หลังจากสินค้าถูกขายหมดเกลี้ยงแผงภายในเวลาอันรวดเร็ว จางซิ่วอิงจึงพับเก็บผ้าปูไว้ในกระเป๋าผ้าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินดูสินค้าอื่นที่ขายอยู่ภายในตลาดมืดแห่งนี้สักเล็กน้อยแล้วเดินออกมา
ร่างบางเดินตรงไปยังร้านขายผ้าที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ เสื้อผ้าสำเร็จรูปรวมถึงผ้าม้วนมากมายวางเรียงรายละลานตาเต็มไปหมด
“สวัสดีค่ะ ฉันมาดูชุดสำเร็จรูปสักสองชุด พอจะแนะนำให้ได้หรือไม่คะ?”เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เปล่งออกไปไม่ดังไม่เบา ทั้งใบหน้าของหญิงสาวยังค่อนข้างเป็นมิตรไม่ต่างจากตอนขายของในตลาดมืด ไม่มีคำไหนที่เธอพูดไม่ดีกับพนักงานคนนี้ด้วยซ้ำ เธอมั่นใจ
แต่ทว่าคำตอบที่ได้รับจากพนักงานของร้านและท่าทางเหยียดหยามของพนักงานที่มีต่อเธอนั้นทำให้จางซิ่วอิงกรุ่นโกรธจนแทบพ่นไฟออกมาเผาหญิงร่างใหญ่ตรงหน้าให้มอดไหม้
“นั่นน่ะ! ดูเอาสิ!!!”พนักงานร่างท้วมตอบค่อนข้างห้วน ขณะนิ้วเรียวชี้มั่ว ๆ ไปยังกองผ้าที่อยู่มุมในสุดของร้าน สายตาที่มองหญิงสาวชาวบ้านชนบทนั้นไม่ได้มีความยินดีอยู่แม้แต่น้อย ยิ่งเห็นเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่เธอใส่ยิ่งรู้สึกรังเกียจ
จางซิ่วอิงพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออก เพราะเธอก็พอเข้าใจได้ว่าเธออยู่ในชุดที่ออกจะเก่าทั้งยังปะชุนอยู่หลายจุด พนักงานคงกลัวว่าเธอจะมาดูเล่น ๆ แล้วไม่ซื้อก็ได้ จึงตอบรับกลับไปอย่างสุภาพเช่นเคย “ค่ะ ขอเลือกสักครู่นะคะ”
หญิงสาวเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของร้าน ที่มีกองผ้าสีไม่สดใสเท่าใดนักกองสุมกันอยู่ ไม่ได้มีการพับให้เรียบร้อยน่าซื้อแต่อย่างใด แต่จนแล้วจนรอดเธอยืนเลือกเสื้อผ้าอยู่นานก็ยังไม่ถูกใจ เพราะเนื้อผ้าแต่ละตัวนั้นค่อนข้างหยาบ และคงใส่ไม่สบายตัวอย่างแน่นอน
สามีของเธอทำงานเป็นทหาร เขาเสียสละร่างกายเพื่อให้ภรรยาอย่างเธอได้อยู่สบาย พอเขากลับมาก็อยากให้เขาอยู่ในที่ดี ๆ ทานอาหารอร่อย ใส่เสื้อผ้าใหม่เนื้อดีให้สบายกายสักหน่อย เป็นการตอบแทน
“ไม่ทราบว่ามีที่เนื้อผ้าดีกว่านี้สักหน่อยหรือเปล่าคะ? คือฉันคิดว่า…”
ยังไม่ทันที่จางซิ่วอิงจะกล่าวจบประโยค พนักงานกลับโต้ตอบเธอขึ้นมาด้วยเสียงที่ดัดจนแหลมเล็กที่ดังไปทั่วทั้งร้าน จนลูกค้าที่เลือกอยู่มุมอื่น ๆ ให้ความสนใจ และกลายเป็นจุดรวมสายตาภายในเวลาอันรวดเร็ว
“โอ๊ยนี่หล่อน!! ผ้าเกรดต่ำพวกนั้นน่ะเหมาะกับหล่อนที่สุดแล้วจ๊ะ! จะอยากดูผ้าเนื้อดีไปทำไมกัน ในเมื่อก็ไม่รู้จะมีปัญญาซื้อหรือเปล่าน่ะ!!”
เธอพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย สายตาที่มองลูกค้าหญิงชนบทจน ๆ ตรงหน้านั้นดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง ปากหนาทาเคลือบด้วยชาดสีแดงฉานบิดยิ้มร้ายก่อนจะเบะปากด้วยความรังเกียจลูกค้าจน ๆ ที่เอาแต่ถามนั่นนี่ไม่เลิก
จางซิ่วอิงสูดหายใจเข้าลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอไม่อยากตัดสินร้านนี้เพราะแค่พนักงานต่ำตมเพียงแค่คนเดียว จึงต้องการพูดคุยกับคนดูแลร้านสักหน่อย อย่างไรเธอเชื่อว่าเธอคงไม่ใช่ลูกค้าคนแรกที่โดนดูถูกดูแคลนเช่นนี้
“ค่ะ!! ฉันขอคุยกับผู้จัดการร้านด้วยค่ะ”แม้น้ำเสียงของหญิงสาวจะไม่ได้เป็นมิตรอย่างในตอนแรก แต่ก็นับว่ายังคงความสุภาพไว้อยู่มากทีเดียว
“ฉันนี่แหละ!! ผู้จัดการร้านที่หล่อนถามหา น้ำหน้าอย่างหล่อนลำพังเสื้อผ้าเกรดต่ำราคาถูกกองนั้นยังไม่แน่ว่าจะมีปัญญาซื้อ แล้วจะถามหาที่ดีกว่านี้อีก คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ห๊า!!”
ร่างอวบอัดของผู้จัดการร้านวัยสามสิบสองยืนประจัญหน้ากับลูกค้าเรื่องมากอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัว สองมือกอดอกเชิดหน้าขึ้นอย่างเหนือกว่า ปรายตามองร่างผ่ายผอมราวกับขาดสารอาหารอย่างดูถูก
ก็แค่นังบ้านนอกคนหนึ่ง จะมีปัญญาซื้อสักกี่ตัวกันเชียว ชิ!
“เหอะ! ฉันก็เป็นลูกค้าธรรมดาคนหนึ่งนี่ล่ะค่ะ และดูจากท่าทางของผู้จัดการร้านแล้ว ฉันคิดว่าฉันควรไปซื้อร้านที่เขาเต็มใจขายและไม่มีผู้จัดการร้านมารยาททรามแบบร้านนี้จะดีกว่า”
ร่างบางพูดตอบเสียงสั่นเครือ ดวงตาจ้องเขม็งด้วยความกรุ่นโกรธในกายอัดแน่นจนแทบระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ สายตาหลายคู่ที่มองมายังจุดที่เธอยืนอยู่ทำให้จางซิ่วอิงพยายามระงับอารมณ์ ไม่เดินไปตบนางมนุษย์ป้าหน้าเมือกนี่
พลันคิดในใจว่าหากเหตุการณ์นี้เกิดในยุคของเธอ สาวสองเลือดนักสู้อย่างลมหนาวไม่มีทางปล่อยให้คนปากแบบนี้มาตวาดเธอได้อยู่สงบสุขแน่ เห็นทีต้องได้ตบตีกันสักยกแน่นอน แต่ด้วยกฎหมายในตอนนี้เป็นเหตุให้ลมหนาวในร่างของหญิงชนบทร่างผอมบางจำต้องกลืนความกรุ่นโกรธลงท้องไปให้หมด
แม้จางซิ่วอิงรู้สึกไม่พอใจอย่างถึงที่สุดแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรไปมากกว่านี้ มารยาททรามขนาดนี้เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าร้านนี้จะใหญ่โตได้อีกนานแค่ไหน คิดเพียงเท่านั้นร่างบางจึงเดินสะบัดหน้าออกมา ก่อนจะเดินต่อไปอีกราวยี่สิบเมตรก็เจอร้านผ้าขนาดเล็กที่ไม่ค่อยมีคนสนใจมากนัก
ที่นี่เป็นร้านเล็กที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ค่อนข้างอับสายตา ภายในร้านมีพนักงานชายหนึ่งคนที่กำลังเคลื่อนย้ายม้วนผ้าขนาดใหญ่ กับพนักงานสาวที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ กำลังง่วนอยู่กับการจัดเรียงสินค้าอยู่
จางซิ่วอิงจึงเดินเข้าไปยังด้านหนึ่งของร้านที่มีเสื้อผ้าสำเร็จรูปวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แม้จะมีแบบที่ค่อนข้างล้าสมัยและตัวเลือกน้อยกว่าร้านใหญ่เมื่อครู่ แต่ก็นับว่าการจัดเรียงอย่างใส่ใจของร้านนี้ดึงดูดความสนใจจากร่างบางได้มากทีเดียว
ในขณะที่มือเรียวกำลังลูบเนื้อผ้าอยู่นั้น หญิงสาวที่กำลังจัดสินค้าอยู่อีกด้านก็เดินเข้ามาหาลูกค้ารายแรกของวันพลางเริ่มบทสนทนาอย่างกระตือรือร้น
“สวัสดีค่ะ ต้องการเสื้อผ้าสำเร็จรูปแบบไหน สอบถามได้นะคะ”
เสียงใสทั้งสุภาพและอ่อนน้อมแตกต่างจากที่เจอมาก่อนหน้านี้ทำให้อารมณ์ของลูกค้าสาวค่อย ๆ สงบลง จางซิ่วอิงหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของน้ำเสียงเป็นมิตรนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนไม่ต่างกัน
“คุณคือเถ้าแก่เนี๊ยเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ ฉันพึ่งมารับช่วงต่อร้านนี้จากคุณแม่ได้เพียงเดือนเดียว บางอย่างในร้านอาจจะยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนัก หากหาอะไรไม่เจอก็สอบถามฉันก่อนได้เลยนะคะ”พูดจบไม่ลืมส่งยิ้มให้ลูกค้าอย่างที่ได้รับสั่งสอนมา
เป็นเพราะปัญหาสุขภาพของคุณแม่ เธอจึงต้องมารับช่วงต่อทันทีหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย โดยนับตั้งแต่วันแรกเธอต้องเรียนรู้เองทุกอย่าง แม้ผู้เป็นมารดาจะคอยให้คำปรึกษา แต่หญิงสาวคิดว่าหากมีมารดามาคอยสอนงานอย่างใกล้ชิด บางทีเธออาจจะทำได้ดีกว่านี้ก็เป็นได้
“เลือกก่อนได้เลยนะคะ เสื้อผ้าทุกชิ้นสามารถลองก่อนได้ และหากซื้อเยอะฉันลดให้พิเศษเลยล่ะค่ะ”เยว่ผิงอันกล่าวต่อพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้กับลูกค้า คำพูดต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่แม่เธอสั่งสอนและกำชับให้เธอปฎิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังไม่มีลูกค้าเพิ่มขึ้นเสียที จนทุนที่มีเริ่มร่อยหรอเต็มที และเธอเองก็เริ่มท้อแท้แล้วเช่นกัน
จางซิ่วอิงยิ้มรับอย่างพึงพอใจ ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบกายครั้งหนึ่ง ร้านนี้ต่อให้อยู่ในทำเลไม่โดดเด่น แต่ทว่าร้านกลับสะอาดสะอ้าน สินค้าเรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อยน่าซื้อหาทั้งที่มีคนดูแลร้านอยู่แค่สองคน แถมเจ้าของร้านยังปฎิบัติกับลูกค้าเป็นอย่างดี ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจที่เธอเห็นแค่หญิสาวจากชนบท
พลันปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นบนใบหน้าของจางซิ่วอิงในทันที
“คุณอยากขายดีหรือเปล่า?”
“ก็ต้องอยากสิคะ”เยว่ผิงอันแม้จะแปลกใจไม่น้อย แต่ก็ยอมรับไปตามตรงอย่างไม่ลังเล ทำการค้าใครบ้างไม่อยากขายดี
“ถ้าอย่างนั้นฉันมีสินค้ามาให้คุณขายค่ะ ช่วงแรกฉันจะฝากวางขายก่อนและแบ่งให้คุณยี่สิบเปอร์เซ็น ขายได้ก็ค่อยเอาเงินมาให้ฉัน”
ขณะพูดใบหน้าได้รูปกลับมารอยยิ้มมั่นใจอยู่เสมอ แววตาของหญิงสาวนั้นทอประกายมุ่งมั่นกว่าครั้งไหน
“แล้วสินค้าที่ว่านั่นคือ…”เธอจำเป็นต้องรู้เสียก่อน เพื่อจะได้ตัดสินใจถูก
แต่ทว่าจางซิ่วอิงเลือกที่จะไม่ตอบอีกฝ่ายไปตามตรง เพราะเธอต้องขอกลับไปดูของในมิติก่อนว่าพร้อมนำออกมาขายจำนวนมากหรือไม่ เธอจำต้องคัดสินค้าเพื่อไม่ให้ดูล้ำสมัยมากเกินไป
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเอามาให้คุณดูค่ะ ส่วนคุณพอใจจะรับหรือไม่ก็ค่อยตกลงกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ก็ไม่สาย คุณเห็นว่าอย่างไรคะ?”
“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ ตกลง ฉันชื่อผิงอัน แซ่เยว่ค่ะ”หญิงสาวหัวสมัยใหม่อย่างเยว่ผิงอันไม่รอช้า ยื่นมือไปตรงหน้าเพื่อทำความรู้จักหญิงสาวที่อาจจะเป็นหุ้นส่วนธุรกิจในวันข้างหน้าของเธอ ซึ่งเยว่ผิงอันนั้นรู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวอย่างบอกไม่ถูกยิ่งได้เห็นรอยยิ้มและแววตาทอประกายนั่น เธอยิ่งรู้สึกอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็ว ๆ เสียแล้ว
“ฉันจางซิ่วอิงค่ะ อายุสิบหก”จางซิ่วอิงยื่นมือที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกไปจับมือนิ่มตรงหน้า เธอไม่รู้หรอกว่าปกติคนที่นี่แนะนำตัวกันอย่างไร แต่เธอเลือกที่จะบอกอายุก่อนเพื่อจะได้เรียกถูก
“อ่า อย่างนั้นเธอต้องเรียกฉันว่าพี่เยว่ล่ะสิ”
เยว่ผิงอันปีนี้อายุยี่สิบสี่ปีแล้ว ซึ่งจะนับว่าเป็นสาวเทื้อก็ไม่ผิดนัก แต่เธอคิดว่าหากมีการศึกษาที่ดีและสองมือที่ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้ การมีสามีก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น อีกอย่างเธอยังไม่เจอผู้ชายที่ดีพอน่ะสิ
“ยินดีค่ะ พี่สาวเยว่”
จางซิ่วอิงยิ้มหว้างจนตาหยีให้กับพี่สาวคนใหม่ ก่อนจะขอตัวเดินเลือกเสื้อผ้าที่ต้องการ เธอเลือกเสื้อผ้าคุณภาพปานกลางที่ค่อนข้างหนาหน่อย เพราะอีกไม่นานก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ซึ่งมีของเธอสองชุด และของสามีอีกสองชุดซึ่งกะขนาดเอาจากความทรงจำเลือนราง ก่อนจะจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้านไปอย่างอารมณ์ดี เมื่อนึกถึงสิ่งที่จะทำในวันพรุ่งนี้ก็รู้สึกอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก
ภายในบ้านหลังสีขาวขนาดกลางในย่านการค้าสำคัญ เสียงหัวเราะพูดคุยของคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน ช่วยทำให้บรรยาของบ้านหลังนี้ดูอบอุ่นไม่น้อยในช่วงเช้าอากาศสดใสจางซิ่วยืนมองหน้าท้องที่เริ่มนูนเล็กน้อยของตนเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ใบหน้าเอิบอิ่มของคุณแม่ยังสาวนับวันยิ่งสวยขึ้นจนผิดหูผิดตาตอนนี้เธอตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว หลังจากที่เจ้าสองแสบเข้าโรงเรียนได้ไม่นาน สามีอย่างหยางซีห่าวที่ขยันบอกรักภรรยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ขยันมากขึ้นอีกหลายเท่า จนผ่านไปสองเดือนเจ้าหัวผักกาดหัวที่สามก็ถือกำเนิดขึ้นมาในท้องของเธอในที่สุด“ผมต้องไปแล้วครับ คุณก็อย่าหักโหมนะครับ ผมเป็นห่วง”ชายหนุ่มเอ่ยเตือนภรรยาประโยคเดิมเช่นทุกวัน น้ำเสียงนุ่มทุ้มฟังดูอบอุ่น ทั้งแววตาที่มองภรรยานั้นอ่อนโยนกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นไหน ๆเพราะภรรยาของเขานั้นขึ้นชื่อเรื่องความขยันขันแข็ง ในแต่ละวันเธอทั้งทำงานนอกบ้าน ทำอาหาร เลี้ยงลูก
จางซิ่วอิงยังต้องอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งก็ทำให้ลูกน้อยทั้งสองต้องอยู่กับเธอด้วย หยางซีห่าวก็เช่นกัน เขาทำเรื่องลางานถึงหนึ่งเดือนเพื่อมาดูแลภรรยาและลูกน้อยทั้งสองด้วยตนเอง“เด็ก ๆ ป้ามาแล้ววววว!!”เยว่ผิงอันส่งเสียงเรียกหลานทั้งสองก่อนที่ตัวเองจะเข้ามาในห้องเสียอีก เธอเข้ามาเยี่ยมหลาน ๆ พร้อมกับสามีที่ถือของพะรุงพะรังตามหลังมาจางซิ่วอิงยิ้มให้กับคนเห่อหลานทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะให้สามีรับข้าวของเหล่านั้นและนำไปเก็บไว้ก่อน“ผมฝากดูแลเธอและเด็ก ๆ ด้วยนะครับ แล้วผมจะรีบกลับมา”หยางซีห่าวพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล วันนี้เขากับพี่ภรรยามีธุระที่ต้องไปสะสางจึงต้องฝากเธอกับลูกไว้กับพี่สะไภ้เสียก่อนจางซิ่วอิงยังไม่หายดีนัก ส่วนลูกทั้งสองแม้จะเป็นเด็กเลี้ยงง่ายแต่การมีคนคอยช่วยเหลือย่อมดีกว่า เขาไม่อยากให้ภรรยาเหนื่อยจนเกินไป“ไปจัดการ
สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านร่างโปร่งแสงไปอย่างแรงจนผมยาวพลิ้วไสวไปตามแรงลม จางซิ่วอิงเผยรอยยิ้มยินดีออกมาในทันที เธอเข้าใจว่าคุณยายรับรู้ความปรารถนาของเธอแล้วจึงเอ่ยพรข้อที่สามออกไป“พรข้อสุดท้ายฉันขอให้ฉันและลูก ๆ ปลอดภัยค่ะ ขอโอกาสให้ฉันได้คลอดพวกเขา ให้พวกเขาได้ออกมาใช้ชีวิตบนโลกอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ”คำอ้อนวอนปนเสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาวลอยหายไปตามสายลม ก่อนจะได้รับรู้ได้ถึงลมอีกระลอกหนึ่งพัดผ่านร่างของเธอไปอย่างรวดเร็ว สายลมแรงนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหนาวเหน็บ แต่ทว่ากลับทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่โอบรอบตัวเธอเอาไว้ต่างหาก“พรของหล่อนถูกใช้หมดแล้วนะ ต่อจากนี้ยายขอให้หล่อนมีชีวิตที่ดี”เสียงของหญิงชราดังแว่วอยู่ไกล ๆ จางซิ่วอิงพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ก็ไม่พบ ทว่าเมื่อมองไปยังหน้าห้องคลอดที่มีร่างของเธอนอนนิ่งอยู่ กลับเห็นเด็กชายหญิงหน้าตาน่ารักยืนยิ้มแฉ่งให้เธออยู่
ซ่งเฟยหลงประกาศกร้าวพร้อมยกปืนขึ้นเล็งไปยังผู้ก่อเหตุทั้งหมด อันธพาลสี่คนที่ถูกจ้างมาให้คอยช่วยเหลือหวงไฉ่หง เมื่อเห็นชายในชุดเครื่องแบบทหารพร้อมปืนก็หวาดกลัวจนต้องยกมือขึ้นเหนือหัว ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นตามคำสั่ง แม้แต่หวงไฉ่หงเองที่เป็นเพียงชาวบ้านชนบทมีหรือจะกล้าขัดขืนพันโทซ่งเฟยหลงย้ายมาประจำการที่นี่ในวันนี้ซึ่งเขาไปรายงานตัววันแรก พอเรียบร้อยแล้วก็เจอเข้ากับลูกน้องเก่าอย่างหยางซีห่าวกำลังออกจากค่ายพอดี เขาจึงขอติดรถออกมาด้วยเพื่อหาบ้านพักชั่วคราว ระหว่างรอทำเรื่องขอบ้านพักสวัสดิการ ซึ่งหยางซีห่าวก็รับปากว่าจะพาไปดูบ้านพัก แต่ขอไปรับภรรยาที่กำลังท้องแก่เสียก่อน แต่เมื่อรถเข้ามาจอดภาพเหตุการณ์อุกฉกรรจ์นี้ก็ทำให้เขาต้องเร่งฝีเท้าวิ่งมาจากรถที่จอดอยู่อีกด้านทว่าจากที่ซ่งเฟยหลงคิดว่าเป็นเหตุการณ์ของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปคงไม่ใช่แล้ว เพราะลูกน้องอย่างหยางซีห่าวรีบวิ่งไปประคองหญิงท้องแก่ พร้อมตะโกนเรียกชื่อภรรยาดังลั่น“ซิ่วอิง ภรรยา!”
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรจางซิ่วอิงก็อุ้มท้องเจ้าหัวผักกาดมาได้จนถึงแปดเดือนแล้ว เพราะขนาดท้องที่ใหญ่กว่าปกติของคุณแม่ลูกแฝดทำให้การเดินเหินค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบากโดยปกติแล้วการมาทำงานของจางซิ่วอิงจะต้องมีพี่ชายหรือสามีอยู่ด้วยเพื่อคอยระมัดระวังหากเกิดเหตุไม่คาดคิด แต่ทว่าเมื่อวานโรงงานผลไม้กระป๋องของเธอที่อยู่ต่างเมืองมีปัญหาพี่ชายอย่างจ้าวคุนจึงรับอาสาไปดูแทนส่วนสามีนั้นติดภารกิจตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอันที่จริงเขาทำภารกิจนี้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวาน แต่ต้องอยู่ต่ออีกนิดเพื่อทำเรื่องลาหยุดงานมาดูแลเธอจนกระทั่งคลอด ซึ่งคนเป็นภรรยาเองก็เข้าใจและไม่ได้เร่งรัดอะไรจากคนเป็นสามี เพราะอย่างไรวันนี้เธอก็ตั้งใจจะมาทำงานวันสุดท้ายอยู่แล้ว ท้องเธอโตมากและใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว การเดินทางไปทำงานคงไม่สะดวกนัก หลังจากนี้จึงตั้งใจว่าจะให้พี่สะไภ้เอางานส่วนของเธอมาให้ที่บ้านแทนจางซิ่วอิงเดินไปยังลานจอดรถโดยมีพี่สะไภ้คอยประคองอย
“ฉุนเหรอคะ?” คำพูดของเจ้านายสาวทำเอาแม่บ้านซุนคิดหนัก หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปม พยายามนึกถึงอาหารแต่ล่ะจานว่าเธอทำผิดพลาดที่ตรงไหนกัน มีส่วนผสมอะไรที่ผิดแปลกหรือพิศดารจึงได้ทำให้เจ้านายอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุงเช่นนี้“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่ได้ว่าอาหารของป้าซุนไม่ดี แต่ว่าฉันได้กลิ่นแล้วรู้สึกเวียนหัวมากจริง ๆ”หญิงสาวกล่าวขอโทษแม่บ้านทั้งน้ำตาคลอหน่วย เธอเห็นแก่ความทุ่มเทของป้าซุนที่พยายามรังสรรอาหารหลากหลายอย่างเพื่อเอาใจเธอ แต่กลิ่นแบบนั้นเธอไม่สามารถทนได้จริง ๆแม่บ้านวัยกลางคนได้รับคำยืนยันเช่นนั้นก็คิดหนัก แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เห็นทีฝีมือการทำอาหารของเธอคงตกเสียแล้ว พลันวิ่งเข้าไปเตรียมยาดมและยาหอมมาให้กับเจ้านายเพื่อบรรเทาอาการเยว่ผิงอันที่ยืนอยู่ข้างกันกับคู่หมั้นหนุ่มพอฟังอยู่ไม่ไกลนั้นรู้สึกแปลกใจกับน้องสาวขึ้นมาในทันที อาหารบนโต๊ะนั้นแน่นอนว่าล้วนเป็นอาหารอย่างดี ถูกรังสรรขึ้นมาจนหน