บทที่ 38 ใจกลางความมืดมิด(1)
“ต้าพัง วันนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ไปเล่นกับคุณหนูสนุกไหม”
ในทันทีที่จางต้าพังกลับมาถึงบ้าน เสียงที่ดูใจดีเป็นพิเศษของจางเหว่ยก็ลอยเข้ามา เมื่อเด็กชายหันไปเห็นบิดาที่กำลังนั่งเอนหลับตานิ่งอยู่บนเก้าอี้ ก็รีบตอบรับด้วยความตื่นเต้น เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงใจดีของบิดา วันนี้จึงเป็นวันที่เด็กชายมีความสุขเป็นพิเศษ
“สนุกมากเลยขอรับ วันนี้ในช่วงเช้าคุณหนูได้เริ่มสอนเรื่องตัวอักษร ให้พวกเราทุกคนในเรื่องเรียนกันบ้างแล้ว เห็นว่าพี่จางหลัว พี่จางซิ่ว นั้นมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้สูงมาก คุณหนูก็เลยอยากจะสอนให้ทั้งสองเป็นผู้นำในการเล่าเรียนเกี่ยวกับตัวอักษรขอรับ”
“เช่นนั้นหรือ แล้วคนอื่นๆ เล่าเป็นอย่างไรกันบ้าง”
“ทุกคนก็ไม่ต่างจากค่าเลยขอรับ คุณหนูทั้งใจดี และใจเย็นกับพวกเรามากๆ คอยบอกคอยสอนเรื่องที่พวกเราผิดพลาดอยู่ตลอดเวลา แล้วในตอนนี้ยังมาสอนให้พวกเราอ่านออกเขียนได้อีก...”
จากนั้นเด็กชายก็เริ่มสารทยายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตลอดวันนี้ ให้ผู้เป็นบิดาได้ฟังด้วยความตื่นเต้น ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของบิดา ก็ทำให้เขามีความสุขมาก จนกระทั่งผ่านไปได้พักใหญ่
“เจ้ารีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด วันนี้อาของเจ้าก็กลับมาด้วย ไปทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันสักหน่อย”
“แล้วท่านพ่อเล่าขอรับ ท่านพ่อไม่สบายอะไรตรงไหนหรือเปล่าขอรับ ให้ข้าไปแจ้งท่านลุงหรือไม่ว่าท่านพ่อไม่สบาย...”
“ข่าวบอกว่าข้าไม่เป็นไรอย่างไรเล่า!”
“...!”
เมื่อจู่ๆ บิดาขึ้นเสียงออกมา เด็กชายก็หน้าถอดสีในทันที มันแทบจะนับครั้งได้เลยที่ท่านพ่อของเขาได้ขึ้นเสียงใส่เขา ถึงแม้ว่าในระยะหลังมานี้ท่านพ่อจะหงุดหงิดโมโหอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยขึ้นเสียงกับเขาแบบนี้มาก่อน
“พ่อขอโทษที่ช่วงนี้พ่อคงจะเหนื่อยมากไปหน่อย เจ้ารีบไปอาบน้ำแต่งตัวไปกินข้าวกับลุงใหญ่กับอาของเจ้าเถิด เดี๋ยวถ้าพ่อดีขึ้นพ่อคงตามไป”
“สะ...ทราบแล้วขอรับ”
“...”
จางเหว่ยยังคงหลับตานั่งพิงเก้าอี้เอนอยู่อย่างเงียบสงบ รอจนกระทั่งเด็กชายออกจากบ้านไปแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจึงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ทำให้สามารถมองเห็นได้ว่าในตอนนี้ ดวงตาของเขานั้นไม่เหมือนก่อนอีกต่อไปแล้ว
ดวงตาฝั่งซ้ายนั้นยังคงมีตาดำและตาขาวอยู่เช่นเดิม ที่จะแปลกไปก็คงเป็นแค่เส้นเลือดที่อยู่ในดวงตาของเขา นั้นมันใหญ่โตมากกว่า ปกติหลายเท่าตัวนัก จนสามารถเห็นชัดได้แม้จะมองจากระยะไกลออกมาสักหน่อยก็ตาม
ส่วนดวงตาฝั่งขวาของเขาในตอนนี้ นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหมือนดวงตาของมนุษย์อีกต่อไป เนื่องจากดวงตาทั้งดวงได้กลายเป็นสีดำสนิท เป็นสีดำชนิดที่ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่ามีอะไรอยู่ข้างในนั้นบ้าง เหมือนกับเรามองเข้าไปในลงลึกไร้ก้นที่ไม่รู้ว่ามันไปสิ้นสุด ณ ที่ตรงไหน
แล้วเมื่อเค้าไพ่อร์ปากออกมาเพียงเล็กน้อย เพื่อระบายลมหายใจที่อัดแน่นอยู่ในอกออกมา ก็สามารถมองเห็นฟันเขี้ยวทั้งสองข้างที่ยาวผิดปกติ
“ในตอนแรกที่เจ้ามาโพล่หัวที่หมู่บ้านแห่งนี้ เจ้าก็ได้ทำลายความพยายามของข้าในตลอดสิบปีที่ผ่านมาลงในพริบตา”
“...”
“ใช่แล้ว ยิ่งมันอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจากที่เราคาดหวังไว้จนหมดสิ้น”
“...”
“ไม่ว่าจะเป็นพืชหัวบ้านั่นที่สามารถฟื้นคืนชีพให้กับผืนดิน ที่ เกือบจะตายไปแล้วได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิตของชาวบ้านที่เคยแห้งเหือดไป ตอนนี้กับฟื้นฟูขึ้นมาจนมากมายกว่าแต่ก่อนที่พวกเราจะเริ่มแผนการเสียอีก...”
“...”
“แล้วยังไอ้หมาเวรนั้นอีก ไม่รู้มันเป็นสัตว์อสูรบ้าชนิดไหนกันแน่ ทำไมมันถึงแข็งแกร่งจนสามารถรับรู้ได้ถึงตัวตนของเจ้าด้วยซ้ำ ไหนว่าเจ้ามีพลังมากมายจนไม่มีใครสามารถทำอะไรเจ้าได้อย่างไรเล่า แล้วทำไมแค่หมาตัวเดียวเจ้ายังทำอะไรมันไม่ได้ แล้วแบบนี้จะให้ข้าทำอย่างไรต่อไปอีก”
“แล้ววันนี้เจ้าเสือยักษ์นั้นมันยังกลับมาอีก พังพังพังพังพังพังแบบนี้ทุกอย่างก็พังหมดน่ะสิ!!”
“ตกลงแล้วว่าการที่ข้าร่วมมือกับเจ้ามันมีประโยชน์กับข้าจริงๆใช่ไหม เพราะดูเหมือนว่าเจ้าในตอนนี้จะไร้ประโยชน์เสียยิ่งกว่าหนอนแมลงเสียอีก”
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง