"สวัสดีค่ะคุณพ่อ โทรหามุกมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ"
"ต้องให้พ่อมีธุระก่อนใช่ไหม พ่อถึงจะโทรหาลูกได้" "เปล่าหรอกค่ะ""น้ำเสียงตัดเพ้อของผู้เป็นพ่อทำให้เธอถึงกับลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ "มุกลูก วันนี้เลิกงานแล้วลูกเข้ามาหาพ่อที่บ้านใหญ่ด้วยนะ" "แค่นี่ใช้ไหมคะ" "เอ่อคือว่า"เสียงของเจ้าสัวธนินท์เงียบหายไป ก่อนที่จะมีประโยคคำพูดหนึ่งของผู้เป็นพ่อดังเข้ามาในสาย "อย่าทำงานให้หนักมากนะลูก พักผ่อนบ้าง พ่อเป็นห่วง พ่อรักหนูนะลูกปิ่นมุก"ประโยคที่พูดออกมารัว ๆ จนแทนจะฟังไม่ทัน ก่อนที่ปลายสายจะวางสายไป แต่ประโยคเหล่านั้นกลับทำให้คนที่ได้ยินมันถึงกับต้องยิ้มออกมา "หนูก็รักพ่อค่ะ"ดวงตากลมโตมองรูปครอบครัวที่ตั้งอยู่บนหน้าจอ วอลเปเปอร์ รอยยิ้มของเธอที่นาน ๆ ครั้งจะได้ยิ้มออกมาให้ใครได้เห็น กำลังยิ้มให้กับภาพครอบครัวที่อบอุ่นของตัวเอง ก่อนจะวางโทรศัพท์เอาไว้ที่เดิมแล้วหันหน้ามาสนใจกับงานของตัวเองที่ยังค้างเอาไว้ หลังจากที่เลิกงานปิ่นมุกก็รีบเก็บกระเป๋าและข้าวของสำคัญของตัวเองไปใส่ใสรถก่อนที่เธอจะขับออกไป มุ่งหน้าสู้ถนน ตอนเย็นแบบนี้จราจรคงไม่ต้องพูดถึง รถหลายคันต่างจอดติดกันยาวเป้นหางว่าวกว่าจะขับรถมาถึงบ้านของตัวเองก็ใช่เวลานานอยู่พอสมควร รถเบนซ์ธรรมดาไม่ได้หรูหราอะไรมากมายขับเข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหรา แต่ด้านหน้าก็ถูกตกแต่งอย่างงดงามตระการตา รูปปั้นกามเทพแผลงศรที่ต้องอยู่ด้านหน้ามันช่างดึงดูดสายตาของใครหลายต่อหลายคนที่ได้มอง "ลูกมุก แม่คิดถึงหนูที่สุดเลย"ทันทีที่เธอเดินก้าวเข้ามาในบ้าน คุณแม่ยังสาวของเธอก็รีบวิ่งเข้ามากอดด้วยความคิดถึง กลิ่นหอมประจำตัวจากแก้มของลูกสาวทำเอาผู้เป็นแม่พอคลายคิดถึงลงได้บ้าง "หนูก็คิดถึงคุณแม่เหมือนกันค่ะ" "ไม่จริง ถ้าลูกคิดถึงแม่ลูกก็ต้องมาหาแม่บ้าง ไม่ใช่หายหน้าไปแบบนี้นี่ถ้าคุณพ่อไม่โทรเรียกให้ลูกเข้ามาหาลูกก็คงจะไม่มา"ผู้เป็นแม่เอ่ยด้วยทำเสียงติดงอน ที่ลูกสาวเพียงคนเดียวของตัวเธอไม่มีเวลาให็ เพราะวัน ๆ เอาแต่ทำงานหนักจนไม่มีเวลามาหาเธอและสามี "หนูต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะ ที่ไม่มีเวลาให้ช่วงนี้หนูมัวแต่ยุ่งกับการออกแบบเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นใหม่"ปิ่นมุกเดินเข้าไปโอบเอวของผู้เป็นแม่ แก้มนวลที่เติมแต่งเพียงแค่แป้งเด็กอิงซบบนไหล่ของผู้เป็นแม่อย่างออดอ้อน "ไม่ต้องมาอ้อนแม่เลย" "ว่าแต่คุณพ่อโทรเรียกหนูทำไมเหรอคะ คุณแม่พอจะรู้ไหม" "เดี๋ยวลูกก็จะรูัเองว่าคุณพ่อ โทรเรียกให้ลูกมาพบทำไม แต่ถึงอย่างไรคืนนี้ลูกต้องนอนกับแม่นะ" "แล้วคุณแม่ไม่นอนกับคุณพ่อเหรอคะ" "ไม่ล่ะ แม่เบื่อตาแก่อย่างพ่อของลูกเต็มทน"ปิ่นมุกถึงกับอมยิ้มออกมา ถึงแม้ว่าแม่ของเธอจะพูดแบบนี้แต่นั่นก็ไม่ใช่หมายความว่าท่านจะเบื่อคนที่ร่วมใช้ชีวิตกันมาหลายปี สองแม่ลูกเดินเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นก็เจอชายวัยกลางคนที่ดูดีมีภูมิฐานกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาอย่างสะบายใจ เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้คนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสะบายใจหันไปมอง ใบหน้าที่ยังดูเหมือนอายุของคนในวัยหนุ่มแสดงออกมาว่าดีใจมากแต่ไหนที่ได้เห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเดินเคียงคู้กันมากับภรรยาสุดที่รัก "สวัสดีค่ะคุณพ่อ" "มาให้พ่อกอดหน่อยสิลูก"แขนของผู้เป็นพ่ออ้าออกกว้างโอบกอดร่างของลูกสาวเพียงคนเดียวด้วยความคิดถึง "คิดถึงคุณพ่อจังเลยค่ะ" "โกหกคนแก่มันบาปนะ" "คุณพ่ออะ" "หึ ๆ"ผู้เป็นพ่อถึงกับยิ้มขำเมื่อทำให้ลูกสาวคนสวยของตัวเองหน้างอเหมือนปลาทูได้ แต่ไม่ว่าลูกสาวของเขาจะทำสีหน้ายังไง นัยน์สายตาของคนเป็นพ่อลูกก็ยังคงน่ารักสำหรับเขาอยู่เสมอ "ปิ่นมุก"น้ำเสียงเอื้ออาทรเรียกชื่อของบุตรสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า มือหนาที่ผ่านไปตามการเวลากุมมือเรียวเล็กของลูกสาวเอาไว้ "คะคุณพ่อ" "ถ้าพ่ออยากจะขออะไรลูกสักอย่าง ลูกจะทำให้พ่อได้ไหม" "คุณพ่อจะขอให้หนูทำอะไรเหรอคะ" "พ่ออยากให้หนูแต่งงานกับลูกชายของเพื่อนพ่อ"หูของปิ่นมุกดับไปชั่วขณะ ประโยคก่อนหน้ายังคงดังอยู่ในหูของเธอวนซ้ำไปมา ก่อนที่สติของเธอจะกลับมา ดวงตาเรียบนิ่งมองพ่อและแม่ที่นั่งมองมายังตัวเธอ "คุณพ่อช่วยบอกเหตุผลดี ๆ ที่หนูจะต้องแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นให้ได้ฟังสักข้อได้ไหมคะ"สองสามีภรรยาต่างมองหน้ากัน ก่อนที่เจ้าสัวธนินท์นั้นจะเอ่ยปากบอก "ปิ่นมุกลูก อายุของลูกก็ใกล้จะสามสิบแล้ว พ่ออยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ชีวิตของลูกในภายภาคหน้าจะได้มีคนช่วยดูแล"ทุกสิ่งที่ผู้เป็นพ่อเอ่ยมาล้วนเป็นจริงทั้งหมด เขากับภรรยาแก่ลงทุกวัน ๆ ก่อนตายนั้นก็อยากจะได้เห็นลูกสาวเพียงคนเดียวมีชีวิตคู่เป็นฝั่งเป็นฝากับผู้ชายดี ๆ สักคน ซึ่งเขาและภรรยานั้นก็ไม่เห็นว่าใครจะเหมาะสมกับลูกสาวของเขาได้เท่ากับ 'ขุนเขา' ลูกชายของเพื่อนรักอย่างรังสิมันต์ "คุณพ่อกับคุณแม่คิดดีแล้วใช่ไหมคะว่าอยากให้หนูแต่งงาน"ถึงแม้ว่าอยากจะคัดค้านแต่เมื่อได้เห็นสายตาของบิดาและมารดาที่มองมาก็ทำให้เธอไม่กล้าที่จะเอ่ยปาก "แม่กับพ่อคิดดีแล้ว ปิ่นมุกชีวิตนี้แม่กับพ่อไม่เคยขออะไรหนูเลยสักครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกหนูพอจะทำเพื่อแม่และพ่อได้ไหมลูก"ปิ่นมุกหันหน้าไปมองมารดาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ก่อนที่จะหันหน้ามามองบิดาที่นั่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาของท่านทั้งคู่มันเต็มไปด้วยความเป็นห่วง และความหวังดีอยู่ในนั่น ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านทั้งสองไม่เคยขอร้องอะไรเธอเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้ท่านทั้งสองกลับขอร้องเธอ แล้วแบบนี้จะให้เธอปฎิเสธยังไงได้ล่ะ "ค่ะ หนูจะแต่งงานตามที่พ่อกับแม่ต้องการ""พี่จัดการตามที่เห็นสมควรได้เลยครับ" "แกไม่ติดใจอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแล้วแน่นะ"ปลายสายถามอย่างต้องการความแน่ใจ "หึ ไม่แล้วล่ะครับ ผู้หญิงแบบนั้นผมคงไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อนร่วมโลกแล้วล่ะครับ"นัยน์ตาอ่อนแสงมองแผ่นหลังขาวนวลของผู้เป็นภรรยา ริมฝีปากหยักหนาขยับพูดกับคนในที่อยู่ในสายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก "แกใจเด็ดมากเลยรู้ไหมขุนเขา ฉันล่ะยอมรับในตัวของแกจริง ๆ " "อะไรที่ทำให้พี่คิดแบบนั้นครับ"ดวงตาคมกริบยังคงทอดมองไปยังร่างอุ้ยอ้ายของภรรยาที่กำลังอุ้มท้องลูกชายวัยเจ็ดเดือนของเขาอยู่ ใบหน้าสวยของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานเมื่อได้ออกมาเที่ยวพักผ่อนหลังจากนอนอุดอู้อยู่แต่บ้านเพราะด้วยอาการแพ้ท้องมาหลายเดือน สองเท้าเรียวเล็กถูกสวมด้วยรองเท้าแตะสีเดียวเข้ากับชุดคลุมสีขาวเดินก้าวไปตามหาดทายสีขาว ด้านหน้าของเธอนั้นคือท้องทะเลสีครามกับบรรยากาศในช่วงเย็น และอีกไม่กี่นาทีดวงตะวันก็คงจะลาลับขอบฟ้าก่อนจะเปลี่ยนท้องฟ้าให้เป็นแสงจันทราแทน "ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นก็คงยังมีความรู้สึกดี ๆ หลงเหลือให้กับแฟนเก่าอยู่บ้าง" "ความรู้สึกพวกนั้นมันตายจากผมไปหมดแล้วครับ ตั้งแต่เรื่องที่เ
ความเงียบยังคงปกคลุมภายในห้องรับแขกเมื่อทั้งสองครอบครัวต่างนั่งมองหน้าสบตากันด้วยความหนักใจ เห็นแต่จะมีเพียงขุนเขาคนเดียวที่นั่งกระสับกระส่ายอย่างคนร้อนรุ่มอยู่ในใจ "ทุกคนเงียบกันทำไมครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มีความคิดที่จะหย่ากับปิ่นเลยสักนิด ทุกคนก็รู้ ปิ่นเองก็รู้ดีว่าผมรักปิ่น"แววตาของเขาฉายแววแน่วแน่ยามเมื่อลอบมองเธอ "ขุนเขา ใจเย็น ๆ แล้วฟังหนูปิ่นพูดก่อนนะลูก" "เมียกำลังจะขอหย่าจะให้ผมใจเย็นได้ยังไงครับแม่"คุณหญิงกิ่งกาญจน์ถึงกับมีสีหน้าหนักใจ ไม่รู้วันนี้ลูกชายของตัวเองไปกินอะไรผิดสำแดงมา ถึงค้านหัวชนฝาไม่ฟังความอะไรเลย "ไอ้ขุน พ่อว่าแกใจเย็น ๆ ตามที่แม่แกบอกก่อนนะ แกเงียบปากให้หนูปิ่นได้พูดอะไรบ้าง แกเอาแต่แหกปากโวยวายแล้วหนูปิ่นจะมีโอกาสพูดได้อย่างไร" "พ่อไม่เป็นผมพ่อไม่เข้าใจหรอกว่าการที่จะต้องถูกเมียทิ้งมันเจ็บปวดขนาดไหน" "เห้อ อาการหนักแล้วลูกกู"เจ้าสัวรังสิมันต์ถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการคิดเองเออเองของเจ้าลูกชาย "ขุนเขาลูก นั่งลงก่อนนะคะเด็กดี"คำพูดเปรียบดั่งสายน้ำเย็นเฉียบของคุณหญิงเพียงเพ็ญทำเอาคนเจ้าอารมณ์เริ่มสงบนิ่งลง เธอรู้ดีว่าการ
คำบอกรักในคืนวันนั้นก่อเกิดเป็นความรักอันแสนเปี่ยมล้นในวันนี้ ช่วงเวลาชั่งพัดผ่านไปเร็วเสียจริง ๆ แต่ก็นั่นเถอะความรักของทั้งเขาและเธอก็ยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ความกังวลหายไปจากใจเมื่อความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายถูกเปิดเผยกันออกมาอย่างหมดเปลือก ความรู้สึกของทั้งคู่ที่คิดตรงต่อกันนั้นมันทำให้ทั้งสองเปิดใจศึกษาเรียนรู้การใช้ชีวิตคู่มากยิ่งขึ้น ดวงตากลมโตมองแท่งสีขาวที่อยู่ในมือ ไออุ่นไร้รูปร่างที่ไม่อาจจะบรรยายได้เอ่อล้นขึ้นมาเติมหัวใจทีละเล็ก ขีดสีแดงสองขีดนั้นมันทำให้คนที่กำลังจะได้เป็นแม่ถึงกับน้ำตาเอ่อคลอ ฝ่ามือเรียวเล็กอันสั่นเทาค่อย ๆ ยกขึ้นมาวางนาบบนหน้าท้องแบบราบซึ่งตอนนี้กำลังมีเจ้าก้อนความรักของเธออยู่ในนั้น หลังจากความเลวร้ายผ่านพ้นไป ชีวิตเธอก็เปรียบเหมือนเจ้าหญิงในนิยายที่มีเจ้าชายคอยดูแลเป็นอย่างดี ใครเล่าจะคิดว่าผู้ชายไม่เอาไหนอย่างขุนเขา จะเข้าไปบริหารงานในบริษัทจนทำให้ตอนนี้ตนเองเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการและผู้บริหารคนอื่น ๆ เมื่อเขาสามารถทำให้มูลค่าของกำไรไตรมาสของปีนี้เพิ่มขึ้นได้อีกเท่าตัว นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง สร้างความภูมิใจให้กับเจ้าสัวรังสิมันต์แ
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ห้ะ แล้วนี่พี่มาเมืองไทยเมื่อไหร่ทำไมไม่บอกผม"ฝ่ามือหนายกขึ้นมาเท้าสะเอว น้ำเสียงติดเข้มเอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องของตัวเองที่ยืนเก๊กหล่อจิบเหล้าอย่างสบายใจ "ก็แค่มาพักผ่อน อีกสองสามวันเดี๋ยวก็กลับ" "อย่ามาโกหก คนที่มีงานกองเป็นภูเขาจนท่วมหัวอย่างพี่น่ะหรือจะมีเวลามาพักผ่อน"ดวงตาคมกริบมองพี่ชายด้วยสายตาจับผิด คนอย่างเซบาสเตียนเจ้าพ่อมาเฟียนะหรือมีเวลาว่างมาพักผ่อนถึงเมืองไทย ใครจะไปเชื่อลง "ตั้งแต่มีเมียรู้สึกว่าแกฉลาดมากขึ้นเลยนะขุนเขา" "นี่พี่คงไม่กำลังหลอกด่าผมอยู่ใช่หรือเปล่า" "ก็แล้วแต่แกจะคิด"เซบาสเตียนยกไหล่ทั้งสองข้าง ฝ่าเท้าใหญ่ก้าวมายังโซฟาสีขาวตรงกลางห้อง ร่างกำยำกระแทกตัวนั่งลงจิบเหล้าในแก้วอย่างสบายใจ ต่างจากน้องชายอีกคนที่ยืนมองเขาหน้าตูม "พี่ใช่ไหมที่เป็นคนส่งข้อความบ้า ๆ นั่นไปหาผม" "ใช่ ฉันเป็นคนส่งไปเอง"คำตอบของเซบาสเตียนทำเอาอารมณ์ของขุนเขาเดือดพล่าน ขายาว ๆ ทั้งสองข้างก้าวมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาโกรธเคืองอย่างถึงขีดสุด มือที่ถือปืนถึงกับเกิดอาการสั่นจนทำเขาต้องควบคุมมันเอาไว้ "แล้วตอนนี้เมียผมอยู่ที่ไหน พี่ได้ทำอะไรเธอหรือเปล่า" "แ
"พวกโง่ แค่เมียกูคนเดียวยังไม่มีปัญญาหาเจอ"ใบหน้าสง่างามของขุนเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย แววตาเกรี้ยวกราดกวาดมองลูกน้องของตัวเองที่เรียงแถวยืนก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา ภายในห้องรับแขกชั่งร้อนระอุดังกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ เหล่าลูกน้องแทบจะก้มหน้าจนติดกับพื้น เมื่อเจ้านายตัวเองมองพวกเขาราวกับจะฉีกออกเป็นชิ้น ๆ "พวกผมขอโทษครับนาย แต่แถวนั้นมืดมากเราไม่สามารถเห็นรถต้องสงสัยหรือว่าสิ่งที่น่าเป็นพิรุธได้เลยครับ" "ดึกแบบนั้นมันจะมีรถกี่คันวิ่งออกจากโรงแรมล่ะไอ้พวกโง่ ไปเลยนะพวกมึงไปตามหาตัวของเมียกูให้เจอ ถ้าพวกมึงไม่เจอก็อย่ากลับมาให้กูเห็นหน้าอีก"สีหน้าดุร้ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของเราลูกน้อง ทำเอาการ์ดนับสิบต้องรีบวิ่งออกไปจากห้องรับแขก "ไอ้พวกโง่"ร่างหนาใหญ่กระแทกตัวลงนั่งลงบนโซฟาอย่างกลัดกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าเมียของเขาหายตัวไปไหน เดินกลับมาที่รถก็เห็นข้าวของมากมายหล่นกระจายอยู่ข้างรถ ไร้วี่แววของคนเป็นภรรยา ในใจมันร้อนรุ่มกลัวว่าอีกคนจะเป็นอะไรหรือจะได้รับอันตราย จนต้องเกณฑ์ลูกน้องออกตามหา แต่มันก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน เพราะมุมจอดรถของเขากล้องวงจรปิดดันมาเสีย แถมลานจอดรถตอนนั้นยังไร้
ย้อนกลับไป ยามรุ่งเช้าของวันเดียวกัน ณ โกดังท่าเรือส่งสินค้า ของ ตระกูล สุริยะศิวา ซ่า น้ำสีขุนถังใหญ่ถูกสาดลงไปบนร่างเย้ายวนของคนหลับใหลอยู่บนพื้น ความเย็นบวกกับกลิ่นเหม็นทำให้คนที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ กรี๊ด "อ๊าย นี่มันอะไรกับเนี่ย ไอ้พวกบ้าพวกแกเล่นอะไรกัน"เสียงกรีดร้องโวยวายตามเมื่อได้ลืมตาตื่น ร่างเปียกปอนลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบากเพราะว่ามือทั้งสองข้างถูกจับไขว้หลังมัดติดกันเอาไว้ กรี๊ด "นี่มันอะไรกัน พวกแกมันฉันไว้ทำไม แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ"น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดใส่ชายชุดดำร่างใหญ่ ซึ่งเธอจำได้ว่าคนพวกนี้เป็นลูกน้องของเซบาสเตียน "เซบาสเตียน คุณอยู่ที่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ"นี่เขาต้องการเล่นบ้าอะไรกันทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่าหลังจากได้ตัวของปิ่นมุกก็จะปล่อยเธอไป "จะเสียงดังไปทำไมกัน ไม่เจ็บคอหรือไง" "นี่คุณกำลังเล่นตลกอะไรกับฉันอยู่ แก้มัดฉันเดี๋ยวนี้เลยนะเซบาสเตียน"ดวงตาดุร้ายจ้องมองไปยังชายร่างกำยำที่เดินออกมาจากมุมมืด แววตาดุร้ายแฝงไปด้วยความอำมหิตโหดเหี้ยมมันทำให้คนแหกปากร้องในตอนแรกสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว แววตานี้มันเหมือนกับแววตาที่เขาให้มอ