ฉันเคยสงสัยว่าทำไมเวลาดูซีรีส์ ฉากที่ตัวละครหลักถูกบอกเลิกจะต้องเป็นขณะฝนตกด้วย แต่เหมือนตอนนี้ฉันจะได้พบกับคำตอบแล้วล่ะ
คงเป็นเพราะความเปียกชื้น บรรยากาศขมุกขมัวชวนอึดอัดหายใจไม่ออก กับหัวใจที่กำลังแหลกสลายของคนหนึ่งคน มันชวนให้ตัวละครดูน่าสมเพชอย่างที่สุดนี่เอง
“เทียร์ เราขอโทษจริงๆ นะ” นิกกี้พูดคำนี้ออกมาประมาณสิบครั้งเห็นจะได้ ทว่านี่ไม่นับรวมกับก่อนหน้านี้ที่พอเขาทำผิดอะไร ก็พูดออกมาอย่างคล่องปาก
แต่ฉันเองก็อภัยให้ทุกครั้ง เพราะเชื่อว่าเขาแค่พลาดไป
“นี่เทียร์จะไม่พูดอะไรสักคำจริงเหรอ”
ฉันที่เบนสายตาออกไปมองเม็ดฝนที่นอกหน้าต่างนานแล้ว หันกลับมาสบตาสีเข้มที่ตนเองเคยหลงใหลมากมายอีกครั้ง ด้วยแววตาไม่ต่างจากปลาตาย ทั้งที่หัวใจเต้นตุบหนักหน่วงจนอกด้านซ้ายแทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ
แต่ฉันไม่มีทางทำให้ผู้ชายเลวๆ อย่างนิกกี้รู้สึกว่าตนเองมีค่าพอให้ผู้หญิงคนนี้ร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนอีก
“เฮ้ย! เอาจริงดิ” นิกกี้ดูหัวเสีย แต่ฉันไม่แน่ใจว่าเขาโมโหที่ฉันไม่พูดอะไร หรือเพราะฉันดูเศร้าน้อยกว่าที่ควรจะเป็นกันแน่
“นิกอยากให้เทียร์พูดอะไรล่ะ” ฉันถามกลับเสียงเรียบไร้ความรู้สึก
“เราไม่ได้ตั้งใจให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ แต่แนนเขาท้อง เทียร์เข้าใจเราใช่ไหม”
อ่อ ที่แท้เขาก็แค่อยากให้ฉันปลดปล่อยเขาจากความรู้สึกผิด เพื่อที่จะได้เดินหน้าต่อกับนังคนหน้าด้านนั่นอย่างสบายใจนี่เอง
“นอกจากเรื่องที่นิกทำแนนท้อง ยังมีเรื่องอะไรที่อยากบอกเราอีกไหม”
“เธอก็เป็นซะอย่างนี้ไง น่าเบื่อฉิบหาย!” นิกกี้หายใจฟืดฟาดอย่างหัวเสีย เรียกได้ว่าเป็น ‘สันดาน’ ประจำของผู้ชายคนนี้เพื่อทำให้ฉันเป็นคนผิดที่ประสาทเสียอยากรู้อะไรมากเกินกว่าที่เขาอยากจะให้รู้
เดี๋ยวนะ แต่คนที่น่าจะหัวเสียมันฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมคนที่นอกใจอย่างเขาถึงทำเหมือนตัวเองเป็นคนถูกล่ะ
โลกมันกลับตาลปัตรขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรนะ...
“ถ้านิกหมดเรื่องพูดแล้ว เทียร์กลับก่อนนะ”
“เฮ้ย จะไปง่ายๆ แบบนี้เหรอ”
“นั่นสินะ จะไปง่ายๆ โดยไม่พูดอะไรเลยได้ยังไงกัน” ฉันกระตุกมุมปากยิ้มหน่อยๆ “เราเลิกกันเถอะ” พูดจบฉันก็เชิดหน้าแล้วยืนขึ้น พลางมองต่ำอย่างดูแคลน
“เทียร์อย่าทำเหมือนตัวเองดีกว่าคนอื่นนักเลย ถ้าเธอไม่ทำตัวน่าเบื่อ แล้วนิกจะไปปรึกษาแนนจนทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ไหมล่ะ”
ไอ้เวรนี่ ไม่สำนึกสักนิดเลยสินะ!
“ถ้านิกไม่สำส่อน หน้ามืดจะเอาสดแบบไม่ป้องกัน ก็คงไม่โดนผู้หญิงหน้าด้านแบบนั้นจับด้วยการปล่อยให้ท้องหรอก”
“เทียร์!” เสียงของนิกดังพอให้คนที่อยู่ในร้านอันเงียบสงบหันมามองพวกเราเป็นตาเดียว
“ทำขนาดนี้แล้วฉันไม่เอากาแฟราดหัวนาย ก็นับว่าบุญแล้ว ยังกล้ามาขอให้ฉันเข้าใจอีก เข้าใจพ่อมึงสิ ไอ้สารเลว!”
ตั้งแต่คบกันมาฉันแทบไม่เคยพูดคำหยาบเลย นิกกี้คงกำลังช็อกถึงได้ถลึงตาจนแทบถลนออกจากเบ้า
“ต่อไปนี้ต่างคนต่างอยู่ แล้วแกจะไปสมสู่กับใครก็เชิญ ไม่เกี่ยวกับฉัน เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ชัดนะ...”
ด้วยเพราะกาแฟถ้วยนี้รสดีเกินที่จะเสียเปล่าไปกับคนใจหมาสันดานเสียอย่างไอ้หมอนี่ ฉันพยายามหักห้ามใจเอาแก้วที่ยังมีกาแฟเหลือกว่าครึ่งกระแทกลงบนโต๊ะ แทนที่จะราดหัวอดีตแฟนเมื่อหนึ่งนาทีก่อนของตัวเองอย่างที่ใจอยากจะทำเหลือเกิน แล้วค่อยๆ หมุนตัวเดินออกจากคาเฟ่ไปทั้งที่ข้างนอกฝนยังตกหนัก
ให้ตายสิ ฉันไม่ได้อยากตากฝน แค่ทนเห็นหน้าไอ้คนเฮงซวยนั่นต่อไม่ได้อีกแล้วเท่านั้นเอง...
หนึ่งเดือนต่อมา...
"ผมรักคุณ" คำนี้ยังคงก้องอยู่ภายในใจอย่างชัดเจน แม้ว่าเวลานี้ฉันกำลังยืนอยู่หลังโต๊ะเล็กๆ ที่ปูด้วยผ้าสีขาวในงานแต่งของผู้ชายที่เคยพูดประโยคนี้กับฉัน แต่เจ้าสาวของเขากลับเป็นผู้หญิงอีกคน ทั้งที่ในความเป็นจริงเจ้าสาวควรจะเป็นฉัน ไม่ใช่หญิงแพศยาที่แอบไปกินแฟนหนุ่มของเพื่อนรักอย่างยายนั่น
รอยยิ้มแห่งความสุข คำอวยพร ตลอดจนสายตารักใคร่ที่ออกมาจากดวงตาของเจ้าบ่าว กลับกลายเป็นของคนที่ใช้คำว่า "ท้อง" มาเป็นข้ออ้างในการร้องขอความรับผิดชอบ
แต่ก็นั่นแหละ หญิงร่านกับชายที่อวัยวะเบื้องล่างอยู่ไม่สุขจนพ่ายแพ้ให้กับความใคร่ก็ดูเหมาะสมกันดีแล้ว
บางทีพระเจ้าอาจจะสงสาร ไม่อยากเห็นฉันเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรต่อไป ถึงได้บันดาลให้ฉันรู้ถึงเรื่องราวคาวโลกีย์พวกนี้ก่อนที่จะสูญเสียความสาวที่เฝ้าหวงแหนให้กับคนที่ไม่คู่ควรอย่างไอ้นิกกี้ก็ได้
แต่ถึงจะพยายามทำเป็นเก่งยังไง ความจริงหัวใจมันก็เจ็บอยู่ดีปะ
ไม่เอาน่า ฉันไม่ควรร้องไห้ เพราะนอกจากดูอ่อนแอแล้ว อาจจะทำให้คนบางคนเข้าใจผิดว่าฉันกำลังเรียกร้องความสนใจจากเจ้าบ่าวของคนอื่น
แล้วเรื่องอะไรผู้หญิงสวยๆ ที่หลายคนต่างชื่นชมอย่างฉันจะต้องทำตัวให้ตกต่ำลงด้วยเล่า
ไม่มีทางเสียล่ะ!
ฉันกระดกแก้วไวน์แก้วที่ห้าพร้อมกลืนความเสียใจลงท้องไป แล้วจ้องมองไปบนเวทีด้วยสีหน้าและแววตาที่สงบเยือกเย็น ไม่ยินดียินร้าย หนำซ้ำยังยิ้มรับทักทายบรรดาเพื่อนคนอื่นๆ ที่เข้ามาสมทบอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ
แน่นอน เพราะคนหน้าไม่อาย แถมยังตอแหล ตอนนี้กำลังยืนอยู่บนเวทีนั่นต่างหาก
ในเมื่อคนผิดไม่ใช่ฉันสักหน่อย ก็ยืนเชิดๆ เริดๆ ไปสิคะ กลัวอะไร
พอเพื่อนๆ เห็นว่าฉันไม่ได้เสียใจอะไรนักหนา พวกเขาก็พากันยิ้ม และหยอกเอินกันไปตามปกติ ซึ่งมันทำให้ฉันไม่หลงเหลือความรู้สึกอับอายใดๆ ที่จู่ๆ แฟนก็ไปแต่งงานกับอดีตเพื่อนสนิทตัวเอง
“หนามยกโทษให้พี่แล้วใช่ไหม” เขากุมมือเธอแน่น เงยหน้าขึ้นสบตาที่สั่นระริกด้วยความอ่อนไหวของเธออย่างวิงวอน“หนามยกโทษให้แค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งจะคาดโทษเอาไว้ก่อน ถ้าวันหลังพี่ว่านคิดแผนพิเรนทร์อะไรทำนองนี้อีก หนามจะหย่าจริงๆ ด้วย”“จ้าๆ พี่ไม่กล้าทำแล้วจ้ะเมียจ๋า” วรภพพุ่งเข้ากอดเมียอย่างหมดท่า ภาพเจ้าของไร่สุดเข้มที่ลูกน้องต่างเคารพยำเกรงถูกภรรยาสุดที่รักทำลายจนไม่มีเหลือทว่าพอได้กอด ได้ซุกหน้าลงบนอกอวบอั๋น สูดกลิ่นหอมอ่อนจางของเรือนร่างที่ตนหลงใหล เลือดในกายพลันพุ่งพล่านเกินควบคุม“อะ พี่ว่าน จะทำอะไรคะนั่น”เขาไม่ได้ตอบ แต่ใช้สองมือนวดคลึงเอวคอด ก่อนจะเลื่อนลงไปทำอย่างเดียวกันกับสะโพกงามงอน ไม่ต้องพูดถึงใบหน้าที่ตอนนี้จมอยู่กลางหน้าอกเธอ แม้บนร่างจะยังมีเสื้อผ้ากั้นขวางอยู่ แต่ลมหายใจร้อนระอุก็แทรกซึมผ่านไปกระทบผิวอ่อนบางของเธอได้ไม่ยากเย็นพอรุกเร้าร่างระหงจนอ่อนระทวย คนที่คิดจะพลีกายไถ่โทษก็หยัดกายขึ้นจนใบหน้าของทั้งสองห่างกันแค่คืบ ฉับพลันเขาประกบริมฝีปากหยักลงบนกลีบปากฉ่ำวาวสีชมพูอย่างร้อนแรง ราวกับจะกลืนกินลมหายใจของเธอให้หมดสิ้น นวิยายกมือคล้องลำคอแกร่ง แล้ว
“เลิกพาลได้แล้ว หนามไม่เกี่ยว” วรภพกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเพื่อให้นวิยารู้สึกอุ่นใจ พร้อมกับแสดงออกให้วรัญญารู้ว่าอย่ามาแตะต้องภรรยาของเขา“แหม รู้ย่ะว่ารักกัน แต่น้ำโดนซะขนาดนี้จะขอระบายอารมณ์บ้างไม่ได้หรือไง” วรัญญามองภาพเบื้องหน้าอย่างหมั่นไส้“จริงอยู่ที่เธอต้องทนลำบากกายใจเป็นปี แต่อย่าลืมสิว่าฉันทำตามที่สัญญากับเธอไว้ทุกอย่าง ตอนนี้กิจการที่บ้านเธอฟื้นตัวแล้ว ส่วนหนามก็ได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ อย่างฉัน แล้วเธอจะโมโหอะไรนักหนาไม่ทราบ ยกเว้นก็แต่ว่าตอนนี้เธอนึกเสียดาย เพราะอยากจะแต่งงานกับฉัน”“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย พี่ว่านไม่ใช่สเปกน้ำ” วรัญญาแค่นเสียงหึ แต่ก็เถียงอะไรอย่างอื่นไม่ออกอีก เพราะหากคิดดีๆ ถึงแผนของวรภพจะทำให้เธอต้องพบกับความยากลำบากอยู่บ้าง แต่เขาก็ทำตามทุกอย่างที่ได้ลั่นวาจาไว้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง“พี่น้ำยกโทษให้พวกเราเถอะนะคะ” นวิยาปราดเข้าไปกุมมือที่กำแน่นของวรัญญา เธอทำท่าเหมือนจะร้องไห้ อ้อนวอนคนเป็นพี่ให้อภัย“แกนี่นะ เอะอะก็ร้องไห้ พอๆ อย่าร้องนะ พี่ยกโทษให้ก็ได้ แค่นี้พอใจแล้วใช่ไหม” ถึงจะดูเหมือนคนแข็งๆ แต่ความจริงเธอแพ้น้ำตาของน้องสาวตลอด“ขอบคุณนะคะพี่น้ำ”
“ถ้าพวกท่านเป็นห่วงพี่จริง ก็คงไม่บังคับให้พี่แต่งงานกับผู้ชายรุ่นราวคราวพ่อ โดยไม่สนว่าพี่จะรู้สึกยังไงแบบนั้นหรอก”“พี่น้ำก็เลยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แล้วโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้หนามแทนใช่ไหมคะ” นวิยาอดตัดพ้อไม่ได้“พี่ยอมรับว่ามันดูเห็นแก่ตัว แต่ความจริงพี่ก็ไม่ได้คิดจะปัดความรับผิดชอบให้แกตั้งแต่แรกนะ แต่เป็นพี่ว่านต่างหากที่มาพบพี่ เพื่อขอร้องให้หนีการแต่งงาน”“พี่ว่านมาพบพี่น้ำ แล้วขอให้หนีงานแต่ง?”“ใช่แล้วล่ะ” วรัญญามองไปทางทะเลอย่างครุ่นคิดแล้วเล่าต่อ “วันนั้นพี่ว่านมาถามฉันว่าชอบคนแก่คราวพ่อเหรอถึงได้ตกลงง่ายๆ แบบนั้น หึ ชอบกับผีน่ะสิ พี่เลยตอกกลับไปว่าเป็นพ่อเขาต่างหากที่มาพูดว่าจะมาสู่ขอพี่เพื่อแลกกับความช่วยเหลือ ไม่ใช่ทางนี้เสนอไปสักหน่อย พอพี่ว่านได้ยินแบบนั้น ก็พูดว่าเขาไม่อยากได้แม่เลี้ยงแบบพี่ ฉันงี้โกรธแทบตาย เลยสวนไปอีกรอบว่าควรจะไปบอกพ่อเขาต่างหาก เพราะทางนี้ก็ไม่ได้อยากเป็นหญ้าอ่อนโดนโคแก่รุ่นลุงรุ่นพ่อและเล็ม” “แล้วยังไงต่อคะ”“พี่ว่านก็เลยเสนอให้พี่หนีไปต่างประเทศก่อนสักปี รอให้เรื่องมันซาแล้วค่อยกลับมา”“แล้วพี่น้ำก็ไปง่ายๆ ?”“ทำไมแกถึงได้มองพี่ในแง่ร้ายขนาด
“ก็เออน่ะสิ” กรกนกหันไปถลึงตาดุๆ ใส่น้องชาย“ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็พอแค่นี้เถอะค่ะ ตอนนี้หนามเข้าใจทุกอย่างแล้ว พี่ว่านกับพี่แตมอย่าเอาเรื่องพี่ตั้มอีกเลยนะคะ พี่เขาคงห่วงว่าหนามจะเสียใจเลยมาเตือนเท่านั้นเอง”ถึงจะไม่พอใจในสิ่งที่กรวิทย์ทำ แต่พอเห็นเขาดูสำนึกผิด แถมยังถูกหมัดลุ่นๆ ของวรภพกับกระเป๋าราคาแพงหูดับของกรกนกกระแทกจนหน้าช้ำไปหมด นวิยาเลยคิดว่าเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว“ก็ได้ นี่ฉันเห็นแก่หนามกับแตมหรอกนะ ไม่งั้นแกได้คุยกับลูกปืนแน่”“ตั้มขอโทษจริงๆ ครับพี่ว่าน ตั้มก็แค่เป็นห่วงกลัวหนามจะเสียใจ” เมื่อรูปการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ กรวิทย์ก็รู้แล้วว่าควรจะยอมรับความจริง แล้วถอยออกมา เพราะระหว่างเขากับนวิยาคงไม่มีทางหวนคืนหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์“เออ แต่อย่าทำอะไรรุ่มร่ามกับหนามอีกแล้วกัน ไม่งั้นอย่าหาว่ากูโหด ไม่ไว้หน้าพี่สาวมึง”กรวิทย์ได้แต่รับคำเสียงอ่อย “ครับพี่ว่าน”“เอาล่ะๆ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว พวกเราก็ไปหาอะไรกินกันเถอะ ขับรถมาตั้งไกล ฉันหิวจะแย่อยู่แล้วเนี่ย” พูดจบกรกนกก็เดินไปทางร้านอาหารโดยไม่รอคนอื่น กรวิทย์ที่ยังทำตัวไม่ค่อยถูกก็เร่งฝีเท้าตามพี่สาวไปสองสามีภรรยาสบประสา
“ไม่จริง นี่หนามรังเกียจพี่ แต่ไม่รังเกียจไอ้ผู้ชายสารเลวที่หลอกใช้หนามอย่างไอ้ว่านเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้” ความโกรธทำให้กรวิทย์ออกแรงหนักขึ้นอีก เขาพยายามจะดึงนวิยาเข้ามากอดจูบ มั่นใจว่าถ้าได้ทำแบบนี้แล้วเธอจะนึกถึงความรู้สึกสมัยที่ยังเป็นแฟนกันอย่างแน่นอนกระทั่งคนที่ทนฟังคำใส่ร้ายป้ายสีจากปากของกรวิทย์อยู่นานก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เจ้าของไร่หนุ่มก้าวเท้าเร็วๆ จนกระทั่งประชิดตัวคนทั้งคู่ก่อนโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง“เฮ้ย! พูดให้มันดีๆ หน่อย ใครหลอกใช้ใครไม่ทราบ”“พะ...พี่ว่าน” กรวิทย์ผงะ ตกใจจนดวงตาเบิกกว้างราวกับเห็นผี“เออ กูเอง” วรภพปราดเข้าไปดึงนวิยาให้ออกมาอยู่ด้านหลังตนเองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะชกเข้าที่ใบหน้าของคนที่บังอาจทำให้เธอเสียใจร้องไห้เต็มแรงจนล้มคว่ำไปกองกับพื้น“โอ๊ย! ไอ้ว่าน! มึงต่อยกู” กรวิทย์รับรู้รสชาติเลือดในปากได้อย่างชัดเจนเริ่มเดือดปุดๆ เขารีบยันตัวลุกขึ้นยืนแล้วมองอีกฝ่ายตาขวาง“กูไม่เอาปืนเป่าหัวมึงกระจุยก็บุญแล้ว ต้องขอบใจพี่มึงโน่นที่ขอไว้” วรภพพูดแล้วประคองนวิยาไปอีกด้าน เปิดทางให้เห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูททันสมัยยืนตัวสั่นด้วยควา
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาหลังจากใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนที่บ้านพักริมธารน้ำตกปรับความเข้าใจกัน วรภพที่งานยุ่ง แต่ก็อยากอยู่ใกล้ๆ เมียจึงกระเตงนวิยาออกมาทำงานด้วย แต่เพราะรู้ว่าเธอเป็นคนขี้ร้อน และผิวบางๆ นั่นก็ถูกแดดเผาจนแสบแดงง่ายเหลือเกิน หากเขามีความจำเป็นต้องออกไปดูงานกลางแจ้ง ก็จะให้เธอรออยู่ที่ห้องทำงานส่วนตัวซึ่งอยู่ในส่วนของรีสอร์ตแต่วันนี้วรภพออกไปนานแล้วก็ยังไม่กลับมา คุณนายไร่องุ่นที่ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันก็นึกเบื่อ เลยออกจากห้องทำงานของสามีแล้วไปเดินเล่นที่สวนด้านนอกเพื่อฆ่าเวลานวิยาเรียนจบบริหารธุรกิจการโรงแรมจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ทว่าจนถึงตอนนี้เธอยังไม่มีโอกาสได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาเลย คิดถึงตรงนี้เธอก็อดนึกเสียดายไม่ได้ คนอุตส่าห์ร่ำเรียนมาหลายปีกลับทำได้เพียงใช้ปริญญาเรียกรอยยิ้มภาคภูมิใจของพ่อแม่ได้อย่างเดียวหลายครั้งนวิยาคิดจะเอ่ยปากขอตำแหน่งงานเล็กๆ ในไร่จากวรภพ แต่กลัวเขาจะมองว่าเธอจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง ครั้นจะขอไปช่วยงานที่บริษัทของพ่อแม่ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะพวกเขาสองคนใช้ชีวิตอยู่ที่โคราช ไม่รู้ว่าปีๆ หนึ่งจะมีโอกาสเข้ากรุงเทพกี่วันกัน“น้องหนาม” เสียงเรียกทุ้มน