“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น ไปถึงก็รู้เองรีบไปเถอะ พวกเจ้าคอยดูต้นทางและความปลอดภัยของทุกคนให้ดี”
“ขอรับคุณชาย”
ห้องพักที่พวกเขาจองทั้งหมดสามห้อง ซึ่งห้องของนางและโม่จางหยวนเป็นห้องที่อยู่ตรงกลางและเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดซึ่งมีห้องแยกสองห้องนางจึงเข้าใจที่เขาพูด ด้านซ้ายเป็นห้องขององครักษ์ของเขาส่วนทางขวาสุดริมทางเดินเป็นของสาวใช้ทั้งสองของนาง
“ท่าน…ไม่นอนหรือ เหตุใดไปนั่งอยู่ที่นั่น”
“คุณหนูรอง เจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นองครักษ์ของเจ้า แน่นอนว่าต้องคอยอารักขาเจ้าแม้แต่ยามที่เจ้าหลับ”
“ต้องทำเช่นนั้นเลยหรือ”
“เจ้านอนพักเถอะ ข้าชินแล้ว”
แต่ผู้ใดจะหลับลงได้เมื่อมีคนอื่นอยู่ร่วมห้องด้วยเช่นนี้ หลางเย่หลินลอบมององครักษ์หนุ่มที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง สายตาเขามองออกไปด้านนอก แต่ใบหน้าที่ต้องแสงจันทร์นั้นทำเอาหัวใจของหลางเย่หลินสั่นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้หันมามองนางเลยก็ตาม
“เจ้านอนไม่หลับหรือคุณหนูรอง”
“ข้า…ไม่ชินกับ…การลงมาจากเขา ที่นั่นมิได้เสียงดังเช่นนี้”
“เจ้ามาดูตรงนี้สิ”
เขาหันมาเรียกนาง อีกอย่างคงเพราะผ้าที่นางใช้คลุมนั้นด้วย เวลานางนอนก็ยังไม่คิดจะถอด เช่นนี้จะหายใจสะดวกได้อย่างไรกัน เมื่อนางเดินมาที่หน้าต่าง ด้านล่างนั้นยังไม่ดึกมาก ผู้คนยังเดินไปมาอยู่เยอะพอสมควรจนนางรู้สึกว่าเมืองเล็ก ๆ ย่านชานเมืองก็มีคนพลุกพล่านเช่นกัน
“คนเยอะมากเลย พวกเขาไม่หลับไม่นอนกันเลยหรือ”
“ที่นี่เป็นแถบชานเมือง ในเวลาเช่นนี้ ผู้ที่ค้าขายก็พึ่งจะปิดร้าน เมื่อปิดร้านก็จะเริ่มหาอะไรกิน ส่วนผู้ที่ขายอาหารช่วงค่ำก็พึ่งจะเริ่มตั้งร้านและทำงาน พวกเขาเป็นเช่นนี้ทั้งวัน ทั้งคืน ผลัดกันตื่นผลัดกันหลับเป็นเรื่องปกติของคนแถบชานเมือง”
“ดูท่านรู้ดีเรื่องวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่เสียจริง”
“ข้าไปมาทั่วใต้หล้า งานองครักษ์ก็เป็นเพียงงานรับจ้างงานหนึ่งเท่านั้น ทำไม เจ้านึกสนใจอยากท่องเที่ยวไปทั่วหล้าเช่นกันงั้นหรือ”
“ข้า….ไม่เคยลงจากเขาฉีซางมานานแล้วนับตั้งแต่ท่านแม่เสีย”
เขาหันมามองนางอีกครั้ง สายตาของนางอ่อนโยนลงแล้วหลังจากผ่านไปเกือบวัน อย่างน้อยเขาก็รับรู้อารมณ์ของนางได้ผ่านสายตา
“คุณหนูรอง เหตุใดเจ้าเอาแต่สวมผ้าคลุมหน้าเช่นนั้น นี่อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เจ้านอนไม่หลับเพราะหายใจไม่สะดวก”
“ข้า….”
“เชื่อข้าเถอะ ข้าเป็นองครักษ์ของเจ้า ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายหรอก”
“ข้าเกรงว่าท่านจะตกใจ”
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ข้าไม่มองก็ได้หากเจ้าไม่วางใจ ข้าไปนอนล่ะ”
“ไหนท่านบอกว่า…”
“หากว่าข้ายังนั่งอยู่เช่นนี้ทั้งคืนเจ้าก็คงจะนอนไม่หลับ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่าจะเป็นฝีเท้าหนูตัวเล็กหรือตีนแมวย่องเบาข้าก็รู้ก่อนเจ้าอยู่แล้ว รีบไปนอนเถอะพรุ่งนี้เราจะเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว”
เขาเดินไปยังห้องที่มีม่านกั้นเอาไว้อีกทางหนึ่ง เย่หลินเห็นว่าเขาเดินเข้าไปนอนแล้วนางจึงเดินกลับไปที่เตียงและตัดสินใจดึงเชือกผูกผ้าคลุมหน้าออกมาและส่องดูที่กระจก ที่แก้มของนางมีรอยแผลยาวอยู่ทั้งสองข้าง นางลูบขึ้นลงและใช้บางอย่างบนโต๊ะทาลงไปที่แผลนูนบนแก้มนั้นอีกครั้งก่อนจะเข้านอน
ดึกคืนนั้น
โม่จางหยวนมิได้หลับสนิท เขาลุกเดินออกไปด้านล่างหลังจากที่นางหลับสนิทแล้ว เมื่อลงไปสำรวจดูนักฆ่าที่ถูกส่งมากำจัดนางยังคงตามพวกเขาออกมาและกังลี่เป็นคนที่จับพวกมันที่เหลือได้
“พวกมันตามเรามาตั้งแต่ก่อนเข้าเมืองแล้วขอรับ”
“เป็นคนของใคร”
“……”
“ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมสตรีผู้นี้ถึงได้บังคับให้ข้ากินยาพิษนั่น จัดการให้เสร็จและรีบกลับ”
“ขอรับ”
เมื่อกลับมานางก็หลับสนิทไปแล้ว โม่จางหยวนไม่ได้อยากนึกอย่ากล่วงเกินนางแต่เขาเพียงใคร่อยากจะเห็นใบหน้าที่ไร้การปกปิดนั้นเสียหน่อย หากว่าเกิดพลัดหลงกับนาง อย่างน้อยก็จะได้จำนางได้
เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้นางยามหลับก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าที่ใบหน้าของนางมีรอยแผลขนาดใหญ่และยาวพาดอยู่ที่แก้มทั้งสองข้าง ใบหน้านั้นงดงามแต่มีรอยแผลซึ่งดูเหมือนจะเป็นแผลที่พึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เขารีบถอยออกมาและกลับไปที่เตียงของตนเองพลันนึกถึงเรื่องในวันนี้ เขาลงเขามาพบว่าคนร้ายถูกนางกำจัดด้วยพิษ แม่ชีอี้ซินบอกเขาแล้วว่าพวกนางมีวรยุทธ์แต่เท่าที่เขาเห็นนางน่าจะใช้ยาพิษมากกว่า เขาเร่งตามพวกนางมา โชคดีที่มาเร็วจนกำจัดคนร้ายไปได้อีกชุดหนึ่ง นึกไม่ถึงว่านางแค่คนเดียวจะมีคนปองร้ายมากขนาดนี้
“แค่ตำแหน่งพระชายารัชทายาท ถึงกับต้องฆ่าและทำร้ายกันถึงเพียงนี้ ช่างน่าสมเพชบุตรขุนนางพวกนี้จริง ๆ”
วันถัดมา
พวกเขาเดินทางเข้าเมืองหลวงตามกำหนดเวลาที่ช้าไปกว่าที่จะเป็นหนึ่งวันเต็ม ๆ เมื่อเห็นประตูเมือง โม่จางหยวนก็กระโดดลงจากรถม้า
“เอาล่ะ เราจะแยกกันตรงนี้ ข้าจะไม่นั่งรถไปกับเจ้าแต่จะตามไปเงียบ ๆ ไม่ต้องห่วง ข้าจะให้เป่ากงเป็นคนไปส่งเจ้าถึงจวนสกุลหลาง เจ้าเพียงแค่บอกว่าเขาเป็นคนขับรถม้ารับจ้างก็พอ”
“เข้าใจแล้ว ว่าแต่ข้าจะ…”
เขาโยนนกหวีดหยกมาให้นางรับเอาไว้
“นกหวีดหงส์หยกสีขาวงั้นหรือ”
“ใช้เรียกข้า แต่ไม่ต้องห่วงเพราะข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดเวลาแม้เจ้าจะไม่เห็นตัวข้าก็ตาม หากอยู่ในอันตรายก็จงเป่ามันข้าจะรีบไปทันที”
“เข้าใจแล้ว”
“เป่ากง ฝากด้วย”
“ขอรับคุณชาย”
รถม้าวิ่งเข้าเมืองไปแล้ว กังลี่จึงหันมามองเขาเพื่อรับคำสั่งต่อไป
“พวกคนร้ายที่จับได้เจ้าเอาพวกมันส่งกลับมาแล้วใช่หรือไม่”
“ทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ส่งพวกมันไปที่สกุลหลาง ต้องส่งไปหลังจากที่แน่ใจแล้วว่านางเข้าจวนไปแล้ว ข้าอยากจะรู้นักว่าจะมีผู้ใดกล้ายอมรับเรื่องแผนการสกปรกนี่ได้”
“คุณชาย แล้วท่าน…”
“ข้าต้องไปจัดการบางอย่างเจ้ารีบไปที่ศาลและจัดการเรื่องที่เหลือก่อนที่เป่ากงจะไปถึงสกุลหลาง”
“รับทราบ”
โรงเตี๊ยมใหญ่ในเมืองหลวง / ห้องส่วนตัว
“พิราบโบยบิน”
“ให้เข้ามาได้”
โม่จางหยวนเปลี่ยนสวมชุดที่เตรียมเอาไว้ก่อนจะขึ้นมาและสวมหน้ากากสีดำเอาไว้เช่นเดิมและเดินเข้าไปพบสตรีสูงวัยในห้องนั้น แม้ว่าจะมีฉากกั้นระหว่างเขากับนางก็ตาม
“จัดการเรียบร้อยหรือไม่”
“ฮูหยิน พวกเราทำงานพลาด นางรอดมาได้”
“กึก!!”
“ว่าอย่างไรนะ พลาดงั้นหรือ แล้วพวกเจ้าถูกจับได้หรือไม่”
“พวกของข้าตายหมดแล้วเหลือรอดเพียงข้าคนเดียว”
“เหตุผลล่ะ ที่ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“ฮูหยิน ตอนที่พวกข้าลงมือ พบกับนักฆ่าอีกชุดหนึ่งที่ส่งมาเช่นกัน แต่ละคนต่างไม่ทราบว่ามาทำสิ่งใดก็เลย…ลงมือฆ่ากันเอง”
“เหลวไหลยิ่งนัก!! นี่มัน…เรื่องอะไรกัน”
เสียงที่โมโหขึ้นสุดขีดพร้อมกับปัดของบนโต๊ะแตก น่าจะเป็นชุดชาที่เหลือ โม่จางหยวนคิดว่านางคงเริ่มใกล้จะสติแตกแล้วหากว่าได้ยินคำที่เหลือ
“ยังมี…คนที่ต้องการฆ่านางนอกจากข้าอีกงั้นหรือ บ้าจริงหากรู้เช่นนี้คงไม่ต้องเสียเวลา”
“ฮูหยิน ฝ่ายข้าน้อยจับพวกมันได้สองคนเพื่อมาถาม”
“มันเป็นคนของผู้ใดกัน”
โม่จางหยวนแสยะยิ้มออกนิดหนึ่งก่อนที่จะตอบนางกลับไปด้วยเสียงเรียบ ๆ
“คุณหนูสามสกุลหลาง…หลางเสี่ยวหง”
สิบสองปีผ่านไป / วังหลวง“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”กังลี่เที่ยวมองหาองค์ชายใหญ่ที่กำลังฝึกวิชาอยู่ในสวนแต่จู่ ๆ ก็หายไปจากสายตาของเขาหลังจากที่เขาถูกฝ่าบาทเรียกไปเพื่อสั่งงานบางอย่างก่อนที่พระองค์จะเสด็จเข้าไปที่ท้องพระโรงเพื่อประชุมราชสำนัก“ข้าอยู่นี่อาจารย์กังลี่”“องค์ชายเซียวหยาง ลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาทกำลังประชุมราชสำนักเช้าอยู่ หากว่าพบพระองค์อยู่ตรงนี้จะถูกลงโทษนะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าพึ่งถูกเสด็จแม่ไล่ออกมาจากตำหนักเพราะว่านางกำลังจะให้นมน้องของข้า มาปีนต้นไม้ก็ถูกท่านพบเข้าอีก เฮ้อ ชีวิตองค์ชายในวังนี่แสนลำบาก หรือว่าข้าควรจะขอเสด็จพ่อไปฝึกที่กองทัพบูรพาของท่านลุงเจิ้งหลิงดีเล่ากังลี่”“ลงมาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”“เป่ากง!!”“รีบลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีบางอย่างให้ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”“สิ่งใดงั้นหรือ หากว่าเป็นหนังสือวิชายุทธ์เช่นวันเก่าข้าไม่เอาแล้วเพราะข้าอ่านหมดแล้ว”“หน้ากากที่พระององค์สั่งให้กระหม่อมไปทำให้เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ว่าอย่างไรนะ จริงหรือเป่ากงเสร็จแล้วงั้นหรือแล้วทำไมไม่รีบบอกเล่า”“จ้าวเซียวหยาง” องค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นพระโอรสของฮ่องเต้จ้าวซางหยวนและฮองเฮาเซี
“หา!! เจ้าว่าอย่างไรนะ แล้วทำไมไม่รีบบอกเล่า แล้วเหตุใดจึงเอาไปวางไว้ที่เดียวกับยาทาแผล”“โม่จางหยวน!! นี่ท่านแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ว่ามิได้จงใจจะฆ่าหม่อมฉัน”“เย่หลินข้าเปล่านะ ข้าก็แค่….”“ออกไปเลย แล้วไปเรียกหย่าหลีมาให้หม่อมฉัน!!”เรือนใหญ่“เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้”“ดังนั้นในตอนนี้….”องค์รัชทายาทนั่งที่โต๊ะพร้อมกับเซี่ยเจิ้งหลิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพื่อฟังเรื่องที่พระองค์เล่าให้ฟัง เซี่ยเย่หลินไล่องค์ชายออกมาเพราะว่าเขาทำนางบาดเจ็บและหยิบขวดยามาผิดนางจึงโกรธและไล่เขาออกมาจากห้อง“ตอนนี้…”“สาวใช้ของนางกำลังทำแผลให้นางอยู่ข้างใน เจ้าช่วยข้าหน่อยสิเจิ้งหลิง”“เฮ้อ องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ไม่ได้ต่างจากพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ หากว่าหลินเอ๋อร์โกรธเข้าล่ะก็…”“แต่เจ้าเป็นพี่ชายนางนะ”“พระองค์เป็นถึงพระสวามียังถูกไล่ออกมาจากห้องเลยนะพ่ะย่ะค่ะ คิดว่านางจะ…”“เจ้าไปลองดูหน่อย ไปสิ เร็ว ๆ เข้า”“เอ่อ….องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่ามีวิธีที่ดีกว่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้พระองค์ควรจะ….”เซี่ยเจิ้งหลิงกระซิบบางอย่างกับองค์ชาย โม่จางหยวนเริ่มยิ้มออกมาและพยักหน้าอย่างรู้ทัน เขาหันมามองหน
เมืองหลวงหลังจากพิธีอภิเษกที่กองทัพบูรพาผ่านไปสิบวันองค์รัชทายาทก็ได้เสด็จกลับเมืองหลวงพร้อมกับพระชายาเซี่ยหลิงเย่ ขบวนนำเสด็จถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติเพราะในครั้งนี้กองทัพบูรพาที่ยิ่งใหญ่ของรองแม่ทัพเซี่ยเจิ้งหลิงจัดขบวนทัพเข้าเมืองหลวงด้วยตัวเอง เมื่อขบวนรถม้าขององค์รัชทายาทเข้าสู่ประตูเมืองหลวงก็ได้รับการต้อนรับอย่างคับคั่งจากชาวบ้านในเมืองหลวงที่ทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว“ตื่นเต้นเหรอเย่หลิน”“คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับมาอีกครั้งเพคะ หม่อมฉัน…”“ถึงอย่างไรเจ้าก็หนีวังหลวงไม่พ้นแล้วล่ะพระชายา ทางที่ดีทำใจและยอมรับเสียเถอะ”“หม่อมฉันขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงประทานแซ่เซี่ยให้หม่อมฉันและพี่ใหญ่เพคะ”“นั่นเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อทรงประทานให้แม่ทัพเซี่ยผู้เฒ่ามิใช่ข้า สิ่งที่ข้าจะมอบให้เจิ้งหลิงกับเจ้าน่ะ คือสิ่งนั้นต่างหากเล่า”องค์รัชทายาทเปิดหน้าต่างรถม้าเพื่อให้นางเห็นบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า จวนหลังใหญ่ที่ประดับตกแต่งแล้ว ประตูจวนนั้นเขียนด้วยป้ายพระราชทาน “ความดีงามคงอยู่ตลอดกาล” “ที่นี่คือ….."จวนสกุลเซี่ย" พระองค์…"“แน่นอนว่าจะต้องมีจวนเพื่อสกุลเซี่ยที่ทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมืองสิใช่หรือไม่
เจ้าสาวหันไปมองแม่สื่อที่กระซิบบางอย่างกับนาง ไม่นานมือของนางก็โผล่ออกมาจากม่านสีแดงเพื่อเป็นการยืนยันว่านางคือเจ้าสาวที่แท้จริง เสียงโห่ร้องกึกก้องด้วยความยินดีที่องค์รัชทายาทสามารถเลือกเจ้าสาวถูกต้องได้ตั้งแต่ด่านแรกซึ่งมีน้อยคนนักที่จะทำได้ แม่สื่อดึงม่านแดงออก เจ้าสาวอีกสองคนที่เหลือคือสาวใช้ของนางทั้งสองคนนั่นเอง พวกนางเดินไปหาเป่ากงและกังลี่พร้อม ๆ กัน“ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พิธีการซ่อนเจ้าสาวผ่านพ้นไปแล้ว จากนี้จะเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินพ่ะย่ะค่ะ”ท่านแม่ทัพได้รับเกียรติให้เป็นผู้เอ่ยนำพิธีมหามงคลนี้ เมื่อพวกเจาจุดธูปแดงมงคลเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และจึงได้เดินเหยียบพรมแดงที่มีเด็ก ๆ โปรยดอกไม้สีแดงไปตลอดทางจนถึงบริเวณหน้าพิธีเพื่อทำการกราบไหว้ฟ้าดิน“คำนับที่หนึ่ง คำนับฟ้าและดิน”บ่าวสาวค่อย ๆ ทำการคำนับและค่อย ๆ ลุกขึ้นมาองค์รัชทายาทหันไปพยุงเย่หลินให้นางลุกขึ้นมา“คำนับที่สอง คำนับบุพการีและผู้ให้กำเนิด”“คำนับที่สาม บ่าวสาวคำนับซึ่งกันและกัน”เมื่อพวกเขาคำนับเสร็จแล้ว หย่าหลีจึงนำไม้หอมผูกดอกไม้มงคลมามอบให้องค์ชายเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาว“องค์รัชทายาท เปิดหน้าเจ้าสาวไ
“แต่นั่น…จะไม่เป็นการหักหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรอกหรือเพคะ”“บัลลังก์เป็นของข้า ใต้หล้านี้ข้าก็เป็นผู้ดูแล เหตุใดต้องอาศัยอำนาจของพวกขุนนางละโมบที่คอยจดจ้องส่งบุตรสาวเข้ามาในวังหลังให้วุ่นวายด้วย ขอเพียงมีเจ้าที่อยู่ร่วมเคียงเป็นหงส์คู่มังกร ข้าไม่ต้องการผู้อื่นอีก”นางหลับไปพร้อมกับคำมั่นนั้นของเขา แม้จะดีใจที่องค์ชายตรัสออกมาด้วยพระองค์เองแต่เส้นทางของนางยังไม่ได้เริ่มต้น ยังคงต้องดูอีกนานหลังจากที่พวกเขาเริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองวันถัดมาค่ายบูรพากลายเป็นสีแดงมงคลที่ถูกประดับไปด้วยผ้ามงคลสีแดงซึ่งเหล่าทหารและชาวบ้านในละแวกนั้นล้วนอยากจะมีส่วนร่วมในพิธีการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เพราะนาน ๆ ทีจะมีงานมงคล นั่นหมายถึงการที่จะได้ล้มวัวและสัตว์ใหญ่ที่หาในป่ามาเพื่อร่วมฉลองทั้งวันทั้งคืน“ตื่นเต้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยากเห็นเจ้าสาวของข้าแล้ว”“ขอทรงโปรดพระทัยเย็นพ่ะย่ะค่ะ ทางชายแดนแห่งนี้มีกฎอยู่อย่างหนึ่งคือพิธีซ่อนเจ้าสาว”“อะไรนะ เดี๋ยวก่อนเจิ้งหลิงเจ้าไม่ได้บอกข้าก่อนเลยนะว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วยน่ะ”“องค์รัชทายาทโปรดอภัย หากว่ากระหม่อมแจ้งเรื่องนี้กับพระองค์ก่อน เกรงว่าพระองค์กับหลินเอ๋อร์
“ท่านว่าอย่างไรนะ แต่งงานงั้นหรือ”“ใช่ ข้าไม่อยากรอพิธีการวุ่นวายในราชสำนัก ถึงอย่างไรข้าก็ใจร้อนอยากให้เจ้าเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับข้า ตั้งแต่เจ้าหนีมาเจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าไม่ต่างกับคนที่ตายไปแล้ว หากครั้งนี้เสียเจ้าไปอีก ข้าคงไม่อยากมีชีวิต….”นางเอานิ้วมือปิดปากเขาเอาไว้ ก่อนหน้านี้นางโกรธเขามากจริง ๆ แต่เมื่อได้รับรู้สิ่งที่เขาพบเจอตลอดทางที่เดินทางมาหานางจากปากของสองสาวใช้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากองครักษ์ของเขาทั้งสองคนบอกกล่าวถึงความลำบากที่เขาพบมานางก็เริ่มใจอ่อน อีกทั้งเขาตามตื๊อนางอยู่เกือบร่วมเดือนในค่ายนี้โดยไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์ขององค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย นี่คือสิ่งที่ทำให้นางยอมยกโทษให้เขา“หากท่านยังพูดอีก ข้าจะไม่แต่งกับท่าน”“เย่หลิน ที่นี่มีพี่ชายของเจ้าอยู่ อย่างน้อยข้าควรให้เกียรติเขาในฐานะญาติผู้ใหญ่ ข้าจึงได้ไปปรึกษาเขาเรื่องจัดงานแต่ง..ในอีกสองวันข้างหน้า”“สะ…สองวันงั้นหรือ เช่นนี้จะเตรียมตัวกันทันหรือเจ้าคะ”เขาดึงนางเข้ามากอดเอาไว้แน่นพร้อมกับก้มลงไปหอมที่หน้าผากของนางอีกที“ขอเพียงมีแค่เจ้ากับข้าในพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและส่งตัวเข้าหอ เพียงเท่านี้ก็นับว่าครบพิ