มัลลิกาเงยหน้ามองภาวินพลางคิดตามที่เขาพูด จากนั้นคำพูดชื่นชมจากคนอื่นก็ผุดขึ้นมาในหัวประโยคแล้วประโยคเล่า เพียงแต่ทุกครั้งที่มีคนชมเธอมักจะบอกตัวเองเสมอว่าเขาชมไปตามมารยาท เธอไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นชมเลยแม้แต่น้อย จะว่าไปแล้วเธอก็มีข้อเสียที่แก้ไม่หาย นั่นคือเธอไม่เคยเก็บคำชมของคนอื่นมาใส่ใจ แต่คำต่อว่าดูแคลนทั้งหลายเธอกลับจำฝังหัว
"ก็ถูกของพี่นะคะ" เธอยิ้มบาง ๆ ให้เขา ชายหนุ่มก็กำลังมองเธออยู่เช่นกัน
"หนูแค่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งตรงนี้พี่อยากให้หนูคิดใหม่ทำใหม่ ใครจะพูดอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจ แค่เรารู้จักตัวเองดีก็พอ หนูรู้ไหมว่าในสายตาของพี่ หนูเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่ง"
ทันทีที่เขาพูดจบ มัลลิกาก็รู้สึกหน้าร้อนวูบ ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าหน้าเธอคงแดงก่ำจนลามมาถึงลำคอแล้วเป็นแน่ และริมฝีปากก็คอยแต่จะคลี่ยิ้มอยู่ร่ำไป แม้ว่าเธอจะพยายามฝืนไว้อย่างสุดความสามารถก็ตาม
ภาวินมองคนที่กำลังเขินจนทำอะไรไม่ถูกอย่างเอ็นดู ใจนึกอยากจะหยอดคำหวานอีกสักประโยคสองประโยคแต่ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะมองเขาเป็นพวกปากหวานก้นเปรี้ยว สุดท้ายจึงได้แต่เก็บคำพูดเหล่านั้นทดไว้ในใจ อีกหน่อยเธอต้องไปทำงานกับเขาทุกวัน เมื่อถึงเวลานั้น ค่อยสำแดงฤทธิ์เดชของกระทิงเปลี่ยวอย่างเขาให้เธอดู
"ตกลงว่าหนูยอมเป็นนางแบบให้พี่นะ" เขาตะล่อมถามอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาค่อนข้างมั่นใจว่ามัลลิกาจะตอบตกลงเพราะเธอดูผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว
หญิงสาวลอบผ่อนลมหายใจ ใบหน้าสวยเฉี่ยวของเบญญาภาและท่าเบะปากใส่ยามที่เจอหน้าเธอ พร้อมกับคำพูดแสนร้ายกาจของอีกฝ่ายผุดขึ้นมาในหัว
แกเรียนอักษรฯ นี่จบแล้วจะไปเป็นแอร์ละสิ ฉันว่าแกเลิกคิดไปเถอะ เด็กเนิร์ดหน้าจืดอย่างแกน่ะ แค่หน้าตาก็ไม่ผ่านแล้ว จะไปสอบให้คนเขาดูถูกทำไม ถ้าแกอยากสวยนะ ก็คงต้องพึ่งมีดหมออย่างเดียวแล้วละ
มัลลิกาเผลอกำมือทั้งสองข้างแน่นอย่างลืมตัว คนอย่างเบญญาภาญาติของเธอนั้นมักให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกก่อนเสมอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายอยู่ในฐานะเน็ตไอดอลที่มีชื่อเสียงหรือเปล่า จึงทำให้เจ้าตัวต้องจัดเต็มกับเสื้อผ้าหน้าผมตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหน เบญญาภาก็จะแต่งหน้าเต็มที่จนเธอแทบลืมใบหน้ายามไร้เครื่องสำอางของอีกฝ่ายไปแล้ว
คิดแล้วก็อยากเห็นสีหน้าของญาติปากเสียคนนี้จริง ๆ ว่าจะเป็นอย่างไรตอนที่เห็นเธอเป็นนางแบบลิปสติกให้เอเอ็นเอส
"หนูตกลงค่ะ ว่าแต่...มีค่าจ้างให้ไหมคะ" เธอถามยิ้ม ๆ เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากชายหนุ่มได้ทันที
"งกไม่เบานะเรา ค่าจ้างน่ะพี่มีให้แน่นอน ไม่ใช้งานเราฟรี ๆ หรอกน่า"
ชายหนุ่มยิ้มตาพราวพลางยกมือขึ้นรับกล่องถนอมอาหารที่พราวนภาเดินถือมาจากในครัว เขาเปิดฝาออกแล้วหยิบส้อมอันเล็กในนั้นจิ้มเมล่อนเนื้อสีส้มชิ้นพอดีคำป้อนให้บุตรสาวอย่างเอาใจใส่
มัลลิกามองภาพนั้นแล้วยิ้มอย่างลืมตัว เธอชอบมองเวลาที่ภาวินอยู่กับบุตรสาวตัวน้อยเพราะดูแล้วทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน เธอชอบผู้ชายแบบนี้ ดูมีเสน่ห์เสียยิ่งกว่าผู้ชายสไตล์แบดบอยเสียอีก
อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จู่ ๆ เมล่อนกลิ่นหอมกรุ่นก็มาจ่อรออยู่ที่ปากเธอเสียแล้ว หญิงสาวเบิกตากว้างพร้อมกับเลื่อนศีรษะออกห่างเล็กน้อย ก่อนจะมองเลยไปยังชายหนุ่มที่ถือส้อมค้างไว้
"หวานมากเลยลองกินสิ" ภาวินพูดเสียงอ่อน สายตาที่มองมานั้นต่อให้แกล้งโง่อย่างไรก็ยังมองออกว่าไม่ใช่การมองแบบผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก
"เอ่อ...หนูกินเองก็ได้ค่ะ" เธอยกมือขึ้นจะจับส้อมไว้เอง แต่ชายหนุ่มกลับดึงมือกลับไปไม่ให้เธอจับ
"ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่กินเองแล้วก็ป้อนลูกไปด้วย ป้อนหนูอีกคนจะเป็นไรไป เนอะหนูพราว" เขาก้มลงไปจูบขมับบุตรสาวอย่างรักใคร่ จากนั้นก็ยื่นส้อมไปจ่อที่ปากของเธออีกครั้ง
สุดท้ายมัลลิกาจำต้องอ้าปากรับผลไม้ที่เขาป้อนจนได้ เธอกินไปก็หน้าแดงไป โชคดีที่พราวนภามัวแต่สนใจการ์ตูนในโทรทัศน์ มิเช่นนั้นเด็กน้อยคงโพล่งถามด้วยความไร้เดียงสาแล้ว
"เฮ้อ! หนูจันทร์ พี่รู้สึกว่าคนแถวนี้กำลังจะแปลงร่างเป็นวัวละ ไม่ใช่วัวธรรมดานะ แต่เป็นวัวแก่หนังเหนียวที่อยากเคี้ยวหญ้าอ่อนซะด้วย"
เสียงทุ้มคุ้นหูของใครบางคนดังขึ้นที่หน้าประตู เรียกสายตาของทั้งสามคนในห้องนั่งเล่นให้หันมาทางเจ้าของเสียงอย่างพร้อมเพรียง
"แม่จันทร์!" เสียงใสของพราวนภาร้องเรียกจันทร์เจ้าพร้อมกับกระโดดลงจากโซฟาแล้ววิ่งกางแขนโผเข้าไปหาผู้เป็นทั้งน้าและมารดาด้วยความดีใจ
"ทำไมมาเร็วจังวะ เพิ่งจะกี่โมงเอง ไหนบอกว่าจะมาตอนเย็น"
ภาวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาแทบไม่ได้อยู่เล่นกับบุตรสาวสุดที่รักเพราะติดงาน แต่วันหยุดสุดสัปดาห์นี้เขาว่างจึงอยากใช้เวลาอยู่กับลูกให้เต็มที่ แต่เจ้าเพื่อนตัวดีก็ดันพาจันทร์เจ้ามารับแต่หัววัน
"ว่าจะไปดูหนังกันน่ะ แต่ไหน ๆ ก็ผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาบ้านมึงก่อน"
ชินดนัยเดินยิ้มกริ่มเข้ามาในห้องนั่งเล่น สายตาแอบเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่กับเพื่อนสนิท รอยยิ้มพลันกว้างขึ้นกว่าเดิม
"อะไรวะไอ้วิน ปิดเพื่อนซะเงียบกริบเลยนะ" ชินดนัยพูดแค่นั้น ภาวินก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงมัลลิกา
"ปิดอะไรกันเล่า น้องเขาอยู่บ้านติดกันนี่เอง มะลิเขามาเล่นเป็นเพื่อนหนูพราวน่ะ" ภาวินพูดแค่นั้น ไม่คิดจะขยายความอะไรต่ออีกเพราะไม่อยากให้มัลลิการู้สึกอึดอัด จากนั้นก็แนะนำให้ทั้งสามคนรู้จักกัน
"มะลิ นี่พี่ชินเพื่อนสนิทพี่เอง ส่วนคนนั้นก็พี่จันทร์ แฟนพี่ชินเขา แล้วก็เป็นแม่หนูพราวด้วย"
มัลลิกายกมือไหว้ทั้งสองคนพร้อมรอยยิ้ม แต่ในใจนั้นรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างภาวินกับแขกสองคนที่เข้ามาใหม่ดูแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เพราะหากผู้หญิงคนนี้เป็นมารดาของพราวนภา ก็เท่ากับว่าเป็นอดีตภรรยาของภาวินด้วยไม่ใช่หรือ ทว่าดูจากความสนิทสนมระหว่างชายหนุ่มทั้งสองคนแล้ว ดูเหมือนจะไม่เก็บเรื่องเหล่านั้นมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
พลันนั้นหญิงสาวก็นึกถึงความสัมพันธ์ของคนสามคนที่ใกล้ตัวเธอมากที่สุดอย่างบิดามารดากับพ่อเลี้ยง บิดาผู้ล่วงลับของเธอก็เป็นเพื่อนสนิทกับนฤเบศร์มาก่อนเช่นกัน ตั้งแต่จำความได้เธอก็เห็นพ่อเลี้ยงมาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไปแล้ว นฤเบศร์เอ็นดูและตามใจเธอมาก หญิงสาวจำได้ว่าเวลาที่ตนอยากได้อะไรแล้วมารดาไม่ซื้อให้ เธอจะเฝ้ารอให้นฤเบศร์มาเยี่ยมที่บ้านแล้วออดอ้อนขอให้เขาซื้อให้แทน ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง ดังนั้นมัลลิกาจึงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเวลาที่ต้องเปลี่ยนคำเรียกขานจากคุณอาเป็นคุณพ่อ
"จะเริ่มกันเลยไหม อ้าว...ตาชิน หนูจันทร์ มาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมวันนี้มารับหนูพราวเร็วนักล่ะ"
ภคินีเดินถือกล่องเครื่องสำอางขนาดย่อมเข้ามาในห้องนั่งเล่นอีกคน ชินดนัยกับจันทร์เจ้าจึงลุกขึ้นยกมือไหว้ทำความเคารพ
"เพิ่งมาถึงเองครับคุณแม่ ผมกับจันทร์จะไปดูหนังกันน่ะครับ ขับผ่านแถวนี้ก็เลยแวะเข้ามาเที่ยวสักหน่อย เดี๋ยวสักพักก็ไปแล้วครับ แล้วตอนเย็นผมกับจันทร์ค่อยมารับหนูพราวอีกที"
"อ้อ แล้วไป" ภคินียิ้มบาง ๆ พลางทรุดตัวนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับมัลลิกาแล้ววางกระเป๋าเครื่องสำอางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็ยกมือขึ้นแตะไหล่หญิงสาวข้างกายแล้วหันไปพูดกับสองหนุ่มสาว
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก