”นางหลับไปพร้อมกับคำมั่นนั้นของเขา แม้จะดีใจที่องค์ชายตรัสออกมาด้วยพระองค์เองแต่เส้นทางของนางยังไม่ได้เริ่มต้น ยังคงต้องดูอีกนานหลังจากที่พวกเขาเริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองวันถัดมาค่ายบูรพากลายเป็นสีแดงมงคลที่ถูกประดับไปด้วยผ้ามงคลสีแดงซึ่งเหล่าทหารและชาวบ้านในละแวกนั้นล้วนอยากจะมีส่วนร่วมในพิธีการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เพราะนาน ๆ ทีจะมีงานมงคล นั่นหมายถึงการที่จะได้ล้มวัวและสัตว์ใหญ่ที่หาในป่ามาเพื่อร่วมฉลองทั้งวันทั้งคืน“ตื่นเต้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยากเห็นเจ้าสาวของข้าแล้ว”“ขอทรงโปรดพระทัยเย็นพ่ะย่ะค่ะ ทางชายแดนแห่งนี้มีกฎอยู่อย่างหนึ่งคือพิธีซ่อนเจ้าสาว”“อะไรนะ เดี๋ยวก่อนเจิ้งหลิงเจ้าไม่ได้บอกข้าก่อนเลยนะว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วยน่ะ”“องค์รัชทายาทโปรดอภัย หากว่ากระหม่อมแจ้งเรื่องนี้กับพระองค์ก่อน เกรงว่าพระองค์กับหลินเอ๋อร์
“ท่านว่าอย่างไรนะ แต่งงานงั้นหรือ”“ใช่ ข้าไม่อยากรอพิธีการวุ่นวายในราชสำนัก ถึงอย่างไรข้าก็ใจร้อนอยากให้เจ้าเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับข้า ตั้งแต่เจ้าหนีมาเจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าไม่ต่างกับคนที่ตายไปแล้ว หากครั้งนี้เสียเจ้าไปอีก ข้าคงไม่อยากมีชีวิต….”นางเอานิ้วมือปิดปากเขาเอาไว้ ก่อนหน้านี้นางโกรธเขามากจริง ๆ แต่เมื่อได้รับรู้สิ่งที่เขาพบเจอตลอดทางที่เดินทางมาหานางจากปากของสองสาวใช้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากองครักษ์ของเขาทั้งสองคนบอกกล่าวถึงความลำบากที่เขาพบมานางก็เริ่มใจอ่อน อีกทั้งเขาตามตื๊อนางอยู่เกือบร่วมเดือนในค่ายนี้โดยไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์ขององค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย นี่คือสิ่งที่ทำให้นางยอมยกโทษให้เขา“หากท่านยังพูดอีก ข้าจะไม่แต่งกับท่าน”“เย่หลิน ที่นี่มีพี่ชายของเจ้าอยู่ อย่างน้อยข้าควรให้เกียรติเขาในฐานะญาติผู้ใหญ่ ข้าจึงได้ไปปรึกษาเขาเรื่องจัดงานแต่ง..ในอีกสองวันข้างหน้า”“สะ…สองวันงั้นหรือ เช่นนี้จะเตรียมตัวกันทันหรือเจ้าคะ”เขาดึงนางเข้ามากอดเอาไว้แน่นพร้อมกับก้มลงไปหอมที่หน้าผากของนางอีกที“ขอเพียงมีแค่เจ้ากับข้าในพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและส่งตัวเข้าหอ เพียงเท่านี้ก็นับว่าครบพิ