นั่งเถียงกับว่าที่แม่ผัวอยู่ดี ๆ 'พราวฝัน' ก็ทะลุมิติไปเป็น 'เจินซูเมิ่ง' สะใภ้ผู้ถูกข่มเหงจากแม่ผัวแห่งจวนสกุลโต้ว... จากกรุงเทพฯ สู่นครฉางอานทำไมถึงได้เกิดใหม่มาตบตีกับแม่ผัวไกลขนาดนี้เนี่ย!
View Moreบทที่ 1
ทวงถามความรับผิดชอบ
นางโก่งคออาเจียนไม่หยุดอีกทั้งยังมีอาการวิงเวียนชวนพะอืดพะอมจนใช้ชีวิตอย่างปกติไม่ได้มาสองวันแล้วจนมารดาของนางต้องยืนเท้าสะเอวมองอย่างพินิจพิเคราะห์ หากแต่ก็มิอยากคาดเดาไปมั่วซั่วให้บังเกิดเป็นเรื่องร้ายด้วยตนเอง
“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอเผิง” เสียงร้องถามของ ‘เจินเจียวหรง’ ฟังดูตื่นตระหนก
ชายสูงวัยเจ้าของหนวดเคราสีขาวมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยกับคำถามของอีกฝ่าย
“ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ ข้ากำลังร้อนใจ หวังว่านางจะไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้”
“เห็นทีจะเป็นดังความในใจเจ้าแล้วฮูหยิน”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หมอเฒ่า ‘เผิงหมิงหวัง’ กล่าวนางก็เบิกตากว้างอย่างร้อนรน
“เจ้าตั้งครรภ์เยี่ยงนั้นรึเมิ่งเอ๋อร์!”
แม้แต่เจ้าตัวอย่าง ‘เจินซูเมิ่ง’ ก็ยังไม่รู้ตัวเอง นางส่ายหน้าตอบกลับทุกคนด้วยหัวสมองกลวงโล่ง
“จะไม่รู้ได้เยี่ยงไร เจ้าไปหลับนอนกับใครมาบอกแม่มาเดี๋ยวนี้!”
“ข้า... ข้าไม่รู้เลยท่านแม่” หญิงสาวตอบพร้อมก้อนสะอื้นที่กำลังจุกแน่นกลางอก
“เหลวไหล! เจ้าถูกพรากเยื่อพรหมจรรย์ไปโดยไม่รู้ว่าเป็นใครได้เยี่ยงไรนังลูกไม่รักดี!” ฮูหยินสกุลเจินง้างมือขึ้นเตรียมตบตีบุตรสาวแต่ก็ถูกรั้งไว้ด้วยมือเรียวนุ่มของชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วย
“ใจเย็นก่อนเถิดท่านน้า ซูเมิ่งขวัญเสียใหญ่แล้ว”
หญิงสูงวัยกว่าหอบหายใจถี่พลางจ้องสบดวงตาอ่อนโยนของหนุ่มคราวหลานอย่าง ‘เผิงฟางหยวน’ เพื่อข่มอารมณ์โกรธเกรี้ยวของตัวเองก่อนจะสะบัดข้อมืออวบของตัวเองออกจากพันธนาการ
“ข้าจำได้ว่าวันลี่ชุน[1]เมื่อสองเดือนที่แล้วเห็นเจ้าออกมาจากโรงเตี๊ยมพร้อมกับคุณชายใหญ่สกุลโต้วใช่รึไม่” เสียงนุ่มทุ้มช่วยทบทวนและถามแทนให้อย่างใจเย็น
ซูเมิ่งคิดทบทวนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้
“ใช่...” หญิงสาวครางตอบ “เช้าวันนั้นหลังจากไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของอิ๋งลู่ข้าก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับมีร่างของเขานอนอยู่ข้าง ๆ” นางนึกช้า ๆ และเล่าด้วยเสียงเครือ “ข้ารับรู้เพียงว่าร่างกายของเราทั้งคู่เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ อีกทั้ง... ข้ายังมีเลือดออกมาจากบริเวณนั้นจนเลอะที่นอน”
“แต่เจ้าไม่รู้ว่านั่นคือการโดนชำเลางั้นรึ!” ผู้เป็นมารดาเริ่มกลับมาเดือดดาลอีกครา
“ข้าเพียงแต่คิดว่ามันคือ... ระดู”
ได้ฟังที่บุตรสาวกล่าวเจียวหรงก็ยกมือขึ้นกุมขมับ นางอยากจะอกแตกตายเสียตรงนี้แต่ก็ติดที่ยังตายไม่ได้ หนำซ้ำไม่คิดว่าลูกสาวที่เติบโตสะพรั่งเต็มวัยจวบจนอายุเข้าสิบแปดในปีนี้แล้วจะซื่อบื้อถึงเพียงนี้
“ไปกันเดี๋ยวนี้!” นางประกาศกร้าว
“ไปที่ใดเจ้าคะท่านแม่”
“ไปจวนสกุลโต้วน่ะสิ!”
“ข้าจะไปเพื่อเป็นพยานด้วยขอรับ” ฟางหยวนรีบอาสาตัวเอง
“ดี! ส่วนเจ้าก็ไปลากตัวแม่หนูสกุลเซี่ยเพื่อนตัวดีของเจ้ามาด้วย!” จัดแจงเรียบร้อยแล้วเจินฮูหยินก็ยกขบวนบุกไปยังแหล่งกบดานของคู่กรณีอย่างไม่รีรอ
“ข้างนอกประตูจวนมีเสียงเอะอะโวยวายอะไรกันรึ”
“ได้ยินว่าเป็นฮูหยินจากเรือนสกุลเจินมาพร้อมกับบุตรีและคณะเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้สูงวัยรูปร่างท้วมกล่าวตอบ
“นั่นมันเรือนของช่างไม้มิใช่รึ ใยจึงต้องมาก่อกวนจวนของเราด้วย” สีหน้าของ ‘หนิงอัน’ ฮูหยินสกุลโต้วฉายแววเป็นกังวล “พวกเขาต้องการพบผู้ใดกันแน่”
“ต้องการพบใต้เท้าและฮูหยินเจ้าค่ะ”
“พบข้างั้นหรือ...”
ได้ฟังคำตอบแล้วหญิงวัยห้าสิบปีจึงนึกชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะส่งสัญญาณให้เด็กรับใช้ในจวนเปิดประตูบานใหญ่ออกเพื่อยอมพบปะกับผู้รบกวนอย่างสงวนท่าทีโดยมีทหารคุ้มกันยืนอารักขาอยู่ด้านหลังถึงสี่นาย
ทันทีที่เป้าหมายปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเจินฮูหยินก็สงบลงทันทีหลังเป็นต้นเสียงแหกปากร้องเรียกหาความรับผิดชอบอยู่เกือบสองเค่อ[2]จนคอเริ่มเจ็บ
“ข้าคือฮูหยินสกุลโต้วยืนอยู่ตรงนี้แล้ว พวกเจ้ากล้าดีเยี่ยงไรถึงได้บังอาจมาก่อกวนจวนแม่ทัพโต้ว!” หนิงอันประกาศกร้าวเสียงกังวานเพื่อข่มขวัญ
แต่อีกฝ่ายหาได้ยำเกรงไม่ ยิ่งได้ฟังคำพูดเย่อหยิ่งถือตนข่มท่านเยี่ยงนั้นแล้วก็นึกหงุดหงิดซ้ำขึ้นไปอีก
“บังอาจหรือไม่ก็คงต้องให้กรมยุติธรรมตัดสินแล้วล่ะ!”
“เหตุใดจึงทำราวเรื่องใหญ่โต ทั้งที่ข้ากับเจ้ามิได้มีเรื่องรบกวนกันให้ขุ่นข้องหมองใจแม้สักนิด”
“ก่อนหน้านี้สิไม่เคยรู้จักมักจี่ แต่ครานี้เห็นทีจะวนเวียนรอบตัวกันไปชั่วชีวิต”
“อย่ามัวร่ำไร จงเร่งว่าธุระของพวกเจ้ามาเถิด”
“เพราะคุณชายใหญ่ผู้สูงศักดิ์แห่งจวนแม่ทัพสกุลโต้วดันประพฤติมิชอบขาดศีลธรรมและยังไร้คุณธรรมกระทำชำเลาสตรีผู้บริสุทธิ์ต้องตั้งครรภ์จนชีวิตมัวหมองโดยไม่รับผิดชอบ เริ่มมั่วโลกีย์ท้ายทอดทิ้งเสีย!”
ฟังจบประโยคโต้วฮูหยินก็หน้าถอดสี ยกมืออันสั่นเทาขึ้นป้องปากอย่างไม่เชื่อหูตัวเองโดยมีบ่าวรับใช้คนสนิทอย่าง ‘อันหยิน’ คอยประคองอยู่เคียงข้าง
“สามหาว! คิดจะปรักปรำใส่ร้ายป้ายสีลูกชายข้าเยี่ยงไรก็สามารถมายืนป่าวร้องตามอำเภอใจเช่นนี้ได้หรือ!”
“พวกเจ้าบังอาจเกินไปแล้ว! เป็นเพียงตระกูลพ่อค้าคิดจะใส่ความตระกูลขุนนาง รู้หรือไม่ว่าหัวของพวกเจ้าที่ยืนอยู่ตรงนี้ทั้งหมดก็ยังไม่เพียงพอในการรับโทษ!” บ่าวผู้ซื่อสัตย์รีบออกหน้าแทนนายอย่างเกรี้ยวกราด
รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องย้อนมาเยี่ยงนี้ ไม่มีทางที่พวกคนชั่วจะยอมรับความผิดง่าย ๆ เจินเจียวหรงรีบดันหลังพยานหมายเลขหนึ่งไปเบื้องหน้า
‘เซี่ยอิ๋งลู่’ ยืนละล้าละลังเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรจนเมื่อถูกมารดาของเพื่อนรักหยิกหลังนางจึงร้องออกมา
“โอ๊ย ๆ ข้าเองเจ้าค่ะ ข้าเป็นคนที่ส่งซูเมิ่งขึ้นไปในรถม้าคันเดียวกับคุณชายใหญ่โต้ว”
“วันนั้นเกิดอะไรขึ้นรึ” โต้วหนิงอันถามด้วยความระแวง
“วันที่สี่เดือนสองเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของข้า... พวกเราเหล่าสาว ๆ ต่างดื่มกันเมามายที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แต่ซูเมิ่งเป็นพวกคออ่อนจึงสลบไสลไร้สติก่อนใคร ตอนนั้น... ข้าจำได้ว่าเป็นคนแบกร่างหนักอึ้งของนางออกมาเพื่อขึ้นรถม้ากลับเรือน แต่ว่าเพื่อนอีกคนของข้าดันชวนไปดื่มต่อที่สถานเริงรมย์...” เสียงของนางแผ่วลงเมื่อพูดถึงสิ่งที่ไม่เหมาะสม
“ว่าต่อไป!” เจินฮูหยินกระซิบกระตุ้น
“และเพราะรถม้าคันนั้นต้องส่งข้าไปเที่ยวต่อข้าจึงต้องฝากซูเมิ่งไว้กับรถของใครสักคนที่ผ่านเรือนสกุลเจิน... ตอนนั้นพลขับของคุณชายใหญ่โต้วอาสารับนางไว้ แถมยังยืนยันหนักแน่นข้าจึงวางใจพาร่างอันไร้สติของซูเมิ่งขึ้นรถคันนั้นไป แต่คิดไม่ถึงว่า... เขาจะไม่ได้พาเพื่อนรักของข้ากลับเรือน...” หญิงสาวตัวต้นเรื่องทำเสียงระห้อยด้วยเพราะหวาดกลัวความผิด
พร้อม ๆ กับที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านก็ดังระงม
“พวกข้าเองก็เคยได้ยินข่าวลือว่าคุณชายใหญ่สกุลโต้วมักมากในกามเมื่อดื่มน้ำเมา เยี่ยงนี้ก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ”
“ใช่ ๆ ใคร ๆ ต่างก็ล่ำลือกิตติศัพท์คุณชายใหญ่จวนสกุลโต้วเยี่ยงนี้ทั้งนั้น”
“ดังนั้นลูกชายของท่านต้องรับผิดชอบ!” เจินเจียวหรงปลุกระดมอย่างฮึกเหิมอีกครั้งเมื่อเพลิงแห่งกระแสวิพากษ์วิจารณ์กำลังฮึกเหิม “ข้ายอมบากหน้ามาป่าวร้องเพื่อทวงขอความยุติธรรมโดยไม่กลัวว่าบุตรสาวจะต้องได้รับการอับอาย แต่ก็ดีกว่าต้องทนให้นางอยู่อย่างไร้เกียรติเพราะท้องไม่มีพ่อขาดผู้รับผิดชอบ”
ดวงตาเรียวเล็กของผู้ควบคุมจวนสั่นดิกด้วยความสับสน มองผู้มาก่อกวนเรียกร้องความชอบธรรมด้วยความจุกอก
“หากท่านยังไม่ยอมรับฟังแถมตั้งป้อมปราการปัดความรับผิดชอบและไม่ยอมให้เราเข้าไปเจรจาอย่างสันติกันข้างในจวนเช่นนี้ ข้าก็จะอยู่ประจานความชั่วร้ายและต่ำตมของบุตรชายท่านอยู่หน้าจวนนี้ไม่ไปไหน!”
สายตาของชาวบ้านนับร้อยที่ห้อมล้อมมุงดูเหตุการณ์นี้อย่างเคืองขุ่นทำให้โต้วฮูหยินประหม่ายิ่งนัก
“จะทำเยี่ยงไรดีเจ้าคะฮูหยิน” อันหยินลอบกระซิบถามเจ้านายด้วยความหวาดหวั่น
หากเมื่อนึกถึงชื่อเสียงของตระกูลก็ให้รู้สึกเสียววูบในใจ ท้ายที่สุดโต้วหนิงอันก็ต้องยินยอมให้ผู้บุกรุกเข้ามาในแปดเปื้อนในจวนอย่างไม่มีทางเลือกด้วยความจำใจ
[1] ลี่ชุน คือวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เรียกว่าวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ เป็นหนึ่งในภาวะจาก 24 ภาวะตลอดปีในปฏิทินจีน ซึ่งบางภาวะอาจจะอนุมานเรียกว่าเป็น ‘วันสารท’ ก็ได้
[2] 1 เค่อเทียบเท่าเวลาราว 15 นาที
บทที่ 35อ้อมกอดแห่งความผูกพัน เวลานี้ข้างเตียงสลับเป็นโต้วตงหมิงเป็นฝ่ายมานั่งเฝ้าแล้วประคบประหงมภรรยาบ้างโดยเขาไม่ได้ชวนคุยหรือถามจุกจิกเป็นการรบกวนนางแม้แต่น้อย “เหตุใด... ถึงรู้สึกว่าบรรยากาศช่วงนี้น่าเศร้านัก” พราวฝันเพียงมองไปรอบ ๆ ห้องแต่ก็เกิดความหดหู่ขึ้นในใจ “บัดนี้... เทียนโฮ่วสิ้นพระชนม์แล้ว...” “สิ้นแล้วหรือ... มีแต่เรื่องน่าเศร้า...” เธอพึมพำ หลังจากนี้บ้านเมืองจะวุ่นวายและโกลาหลอยู่อีกหลายปีทีเดียว... “ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองต่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้า” “เฉกเช่นเดียวกับในจวนของเรา... เจ้าเสียใจบ้างรึไม่ที่เราต้องสูญเสียลูกไป” “เหตุใดจึงเอ่ยถามด้วยถ้อยคำทิ่มแทงข้าเยี่ยงนี้ หากข้าทำดีกับเจ้าก็ย่อมหมายถึงข้าเฝ้ารอคอยการกำเนิดมาอย่างปลอดภัยและแข็งแรงของเขาเช่นเดียวกัน” “ข้าคงคิดมากเกินไป ขอโทษนะตงหมิง” ผู้เป็นสามีไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ หากแต่ยกฝ่ามือหนาขึ้นลูบศีรษะของภรรยาอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวลราวกับต้องการปลอบประโลมจากทุกความโหดร้ายที่เกิดขึ้น “เจ้าโศกเศร้ามานานแล้ว อย่
บทที่ 34ทวงคืนบุตรสาว วินาทีที่ร่างของเธอลอยละล่องไปบนอากาศราวกับกระดาษขอพรที่ปลิวขาดออกจากเชือกนั้น เธอคิดว่าตัวเองได้ตายไปเสียแล้ว ความรู้สึกนั้นคล้ายคลึงกันเล็กน้อยต่างกันก็แค่เพียงตอนนั้นเป็นกลางคืนแต่ตอนนี้เป็นกลางวัน... ตึง! ม้าตัวนั้นวิ่งฝ่าฝูงชนต่อไปด้วยอาการเตลิดพร้อม ๆ ร่างของพราวฝันก็ตกลงบนพื้นอย่างแรง เธอนอนแน่นิ่งท่ามกลางสายตาของผู้เป็นแม่สามีและคนอื่น ๆ บริเวณนั้น แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้ยังต้องหยุดวิวาท ราวกับโลกหยุดหมุน โต้วหนิงอันตะเกียกตะกายคลานมาหาลูกสะใภ้ ยิ่งเมื่อบริเวณกระโปรงของนางมีสีแดงฉานจากเลือดสด ๆ ซึมออกมาหญิงสูงวัยก็แทบสิ้นสติ “ซูเมิ่ง ไม่นะซูเมิ่ง ไม่เป็นอย่างนี้สิ เจ้าฟื้นขึ้นมาก่อนเจินซูเมิ่ง ไม่นะ ม่ายยย!!!”“ท่านย่าทวด ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านอาเชี่ยเฟิงและท่านอาชุนฮวา... ฮวนเอ๋อร์กลับจากหอเหวินฟางแล้วขอรับ”“แหม พูดเสียงเจื้อยแจ้วน่าเอ็นดูจริง ๆ เลยเด็กคนนี้ ไหน... มาซิ มาใกล้ ๆ ย่า ให้ย่ากอดหน่อยเร็ว”เด็กน้อยถอยหลังกรูดตอนที่ผู้
บทที่ 33โต้วเจียฮวน “อยากดูพระจันทร์ใกล้ ๆ กว่านี้รึไม่” “อื้อ” พราวฝันตอบทั้งคราบน้ำตา จากนั้นผู้เป็นสามีจึงพาภรรยาขึ้นม้าแล้วควบเบา ๆ ไปที่ใดที่หนึ่ง ระหว่างทางนั้นหญิงสาวก็ถูกประคองโอบไว้ด้วยชายที่เธอเฝ้ารอคอยมาหลายวันด้วย ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามเขาก็พาเธอมาที่เนินของภูเขาจงหนานในระดับความสูงที่ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงจนเกินไป เขาเลือกมุมหนึ่งที่ยืนมองออกไปเห็นเมืองฉางอานอันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทั้งเมืองในยามราตรี ขณะที่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มก็มีแสงผุดผาดจากดวงจันทร์เต็มดวงส่องนำทาง “วิวที่นี่สวยจัง อย่างกับมองจากตึกมหานครแน่ะ” “ตึกอะไรนะ” “ตึกสูง ๆ สูงมาก ๆ จนเจ้าจินตนาการไม่ออกเลยว่ามนุษย์จะสร้างสิ่งก่อสร้างเทียมฟ้าได้” “มนุษย์จะกลายเป็นเทพเซียนรึ” “ไม่... มนุษย์ก็คือมนุษย์เช่นเดิม เราไม่ได้เป็นผู้วิเศษหรือมีพลัง แต่เราจะถูกพัฒนาการทางสมองและทักษะ ต่อยอดด้วยองค์ความรู้ต่าง ๆ จากคนในยุคนี้นี่ล่ะ” “คนในยุคนี้... แสดงว่าเจ้ามาจากอนาคตงั้นรึ” พราวฝันไม่ตอบแต่เบี่ยงประเด็นไปท
บทที่ 32ความคิดถึง มื้อเที่ยงวันนี้มีเผิงฟางหยวนมารวมโต๊ะด้วย ทุกคนในจวนสกุลโต้วดูจะเอ็นดูเขาเป็นอย่างดี ปฏิบัติกับเขาอย่างน่ารักราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวก็มิปาน “หมอเผิงเจ้าต้องกินเยอะ ๆ ร่างกายเจ้าซูบผอมเกินไปแล้ว” หนิงอันใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูไปวางไว้บนถ้วยข้าวของว่าที่สะใภ้รอง “มัวแต่ดูแลคนอื่น เจ้าต้องมีคนดูแลที่ดีจะได้มีเรี่ยวแรงรักษาผู้ไข้ทั่วทั้งแผ่นดิน” “หากจะโทษก็ต้องโทษบุตรชายเจ้านั่นล่ะหนิงเอ๋อร์ที่ปล่อยปละละเลย...” ผู้เป็นย่ารีบแทรกด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ก่อนผู้เป็นแม่จะอมยิ้มรับกันโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้บุตรชายนั่งหน้าร้อนผ่าวจนทำตัวไม่ถูก “ยังอีก... ยังไม่รีบคีบกับข้าวให้สหายเจ้าอีกรึเชี่ยเฟิง” ผู้เป็นพ่อทำเสียงดุแต่ทุกคนกลับหัวเราะชอบใจ คนในบ้านนี้ได้เปิดรับโลกใหม่ที่อีกพันกว่าปีอย่าว่าแต่ครอบครัวเลยแม้แต่บางประเทศก็ยังทำไม่ได้ ก่อนเขาก่อนใครสุด ๆ “ข้าเพิ่งจะเคยพบเคยเห็นบุรุษสองคนวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อในสวนดอกไม้” ชุนฮวาแอบกระซิบกระซาบกับพี่สะใภ้ขณะนั่งจิบน้ำชาและกินของว่างอยู่ในศ
บทที่ 31แต่ละวันที่สามีไม่อยู่ หลังจากที่กินยาบำรุงจากแม่สามีไปได้ครึ่งขนานเธอก็กินเก่งขึ้นมาก ช่วงสายของวันนี้ก็เช่นกันหลังร่วมโต๊ะกินมื้อเช้ากับสมาชิกคนอื่น ๆ ไปเพียงไม่ถึงชั่วยามเธอก็อยากหาอะไรกระแทกปากอีกแล้ว พราวฝันชวนอาหว่านมาเดินเล่นที่โรงครัวแล้วเดินสำรวจโดยการเปิดดูโน่นนี่ไปเรื่อย “ช่วงนี้เราจะกินขนมฉงหยางเป็นของว่างเจ้าค่ะฮูหยินน้อย” บ่าวไพร่คนหนึ่งบอกแล้วยกจานขนมมาส่งให้ หญิงสาวรับมากัดเคี้ยวแล้วเสมองไปรอบ ๆ ก็เห็นคนคุ้นตานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่มุมหนึ่งโดยมีบ่าวรุ่นน้องคอยประคบร้อนบริเวณไหล่ให้อยู่ “มานั่งอู้อยู่รึอันหยิน” “บ่าวปวดระบมไปทั้งแผงไหล่เลยเจ้าค่ะ วันนั้นที่ฮูหยินน้อยปราบโจรขโมยถุงเงินแล้วได้ของรับขวัญมาตั้งมากมาย ถ้ารู้อย่างนี้จะให้หงเอ๋อร์กับไห๋เอ๋อร์ติดตามไปด้วยก็ดี” “โทษข้าอยู่รึ” “ใครจะไปกล้ากันล่ะเจ้าคะ” พราวฝันยัดขนมส่วนที่เหลือเข้าปากแล้วไล่เด็กสาวที่กำลังนั่งประคบแบบขอไปทีออกไปโดยพาตัวเองเข้าไปแทนที่ “ฮูหยินน้อยจะทำอะไรบ่าวเจ้าคะ บ่าวไม่ได้จะตำหนิฮ
บทที่ 30บุปผาหอมที่เริ่มคุ้นชิน สตรีสองนางขนาบข้างไปด้วยกันตามทางเดินแคบ ๆ พร้อมบ่าวไพร่ที่ช่วยถือของฝากบางส่วนตามมา “คงต้องขอบคุณฮูหยินน้อยโต้วที่กรุณาให้ข้าเข้าเยี่ยมสหายตั้งแต่วัยเยาว์ในวันนี้” ผู้มาเยือนเริ่มเปิดสนทนาด้วยการเหน็บแนมเล็กน้อย หากแต่ผู้ทำหน้าที่เจ้าบ้านเพียงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปเท่านั้น “ยามที่ป่วยไข้ตงหมิงมักจะอยากกินบ๊วย... เจ้าทราบรึไม่” “ไม่... ข้าไม่ทราบ” เมี่ยวลี่ฟางเสวี่ยแค่นหัวเราะเบา ๆ ราวกับไพ่ใบนั้นกลับมาอยู่ในมือนางแล้ว “ตอนแปดขวบโต้วตงหมิงจมน้ำหลังจากขึ้นมาได้เขาก็ป่วยเป็นไข้ซมอยู่หลายวันอีกทั้งยังจืดปากจืดคอจนกินอะไรไม่ลง ข้าจึงนำบ๊วยเค็มนี่มาให้เขา หลังจากได้ลิ้มรสมันเขาก็ติดใจทันที ทุกครั้งเมื่อเขาป่วยหนักหลังฟื้นไข้ก็จะถามหาเม็ดบ๊วยเค็มอยู่เสมอ เขาบอกว่ามันทำให้เขาสดชื่นและกระตุ้นการรับรสได้ดี...” พราวฝันเพียงมองที่อีกฝ่ายเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยใบหน้ามีความสุข “แม่นางเมี่ยวคงสนิทสนมกับสามีของข้ามาก” “ใช่... เราสองคนสนิทกันมากจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่
Comments