มัลลิกาฟังจบก็เบิกตากว้างพร้อมกับยกนิ้วชี้เข้าหาตัวแล้วพูดราวกับไม่เชื่อหูตัวเองว่า
"หนูเนี่ยนะคะ! คุณป้าจะให้หนูเป็นนางแบบลิปสติกหรือคะ"
"ใช่จ้ะ ป้าคิดว่าหนูน่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว หนูรู้ตัวไหมว่าหนูมีปากที่สวยมาก ความจริงแล้วหนูก็สวยไปทั้งหน้านั่นแหละ ขอโทษนะจ๊ะหนูมะลิ ขอป้าถอดแว่นหนูออกหน่อย"
ไม่พูดเปล่า ภคินีถือวิสาสะถอดแว่นสายตาอันใหญ่ของมัลลิกาออก จากนั้นก็ปัดผมที่ตกลงมาบดบังบางส่วนของใบหน้าออกไปแล้วเอามือกุมแก้มเนียนใสทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้พลางจับหันไปทางซ้ายและขวาอย่างเบามือ
"หนูพราวก็ว่าพี่มะลิสวยค่ะ หนูพราวชอบพี่มะลิ คุณพ่อก็บอกว่าชอบพี่มะลิเหมือนกัน" พราวนภายิ้มกว้างพลางพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับผู้เป็นย่า
"จริงหรือลูก คุณพ่อบอกว่าชอบพี่มะลิหรือ"
ภคินีถามอย่างตื่นเต้น ตอนแรกตนนึกว่าบุตรชายคงจะสนใจสาวข้างบ้านแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตาน่ารักจึงอดแซวเล่นตามประสาหนุ่มโสดที่เห็นสาวถูกใจไม่ได้ แต่พอได้ยินหลานสาวพูดแบบนี้ตนก็มั่นใจแล้วว่าภาวินตั้งใจจะจีบมัลลิกาจริง ๆ เสียแล้ว
"ใช่ค่ะ คุณพ่อยังให้หนูพราวมาบอกพี่มะลิด้วยนะคะว่าคุณพ่ออยากเลี้ยงแมวค่ะ" ครั้นพอเด็กน้อยพูดถึงตรงนี้ ผู้ใหญ่ทั้งสามคน ณ ที่นั้นต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มัลลิกานั้นหน้าแดงก่ำจนถึงลำคอเพราะรู้ดีว่าแมวที่ชายหนุ่มพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร ส่วนภคินีก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงเพราะไม่เข้าใจว่าแมวมาเกี่ยวอะไรกับการที่บุตรชายสนใจหญิงสาวตรงหน้า ขณะที่คนต้นเรื่องนั้นได้แต่หัวเราะไหล่สั่นด้วยความขบขันจนต้องเอามือกุมท้อง
"แมว! พ่อหนูบอกว่าอยากเลี้ยงแมวหรือลูก แล้วทำไมต้องมาบอกพี่มะลิด้วยล่ะ" ผู้เป็นย่าเอ่ยปากถามหลานสาวอย่างสงสัย แต่หญิงสาวกลับชิงพูดขึ้นก่อนอย่างร้อนตัว
"คือ...คือว่าหนูเคยคุยกับพี่วินเรื่องอยากจะเลี้ยงแมวแต่ที่บ้านไม่ให้เลี้ยงค่ะ ก็...เท่านั้นเอง" หญิงสาวยิ้มแหยให้ผู้อาวุโสกว่าก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังยืนเอามือกุมท้องแล้วหัวเราะแบบไม่มีเสียงจนหน้าแดงก่ำ
ตาลุงบ้านี่ยังอุตส่าห์จำเรื่องแมวได้อีกนะ!
"จริงสิ แล้วหนูต้องขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ก่อนไหม ความจริงแค่ทาลิปสติกแล้วถ่ายแต่หน้าเองจ้ะเพราะเราอยากให้ลูกค้าได้เห็นสีจริงของลิปเวลาที่ทาบนปาก"
ภคินีต้องถามเรื่องนี้ก่อนให้แน่ใจ แม้เป็นเพื่อนบ้านกันมาไม่นานเท่าไรแต่ตนก็พอรู้มาบ้างว่าบิดามารดาของมัลลิกานั้นค่อนข้างหวงบุตรสาวไม่น้อย
"มันจะดีหรือคะ ไม่กลัวลิปขายไม่ออกหรือถ้าเอาหนูไปเป็นแบบ หนูว่าหาคนสวย ๆ มาถ่ายไม่ดีกว่าหรือ"
หญิงสาวพูดอย่างเกรงใจพร้อมกับยิ้มจืดเจื่อน ไม่กล้าหันไปมองหน้าคนที่เมื่อครู่แอบยืนหลบมุมหัวเราะแต่ตอนนี้กำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
"แหม พูดอะไรอย่างนั้น เดี๋ยวตีตายเลยหนูมะลิเนี่ย ทำไมดูถูกตัวเองอย่างนั้นเล่า ไม่เชื่อสายตาป้าหรือ ป้าอยู่วงการนี้มานานหลายปีตั้งแต่เอเอ็นเอสยังไม่เป็นที่รู้จัก ป้าบอกว่าหนูเหมาะสมก็คือเหมาะสมจริง ๆ ใช่ไหมตาวิน"
ประโยคหลังภคินีหันไปถามบุตรชายที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนโซฟาอีกตัวโดยมีพราวนภานั่งอยู่บนตัก
"คุณแม่ว่ายังไงผมก็ว่าตามนั้นครับ เนอะหนูพราว" เขาก้มหน้าลงพยักพเยิดกับบุตรสาว พราวนภาเองก็พยักหน้าหงึกหงักตามบิดา
"ถ้ากลัวคุณพ่อคุณแม่จะว่า ป้าไปคุยให้ไหมจ๊ะ"
ภคินีพูดไปก็มองสำรวจใบหน้ารูปไข่ของมัลลิกาพลางคิดว่าจะลงรองพื้นเบอร์ไหน เขียนคิ้ววาดขอบตาอย่างไรถึงจะดึงเสน่ห์ของหญิงสาวตรงหน้าออกมาให้มากที่สุด
คนถูกถามครุ่นคิดด้วยความลังเลใจ จะว่าไปแล้วเรื่องแค่นี้บิดามารดาของเธอไม่ว่าอะไรแน่นอนเพราะไม่ใช่การทำเรื่องเสื่อมเสีย แต่เธอประหม่าและหวาดหวั่นอยู่ในใจลึก ๆ มากกว่า ด้วยเพราะรู้ตัวดีว่าตนไม่ใช่คนสวย เธอมองตัวเองในกระจกทุกวันย่อมรู้ว่าตนหน้าตาอย่างไร หากเทียบกับเบญญาภาญาติทางฝั่งบิดาที่ตนไม่ค่อยกินเส้นคนนั้นแล้ว มัลลิกายอมรับว่ารูปลักษณ์ของตนสู้ลูกพี่ลูกน้องผู้นั้นไม่ได้เลย
ความสามารถในการรับรู้จิตใจคนอื่นของมัลลิกานั้น ถึงแม้จะมีข้อดีตรงที่เป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยทำให้หญิงสาวรู้จักระมัดระวังตัวในการคบหาคนอื่น แต่ข้อเสียของมันก็มีเช่นกัน นั่นก็คือบางครั้งคนที่เธอไว้ใจหรือให้ความสนิทสนมด้วยกลับลอบด่าหรือเหยียดหยามดูแคลนเธออยู่ในใจ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้มัลลิกาเสียใจและเสียความรู้สึกหลายต่อหลายครั้ง
ฉะนั้น หากครั้งนี้เธอยอมเป็นนางแบบให้กับบริษัทแล้วผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่คิด หรือค่อนไปทางติดลบ คนในบ้านหลังนี้จะลอบต่อว่าเธอในใจหรือเปล่า และหากเป็นเช่นนั้นจริง เธอจะกล้ามาเล่นกับพราวนภาโดยแสร้งปั้นหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวได้หรือ
"แม่ โทรศัพท์มาแน่ะ"
เสียงพิทยาตะโกนเรียกภรรยามาจากห้องทำงาน ภคินีได้ยินดังนั้นจึงลุกขึ้นแล้วหันไปขยิบตาให้บุตรชายกับหลานสาวรับช่วงเกลี้ยกล่อมนางแบบจำเป็นคนนี้ต่อ
คล้อยหลังมารดาแล้วภาวินจึงมองมัลลิกา เห็นเธอก้มหน้างุดราวกับเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติแล้วก็อดขำไม่ได้ คิดแล้วก็แปลก หากเป็นหญิงสาวคนอื่นคงจะยินดีที่จะได้เป็นนางแบบของเครื่องสำอางแบรนด์ดัง แต่คนตรงหน้ากลับครุ่นคิดหนักราวกับว่าเขากำลังชวนเธอหนีออกจากบ้านอย่างไรอย่างนั้น
"หนูพราวขา คุณพ่ออยากกินเมล่อนที่คุณย่าหั่นแช่ไว้ในตู้เย็นจังเลย หนูไปเอามาให้คุณพ่อหน่อยได้ไหมคะ"
ชายหนุ่มก้มลงพูดกับบุตรสาวอย่างอ่อนโยน เด็กน้อยขานรับเสียงใสพร้อมกับกระโดดลงจากตักเขาแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปทันที
เมื่อพราวนภาออกไปแล้วในห้องนั่งเล่นนี้จึงมีเพียงภาวินกับมัลลิกาเท่านั้น ชายหนุ่มเปลี่ยนมานั่งแทนที่มารดา หญิงสาวเงยหน้ามองเขาแว่บหนึ่งแล้วก็รีบผินหน้าไปมองทางอื่น รู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที
"หนูกลัวคุณพ่อจะว่าเอาหรือ" เขาลองถามหยั่งเชิงดูเพราะอยากรู้ว่าเธอกังวลอะไร แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าช้า ๆ พลางถอนหายใจแผ่วก่อนพูดว่า
"คุณพ่อไม่ว่าหรอกค่ะ แต่หนูแค่กลัวว่าตัวเองจะทำให้สินค้าของบริษัทพี่ขายไม่ออกมากกว่า หนูไม่สวย แต่งหน้าไม่ขึ้นหรอกค่ะ"
ประโยคหลังนี้เธอเคยถูกเบญญาภากับปรีชญาพูดใส่หน้ามาแล้วหลายครั้ง เบญญาภานั้นสามารถหาเรื่องมาติเธอได้ตลอดเพราะไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็ก ส่วนปรีชญานั้นแม้ภายนอกจะบอกเธอด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงใจเหมือนเพื่อนเตือนเพื่อน ทว่าภายในใจนั้นกลับดูแคลนเธออย่างไม่มีชิ้นดี แม้จะรู้อยู่ว่าที่ทั้งสองคนนั้นพูดกับตนแบบนี้ก็เพราะไม่ชอบเห็นใครดีกว่า แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกแย่และเสียความมั่นใจในตัวเองอยู่ดี
"มะลิ...ฟังพี่นะ ผู้หญิงทุกคนมีความสวยอยู่ในตัวด้วยกันทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าคน ๆ นั้นจะดึงความสวยที่ตัวเองมีอยู่ออกมาได้รึเปล่า บางคนตาสวย บางคนปากสวย บางคนผมสวย บางคนผิวสวย บางคนก็สวยที่นิสัยและจิตใจ บางคนก็สวยที่สมอง แต่ละคนก็มีความสวยที่แตกต่างกันออกไป บนโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบที่สุด และก็ไม่มีใครขี้เหร่ที่สุดด้วย ถ้าหนูคิดว่าตัวเองสวย คิดว่าตัวเองมีดี หนูก็จะเป็นคนสวยและมีดีให้อวด แต่ถ้าหนูเอาแต่มองตัวเองในแง่ลบ แถมยังพูดกับตัวเองว่าฉันไม่สวย ฉันแต่งหน้าไม่ขึ้น หนูก็จะเป็นแบบนั้นไปตลอดเพราะหนูสะกดจิตตัวเองไว้อย่างนั้น จริงไหม"
มัลลิกานั่งแช่อยู่ในสระว่ายน้ำส่วนตัว หญิงสาวยกแขนขึ้นวางบนขอบสระแล้วเอาคางเกยไว้ สองตาทอดมองผืนน้ำสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังก้าวลงน้ำมาเช่นกัน จากนั้นแผ่นหลังของเธอก็ถูกทาบทับด้วยแผงอกหนั่นแน่นตามมาด้วยอ้อมแขนที่กอดรัดเอวไว้ และมีริมฝีปากอุ่นร้อนตามมาพรมจูบไปทั่วลาดไหล่"ชอบที่นี่ไหม" เสียงทุ้มเอ่ยถามชิดริมหู หญิงสาวห่อไหล่ตามสัญชาตญาณเพราะรู้สึกจั๊กจี้"ชอบค่ะ น้ำสีสวยมากเลย อากาศดีด้วยไม่ร้อนอย่างที่คิด" ทั้งที่ตอนนี้เธออยู่กลางแจ้งท่ามกลางแสงแดดอ่อน แต่กลับไม่ร้อนเหมือนแดดเมืองไทย"ชอบก็ดีแล้ว พี่นวดให้นะ เดินทางมาถึงเหนื่อย ๆ"ภาวินขันอาสาอย่างเอาใจ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วค่อย ๆ บีบนวดต้นแขน หัวไหล่ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับนวดวนเวียนอยู่แต่ก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นสองก้อนที่อยู่ด้านหน้า บั้นท้ายก็ถูกสิ่งนั้นของเขาบดเบียดอย่างเป็นจังหวะ"ฮื้อ...พี่วินเนี่ยมือซนตลอดเลย" หญิงสาวครางเบา ๆ เมื่อเขาล้วงเข้าไปในชุดว่ายน้ำชิ้นบนแล้วใช้นิ้วหมุนวนปลายยอดอย่างปลุกเร้าภาวินมองไปรอบด้
ภาวินมองคนที่นั่งหลับมาตลอดทางด้วยสายตารักใคร่ วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเธอทั้งวัน ได้นอนกกกอดเธอไว้ในอ้อมแขนจนเขาแทบสำลักความสุข เขารู้ว่าตนยังไม่อิ่มแต่ก็ต้องรีบพาหญิงสาวกลับกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้ค่ำเกินไปชายหนุ่มจอดรถหน้าบ้านมัลลิกาในตอนหัวค่ำ ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์บอกมารดาของเธอแล้วว่าจะพาหญิงสาวแวะกินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับเข้าบ้าน จึงไม่ห่วงว่าเธอจะถูกบิดามารดาดุ"มะลิ ถึงบ้านแล้วครับ" เขาสะกิดมัลลิกาเบา ๆ หญิงสาวตื่นขึ้นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างงัวเงีย"ถึงบ้านหนูแล้ว หรือจะไปนอนบ้านพี่ดี" เจ้าตัวหันมาค้อนใส่เขาทันทีก่อนจะเปิดประตูลงไปยืนข้างรถแล้วโบกมือให้ แต่สภาพของเธอเหมือนคนยังไม่ตื่นดี เขาจึงอดไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะออกมาในที่สุด"ตื่นได้แล้ว หลับมาตลอดทางยังไม่พออีกหรือแม่คุณ" เขาถามกลั้วหัวเราะ เธอยู่หน้าใส่เขาแล้วพูดว่า"เพราะใครล่ะ" จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไป เขามองจนเธอเข้าบ้านแล้วจึงขับเลยไปที่บ้านของตัวเองบ้างบิดามารดาของภาวินนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ในห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาแล้วนั่งบนโซฟาอีกตัว อ
"ใส่ทำไม พี่อยากอ่อยคนแถวนี้นี่นา" ไม่พูดเปล่า แต่เขายังแบมือมาทางเธอราวกับต้องการให้วางมือลงไปบนมือของเขามัลลิกายื่นมือไปวางลงบนมืออุ่นข้างนั้น ชายหนุ่มกระตุกเบา ๆ หญิงสาวจึงทรุดนั่งข้างกายเขาแต่โดยดี"เย็น ๆ ค่อยกลับเนอะ หรือจะค้างดี" ภาวินถามพลางนวดมือให้เธอไปด้วย จึงทำให้มัลลิการับรู้ความในใจของชายหนุ่มอีกจนได้...พี่แค่อยากพาหนูมาผ่อนคลาย เห็นอุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเดือน ๆ..."พี่ก็โทร. ไปขอคุณพ่อให้หนูสิคะ" เธอแกล้งหยอกเขาเล่น แต่ภาวินกลับคิดจะทำจริง ๆ"ก็ได้นะ พี่มีเบอร์คุณพ่อของหนูอยู่"ชายหนุ่มทำท่าจะยืนขึ้น หญิงสาวจึงรีบกอดแขนเขาไว้ทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตกับบิดาของตนจริง ๆ"ไม่เอา! พี่ก็รู้อยู่ว่าคุณพ่อไม่อนุญาตหรอก ขืนโทร. ไปมีหวังโดนจี้ให้กลับบ้านตอนนี้แน่" พูดจบเธอก็ถูกเขากอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนไปด้วยกัน โดยที่หญิงสาวนอนเอาหูแนบอกฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างใน"บ้านก็ติดกันอย่างนั้น ยังไงก็หนีพี่ไม่พ้นหรอก"เขาปัดผมของเธอออกจากลาดไหล่แล้วใช้มือลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของหญิงสาวไปมา ผิ
มัลลิการักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองอาทิตย์ก็ได้กลับบ้าน แผลที่แก้มเริ่มไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่แผลที่ถูกกระจกบาดและแผลถลอกพอตกสะเก็ดกลับดูน่ากลัวจนมัลลิกาไม่กล้าส่องกระจกดูหน้าตัวเอง หญิงสาวยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยไม้ค้ำช่วยพยุง ในแต่ละวันเธอจึงได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในบ้าน ภาวินจึงนึกสนุกด้วยการนำเครื่องสำอางมาให้หญิงสาวได้ลองหัดแต่งหน้าโดยแนะนำให้เธอเริ่มศึกษาจากยูทูบช่วงอาทิตย์แรกมัลลิกายังใช้แปรงและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเก้กังเพราะไม่เคยใช้ แต่พออาทิตย์ถัดมาหญิงสาวก็เริ่มคล่องขึ้น และเริ่มสนุกกับการแปลงโฉมใบหน้าของตัวเองในรูปแบบต่าง ๆ เธอเริ่มเข้าเว็บไซต์ และติดตามแฟนเพจที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ครีมหรือโลชั่นยี่ห้อไหนที่โด่งดังเรื่องช่วยลบรอยแผลเป็น เธอก็คลิกสั่งออนไลน์เพื่อเอามาลองใช้หลายยี่ห้อมัญชุดานั่งมองบุตรสาวที่กำลังทดลองสีลิปสติกกับข้อมือของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อก่อนมัลลิกาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เพราะชอบคิดว่าตนไม่สวย แต่งไปก็ไม่มีใครดู แต่พอแม่สาวน้อยของเธอเริ่มมีความรักก็เริ่มหัดดูแลตัวเองมากขึ้น หนำซ้ำยังดูมีความสุขดีด้วย
มัลลิกายังคงไม่ยอมออกจากผ้าห่ม แต่เสียงสะอื้นนั้นไม่มีแล้ว ราวกับเจ้าตัวกำลังชั่งใจว่าจะโผล่หน้าออกมาคุยกับเขาดีหรือไม่"ถ้าอย่างนั้น พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอเบา ๆ ก่อนพูดต่อ"ถ้าหากว่าคนที่ถูกรถชนเป็นพี่ คนที่ต้องนอนอยู่ตรงนี้เป็นพี่ และพี่ต้องมีแผลเป็นบนหน้าบ้าง หนูจะบอกเลิกพี่รึเปล่า หนูจะเลิกรักพี่แล้วหันไปคบคนอื่นไหม"คนนอนคลุมโปงส่ายหน้าไปมาแล้วตอบ "ไม่ ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้น"ภาวินยิ้มออกทันที "ใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ"ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงไปจูบบริเวณที่คาดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของหญิงสาวผ่านทางผ้าห่ม"หนูพราวถามหาพี่มะลิทุกวันเลย ไว้วันเสาร์นี้พี่จะพาหนูพราวมาเยี่ยมด้วยนะ"พอพูดถึงพราวนภา คนในผ้าห่มก็เลิกผ้าออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงก่ำและเปลือกตาบวมจากการร้องไห้เมื่อครู่ เจ้าตัวสูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถาม"หนูพราวเป็นยังไงบ้างคะ หนูผลักแรงขนาดนั้นไม่รู้หัวเข่ากระแทกพื้นจนเป็นแผลรึเปล่า"ภาวินมองหญิงสาวด้วยสายตาอ่อนเชื่อม ตัวเองเป็นอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถามถึงคนอื่
มัลลิกาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่ก็อดใจหายและเศร้าอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ ถึงปรีชญาจะทำไม่ดีกับเธอไว้มากมาย แต่อย่างไรเสียก็ยังเคยคบหากันอย่างสนิทสนมมาก่อน"ทำไมตาลเขาต้องทำอย่างนั้นคะคุณพ่อ""เขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิกน่ะ ตอนนี้ถึงจะจับตัวได้แล้วแต่ก็ยังดำเนินคดีอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้เขารักษาจนอาการดีขึ้นก่อน""อ้าว เขาไม่ติดคุกหรือ แล้วถ้าเขาออกมาขับรถไล่ชนหนูอีกล่ะคะ" มัลลิกาถามหน้าตื่น คิดในใจว่าถ้าโดนชนอีกครั้งคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน"พ่อก็ห่วงเรื่องนี้อยู่ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จะกักตัวเขาไว้รักษาอาการแบบไหน พ่อกลัวว่าเขาจะปล่อยให้มันไปรักษาที่บ้านแล้วมันก็จะออกมาก่อเรื่องอีก""แย่จัง...แล้วตกลงเจอแพตที่ไหนคะ"เธออยากรู้ว่าตติยะลงมือกับปรีชญาแบบไหน และทำอย่างไรจึงสามารถซ่อนศพไว้ได้นานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีใครหาเจอ"ศพลอยมาติดกับกอผักตบข้างวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาน่ะ แต่ผลการชันสูตรบอกว่าตายเพราะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจ"นฤเบศร์เล่าให้บุตรสาวฟังไปตามความจริงโดยไม่คิดปิดบัง เพราะคนที่เป็นทั้งเหยื่อและฆาตกรก