“แต่พระองค์ต้องระวังหน่อย เพราะข่าวที่รายงานบอกว่า องค์หญิงผู้นี้แม้นจะชอบคนง่าย แต่นางก็เบื่อง่ายเช่นกัน เหล่าคณิกาชายและนักดนตรีที่เข้าออกตำหนัก มีไม่น้อย แต่ว่าพวกเขาไม่เคยมีใครอยู่เกินหนึ่งเดือน”
“อะไรนะ เดือนเดียวหรือ เพราะเหตุใดกัน”
“เห็นว่าเป็นเพราะความรักง่ายหน่ายเร็วของนางพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านั้นดาวเด่นของหอหรูเยว่ก็เข้าวังไป นางยอมจ่ายถึงสามร้อยตำลึง เพื่อจะได้ตัวเขาไป แต่สุดท้ายก็ส่งไปที่สังนักสังคีต หลังจากนั้นเพียงสิบวัน”
“สามร้อยตำลึงแลกกับสิบวันงั้นหรือ ช่างเป็นหญิงที่ใช้เงินอย่างไร้คุณค่ายิ่งนัก แล้วนาง… นอนกับพวกเขาทุกคนเลยงั้นหรือ”
“เรื่องนี้…”
“ช่างเถอะ ข้าจะอยากรู้ไปทำไมกัน ก็แค่สตรีไร้ค่าคนหนึ่ง ข้าเองก็ใช่ว่าจะขาดเรื่องเหล่านี้ ไม่ต้องห่วง เจ้ารีบจัดการเรื่องหอหรูเยว่เถอะ ข้าอยากจะเข้าวังหลวงของเสิ่นตูให้เร็วที่สุด”
“หรงอวี้หยาง” องค์ชายห้าแห่งแคว้นฉิน เขาเป็นท่านอ๋องครองเมืองชิงโจว ซึ่งอยู่เมืองหน้าด่านก่อนถึงเมืองหลวง และมีเขตติดต่อกับแคว้นอวิ๋นและเมืองเสิ่นตู
ที่เขาลอบเข้ามาที่นี่ ก็เพื่อสืบข่าวหากบฏที่หนีจากเมืองชิงโจว มาอาศัยอิทธิพลของคนในแคว้นอวิ๋น ซึ่งคิดว่าจะแฝงตัวอยู่ในวังหลวงเสิ่นตู ดังนั้นเขาจำเป็นจะต้องเข้ามาสืบด้วยตัวเอง เพื่อมิให้คนร้ายรู้ตัว
“เหตุใดพระองค์ต้องปลอมเป็นคณิกาต้อยต่ำเช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ นี่มันออกจะ…”
“หากจะเข้าวังหลวงเสิ่นตู วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือวิธีนี้ เจ้าก็บอกเองว่าองค์หญิงผู้นี้งดงามแต่โง่เขลาที่สุด นางบ้าผู้ชายจนกระทั่งเปลี่ยนที่ปรึกษาชายบ่อย ๆ ฝ่าบาทก็มิทรงห้าม การลอบเข้าวังด้วยฐานะนี้ จึงง่ายและไม่สะดุดตาผู้คนมากที่สุด ว่าแต่มีเบาะแสของ “อ้ายต้านเฟิง” หรือคนที่น่าสงสัยบ้างหรือไม่"
“คนของเรารายงานว่า มีอยู่สามคนพ่ะย่ะค่ะ”
“ใครบ้าง”
“คนแรกเป็นขุนนางในกรมโยธา ดูแลเรื่องสร้างถนนเชื่อมต่อเมืองแถบชายแดน แต่เขาเป็นขุนนางผู้น้อย ยศไม่สูงมาก หลายเดือนก่อนส่งบุตรสาวไปแต่งงานกับคนสกุลอ้าย ซึ่งอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน อีกคนก็เจ้ากรมพิธีการ เขาเป็นสหายเก่ากับอ้ายต้านเฟิงมาก่อน แต่ขาดการติดต่อไปนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วอีกคนเล่า ใครกัน”
“อีกคนเป็น… พระสนมพ่ะย่ะค่ะ พระสนมอิ่นซึ่งเป็นน้องสาวต่างมารดากับอ้ายต้านเฟิง”
“สนมอิ่น แซ่อิ่นงั้นหรือ”
“เดิมทีนางแซ่อ้าย แต่เมื่อเข้าวังไปแล้ว ได้รับพระราชทานแซ่ใหม่เพื่อปกปิดฐานะเดิม ฮ่องเต้เลยพระราชทานแซ่ให้นางใหม่ว่าอิ่นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนี้นี่เอง”
กลับมาที่ตำหนักเต๋อหยวน
“อิ่นซานถง คิดไม่ถึงว่าน้าวเกาทัณฑ์ทีเดียวจะได้นกสองตัว อยู่ใกล้กันแค่นี้ก็สืบไม่ยากแล้ว”
หลังจากนั้น อวี้หยางก็เริ่มสำรวจในตำหนักเต๋อหยวน เขาพบว่าตำหนักนี้ ไม่ได้แตกต่างอะไรกับตำหนักอื่น ๆ คนของเขาเคยเข้ามาสำรวจก่อนหน้านี้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ห้องหนังสือสุดริมทางเดินในชั้นสอง ซึ่งน่าจะไม่เคยมีผู้ใดเคยเข้ามาที่นี่มาก่อน เมื่อเข้าไปข้างในก็พบว่ามีตำราที่น่าสนใจอยู่มากมาย
“ตำราแพทย์ ตำรับยาโบราณงั้นหรือ เคยเปิดอ่านมาแล้ว น่าจะไม่ใช่เพียงครั้งเดียว น่าสนใจดีนี่องค์หญิง เจ้ามีเขี้ยวเล็บอะไรซ่อนอยู่กันแน่นะ"
แต่ก่อนที่เขาจะสืบหาข่าวในวัง ตอนนี้ต้องพยายามทำตัวให้เป็นที่โปรดปรานของจ้าวอันหลินเสียก่อน เขามีเวลาเพียงสองเดือนที่แคว้นอวิ๋น ก่อนจะต้องรีบกลับไปที่ชิงโจว
เย็นวันนั้น
“เร็วเข้า ๆ รีบไปเรียกคนมา”
“เกิดอะไรขึ้นหรือกงกง”
“คุณชายอวี้พบท่านพอดี ช่วยข้าหน่อยเถอะ”
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไปอุ้มองค์หญิงกลับมาจากศาลาในสวนที เร็ว ๆ เข้า”
“อะไรนะ เหตุใดนางจึงไปที่นั่น ไหนบอกว่าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทอย่างไรเล่า”
“ก็ไปเข้าเฝ้านั่นแหละ ช่างเถอะ ๆ ค่อยเล่าก็แล้วกัน ตอนนี้ท่านไปช่วยข้าก่อน”
“ไปสิ เชิญกงกงนำทาง”
เขาตามซานหูไปทันที เมื่อไปถึงศาลาก็พบกับ นักดนตรีชายหลายคนที่พยายามปลุกองค์หญิง ที่เมาไร้สติอยู่ที่เตียง นางพิงอยู่กับเตียงพักซึ่งมีม่านประดับอยู่
“เร็วเข้า ๆ พวกเจ้าหลีกไปก่อน”
“กงกง คนผู้นี้คือ…”
“ที่ปรึกษาคนใหม่ขององค์หญิง พวกเจ้ายังไม่รีบหลีกไปอีก คุณชายอวี้เร็วเข้า รีบอุ้มองค์หญิงกลับไป ก่อนจะมีผู้ใดมาพบเข้า หลีกไปก่อน หลีกไป ๆ เร็วเข้า”
“ท่านกลัวว่าผู้ใดจะมาพบนาง”
“ปัดโธ่เอ๊ยคุณพระ ท่านรีบอุ้มไปก่อนอย่าพึ่งถาม มีอะไรข้าจะเล่าให้ฟังที่ตำหนัก”
‘มาวันแรกก็ต้องมาอุ้มสตรีบ้าราคะผู้นี้ ในสภาพที่เมาเหมือนสุนัขนี่น่ะหรือ สมกับเป็นสตรีปัญญานิ่มเสียจริง งี่เง่าชะมัด’
อวี้หยางนึกสบถในใจ แต่เขาก็ต้องเดินเข้าไปอุ้มนางขึ้นมา ท่ามกลางเหล่าคณิกาชายนับสิบคน ที่รายล้อมนางอยู่ สองคนที่กึ่งเปลือยท่อนบน ยังสลบอยู่ที่ล่างเตียงพร้อมกอดไหสุรา ซึ่งเป็นภาพที่น่าเกลียดมากเช่นกัน
“ไปเถอะกงกง”
“มาเร็ว ๆ ทางนี้ ๆ เร็วเข้า”
เขาอุ้มร่างบาง ที่เมาจนไร้สติเดินตามกงกงไป ตัวของจ้าวอันหลินมิได้หนักอย่างที่เขาคิด ใบหน้ากลมเนียนตรงหน้า เหมือนจะแดงเลือดฝาดเพราะความเมา แต่เขาเห็นอีกรอยบนใบหน้าของนาง ซึ่งน่าจะเกิดจากการใช้กำลัง
‘นางถูกทำร้ายมางั้นหรือ เหตุใดจึงมีรอยฝ่ามือที่แก้มขวา’
เมื่อถึงตำหนัก กงกงก็รีบเปิดห้องนอนขององค์หญิง และให้เขาพานางเข้าไปวางที่เตียง
“อื้อ...มาดื่มด้วยกันก่อน!”
“องค์หญิง เอ่อ…”
“มาเถอะน่าเสี่ยวเช่า อ้าว ไม่ใช่นี่ มาเถอะมาอยู่เป็นเพื่อนข้าก่อน”
“กงกง ข้า…”
“เฮ้อ เช่นนั้นท่านอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะรีบไปให้สาวใช้หาผ้ามาเช็ดตัวองค์หญิงก่อน เดี๋ยวข้ามานะ”
“เอ่อ… องค์หญิง สำรวมหน่อยสิ”
“อื้อ อย่าดิ้นสิไป๋มู่”
“ไป๋มู่ ใครอีกเล่า ท่านอย่า…ฮึก!”
เขาเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อจ้าวอันหลินที่เมากอดคอของเขาไม่ยอมปล่อย สุดท้ายเมื่อหันไปดุใส่นาง ก็ถูกนางดึงเข้าไปจูบ ฝ่ามือหนากางออก และจับที่เสาเตียงไว้แน่น นางยังขยับปากเป็นเชิงยั่วยวน เขาตกใจและนิ่งไปทันที
“อืม…กอดข้าสิ ไป๋มู่”
“ไป๋มู่ ผู้ใดคือ…ฮึก!”
นางยังดึงเขาเข้าไปจูบอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้เริ่มประกบแน่นมากขึ้น และเงยหน้ามามองเขา สายตายั่วยวนตรงหน้า ทำเอาอวี้หยางลืมตัวไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าจะถูกนาง ปล้นจูบตั้งแต่วันแรก เดิมทีเขารังเกียจการจูบกับสตรีมากที่สุด เพราะมิได้มีใจให้พวกนาง การร่วมหลับนอนกับสตรี ก็เป็นเพียงแค่การระบายความใคร่เท่านั้น
“อื้อ…อื้อ”
เรียวลิ้นตวัดกันไปมาจนยากจะถอน ซานกงกงก็ไปเสียนานเหลือเกิน เขาหลงลืมไปแล้วว่าต้องทำสิ่งใดบ้าง ไม่คิดเลยว่าจูบรสสุรา จะหอมหวานชวนหลงใหลเช่นนี้
“กอดข้าสิ อยู่กับข้านะไป๋มู่”
เขาไม่รู้ว่าไป๋มู่ที่นางพูดถึงคือใคร แต่ตอนนี้เขาต้องการให้นางจดจำว่าผู้ใดกอดนางอยู่ และไม่ต้องการได้ยินชื่อของผู้อื่น
“ข้าชื่อว่าอวี้หยาง เอ่ยนามของข้าสิองค์หญิง อวี้หยาง มิเช่นนั้นข้าจะไม่จูบเจ้าอีก”
อันหลินเงยหน้ายิ้มอย่างยั่วยวนเพราะฤทธิ์ของสุรา นางไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าพูดเพราะข่มขู่นาง แต่ก็ยอมทำตามที่เขาบอก และเริ่มกรีดนิ้วไปที่ร่องปกสาบเสื้อของอีกฝ่าย
“อวี้หยาง ก็ได้อวี้หยาง ข้าเรียกชื่อเจ้าแล้ว ทีนี้… จูบข้าต่อได้หรือยังเล่า”
ศพของเซินลี่หง ถูกส่งกลับไปที่สกุลเซิน พร้อมกับหนังสือแจ้งเรื่องความผิดวินัยกองทัพ ซึ่งทางสกุลเซินเองก็มิได้มีข้อโต้แย้งอันใด พวกเขาเหมือนจะทราบชะตากรรมของนาง ก่อนที่จะกลับมาถึงชิงโจวเสียด้วยซ้ำไป เพราะท่านอ๋องไม่เคยปล่อยให้ผู้ใด ละเมิดกฎกองทัพทลายเมฆามาก่อน“ท่านอ๋อง ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นก็ดี สั่งให้ออกเดินทางในอีกสองวัน ข้าจะต้องไปถึงเสิ่นตูภายในเจ็ดวัดนี้”“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”จิ่นหลงเดินออกไปแล้ว หลังจากรายงานทุกอย่างให้ท่านอ๋องทราบ ก่อนหน้านี้เขานึกรำคาญเซินลี่หงนักหนา เพราะระหว่างเดินทาง นางทำเหมือนกับว่า ตัวเองเป็นชายาท่านอ๋องเสียเองคอยสั่งการผู้อื่นจนทุกคนเอือมระอา แต่เมื่อเห็นนางตายต่อหน้า เขาก็นึกเสียดายฝีมือของนาง แต่ก็คิดว่าท่านอ๋องมิได้ทำเกินกว่าเหตุ เป็นนางเองที่ทำให้ตัวเอง เดินมาถึงจุดนี้“พวกเจ้ารีบเตรียมของ ท่านอ๋องสั่งให้ออกเดินทาง ในอีกสองวันข้างหน้า”""ขอรับ""หรงอวี้หยางนั่งอยู่ในห้องหนังสือ เขาลูบไปที่หน้าท้องซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกอาวุธลับ ของพวกกบฏชั่ว จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะอาวุธนั้นมีพิษ ตอนนี้แม้ว่าแผลจะหายสนิทแล้ว แต่เขาก็มักจะเผลอไปจ
“เอาเถอะเสี่ยวจิ่น ตอนนี้อาการท่านอ๋องก็มิได้หนักหนามาก รองแม่ทัพเซินมีใจให้ท่านอ๋องมานาน แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่า นางจะกล้าขัดคำสั่งกองทัพ ลอบมาหาท่านอ๋องถึงที่นี่ ทำให้ศัตรูไหวตัวทัน จนทำร้ายท่านอ๋องเข้า”“โชคดีที่มีกองทัพขององค์ไท่จื่อของเสิ่นตูช่วยเอาไว้ จึงจับคนที่เหลือของอ้ายต้านเฟิงได้”“ท่านอ๋องบาดเจ็บคราวนี้ หากอาการดีขึ้น คงต้องรีบส่งกลับชิงโจว เพื่อรักษา อยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว”“ว่าอย่างไรนะ แต่ว่าท่านอ๋องกับองค์หญิง”“เรื่องชีวิตของท่านอ๋องสำคัญกว่า แม้ว่าข้าจะรักษาแผลให้ท่านอ๋องได้ แต่ก็ต้องหมั่นดูอาการ ที่นี่ไม่สะดวกเจ้าก็เห็น หากเกิดเหตุการณ์เช่นเมื่อครู่อีก ครั้งนี้ข้าคงช่วยไม่ได้แล้ว อีกอย่างในอาวุธนั่นมีพิษ ยาที่รักษาพิษได้อยู่ที่เมืองชิงโจว อย่างไรก็ต้องกลับไปรักษาที่นั่น" “เช่นนั้นข้าจะรีบส่งรายงาน ไปที่กองทัพขององค์ไท่จื่อของเสิ่นตู จะให้ผู้อื่นรู้ไม่ได้ว่า ท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัส”“เจ้ารีบไปจัดการเถอะ”“ท่านหมอ แล้วจะต้องพาท่านอ๋องกลับไปเมื่อใด” บัดนี้กบฏถูกท่านอ๋องสังหารแล้ว เรื่องชายแดนก็นับว่าพระองค์จัดการได้อย่างยอดเยี่ยม ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ ส่งจดหมายเพื่อขอบคุ
“องค์หญิง ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าจะไม่ดื่มนี่เพคะ”“ตอนนี้ข้าอยากจะดื่มแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ยานี้ไม่ได้มีผลอะไรกับการตั้งครรภ์ในวันข้างหน้าหรอก เจ้าไม่มั่นใจวิชาแพทย์ของข้าหรอกหรือ”“มิใช่เช่นนั้นนะเพคะ เพียงแต่ข้าคิดว่าองค์หญิง กับคุณชายอวี้”“ข้ากับเขาทำไมหรือ นี่เจ้าคงจะไม่คิดว่า ข้าจะเลือกเขาเป็นราชบุตรเขย ให้กับเสด็จพ่อหรอกนะ แม้ว่าเขาจะหน้าตาดี มีความรู้มาก อีกอย่างก็เป็นบุรุษที่ข้าพาเข้าวังมา และทำให้ทะเลาะกับเสด็จพ่อไปครั้งหนึ่ง แต่ก็น่าแปลกที่หลังจากนั้น เสด็จพ่อก็ไม่ต่อว่าข้าอีกเลย คงเป็นเพราะรู้สึกผิดที่ตบข้ากระมัง”“องค์หญิง”“เอาล่ะข้าจะเข้านอนแล้ว เจ้าก็ดับไฟเสียเถอะ”“เพคะ”สองวันถัดมา / หอหรูเยว่ “องค์หญิงเพคะ คนของหอหรูเยว่มาแล้วเพคะ”“ให้เข้ามาเถอะ”“เพคะ”ซานหูนำคนของหอหรูเยว่เข้ามาเข้าเฝ้า จิ้งมาม่าและผู้ติดตามอีกคนเดินเข้ามาในห้องส่วนตัวในหอหรูเยว่ ด้วยสีหน้ามิใคร่สู้ดีเท่าใดนัก“ถวายพระพรองค์หญิงเพคะ”“จิ้งมาม่า ท่านรู้หรือไม่ว่า ข้ามาที่นี่เพราะเหตุใด”“เอ่อ คือว่าหม่อมฉันก็พอทราบเพคะ เพียงแต่ว่า”“เจ้าทราบงั้นหรือ ไหนลองว่ามาสิ ว่าที่เจ้าทราบนั่นคือสิ่งใด”จิ
“โอ๊ย! ท่านออกไม่ได้นะ”“ปล่อยข้านะ!”เขาสะบัดแขนนางออก และรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที พร้อมกับกุมหน้าท้อง ที่เริ่มมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด“หยุดเขาไว้เร็วเข้า รีบเรียกหมอมา”“ขอรับ”อวี้หยางรีบวิ่งไป แต่ผู้คนมากมายในคืนนี้ล้วนสวมหน้ากาก ซึ่งเป็นประเพณีของงานเทศกาลที่นี่ เขามองหานางท่ามกลางผู้คน แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา ตอนนี้จมูกเขาเริ่มไม่ได้กลิ่น สายตาก็เริ่มพร่ามัวแต่เมื่อวิ่งลงไปด้านล่าง ตรงโต๊ะก่อนถึงทางออก เขาก็เห็นหน้ากากที่ถูกถอดเอาไว้ ในนั้นเปียกไปด้วยน้ำตา เมื่อเขาหยิบขึ้นมาก็พบว่ามันเป็นของนางอย่างแน่นอน น้ำตาที่ไหลเอ่อออกมา คงจะเจ็บปวดมาก เมื่อเห็นว่าเขาอยู่กับสตรีอื่น“อันหลิน…”“อวี้หยาง! เร็วเข้ารีบพยุงเขาขึ้นไป!”“ขอรับ”อวี้หยางยังกอดหน้ากากของนางเอาไว้แน่น ก่อนที่สติทั้งหมดของเขาจะดับวูบลงไป พร้อมกับบาดแผลที่เกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้อะไรอีกเลย….“องค์หญิง! ท่านอยู่ที่นี่จริงด้วย ท่านร้องไห้หรือเพคะ”“เปล่า ข้าก็แค่หลงทาง พอดีเจอหอหรูเยว่ก็เลยจำทางได้ เจอพวกเจ้าก็ดีแล้ว กลับกันเถอะข้าเหนื่อยแล้ว”“เอ่อ เช่นนั้นกระหม่อม จะเรียกรถม้ามารับที่นี่”“ไม่ต้อง ไ
“ก็ได้ ข้ารับปากท่าน”อวี้หยางกอดนางแนบแน่น ยากเหลือเกินที่จะทำใจคลายอ้อมกอดนี้ออกไป แต่ภารกิจที่เหลือ ยังต้องการเขาไปดำเนินการให้จบ ในเมื่อตอนนี้ได้รับการช่วยเหลือแล้ว ที่เหลือก็เพียงแค่ขั้นสุดท้ายเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็จะรีบจัดการเรื่องของแคว้นและ…จ้าวอันหลิน“ข้าไปนะ”“เดี๋ยวก่อน”อันหลินเดินไปที่โต๊ะ และหยิบบางอย่างออกมา มันเป็นถุงหอมที่นางแอบทำเอาไว้นานแล้ว เดิมทีก็คิดว่าจะเก็บเอาไว้เอง แต่นับตั้งแต่อวี้หยางเข้ามาในตำหนัก นางก็เริ่มหัดเย็บปักสิ่งนี้ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยชอบงานเหล่านี้เลย“นี่เป็นถุงหอมที่ข้าเย็บเอง ท่านเอาไปสิ”อวี้หยางมองถุงหอมที่ผูกพู่สีแดงอยู่ ในนั้นมีกลิ่นที่คุ้นจมูกของเขา ซึ่งเป็นกลิ่นที่นางมักจะใช้อยู่เป็นประจำ เขารับและดึงมาสูดกลิ่นทันที“สิ่งนี้จะเป็นตัวแทนเจ้า จะได้เหมือนมีเจ้าอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา ขอบใจมากนะอันหลิน”“ท่านชอบก็ดีแล้ว ข้าไม่ถนัดงานปักเย็บ ก็เลยทำได้เพียงแค่นี้ มิได้ปักอะไรเอาไว้”“ขอเพียงเป็นสิ่งที่เจ้าให้ อย่างไรก็มีค่าสำหรับข้าเสมอ”นางกอดเขาอีกครั้ง ไม่คิดมาก่อนเลยว่า เพียงแค่เขาบอกว่าจะกลับหอหรูเยว่เพียงไม่กี่วัน กลับทำให้นางรู้สึ
“เดี๋ยวก่อนสิ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน ท่านไปที่ไหนมากันแน่ แล้วจู่ ๆ ทำไมจึงมีเรื่องด่วนเข้ามาเล่า”“ข้าก็อยากจะบอกนะ แต่ว่าตอนนี้อย่าพึ่งพูดจะได้ไหม ซานหูกับเจาอินออกไปข้างนอก เรามีเวลาไม่นานเท่าใด หากอยากรู้ข้าจะบอก แต่คงต้องหลังจากนี้ก่อน”“อ๊ะ อวี้หยางคนผีทะเล…อื้อ เบาหน่อยสิมันยังช้ำอยู่เลย”“ข้าจะอ่อนโยน”“อื้อ…อ๊าา”เมื่อปลดชุดนางออกได้ เขาก็ไม่รอที่จะให้นางขัดขืน และเริ่มดึงชุดของตัวเองออกด้วยเช่นกัน เมื่อตอนเข้ามาเขาลงกลอนแน่นหนา แต่คิดว่าช่วงเวลานี้ คงไม่มีใครกล้ามายุ่งกับทั้งสองเป็นแน่“อ๊าา เบาหน่อยสิ ดูดเสียงดังไปแล้ว ท่านอดอยากมาจากไหน อ๊าา”นางต่อว่าเขา แต่ก็กอดศีรษะของเขาแน่น เมื่ออวี้หยางดูดดึงหน้าอกของนาง พร้อมกับใช้นิ้วสอดเข้ามากลางร่องศึก ที่พึ่งพักไปได้ไม่กี่ชั่วยาม“อ๊าา อวี้หยาง ช่วยด้วย!”เขารู้ว่านางอ่อนไหวมากขนาดไหน เพียงแค่ถูกเล้าโลมนิดหน่อยนางก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว แน่นอนว่าเขาเองก็เช่นกัน ช่วงเวลากลางวันที่เห็นเรือนร่างนางชัดเจนเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาแทบคลั่งตาย“ฮึก! อึ๊ยย!!”"เจ็บอยู่หรือไม่"นางส่ายศีรษะเป็นคำตอบ เมื่อเช้านางแช่น้ำอุ่นเพื่อคลายกล้ามเนื้อไปแล้ว