เสียงฝีเท้าหนักย่ำก้าวอย่างเร่งรีบมาตามทางเดินขรุขระลูกรัง ในมือนั้นถือถุงกับข้าวที่แวะซื้อที่ข้างทางมาด้วย ใบหน้าหล่อเหลาคมสัน ผิวสีแทนแบบชายไทยแท้กำลังขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด สายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เริ่มเปียกโชก
“แม่ครับ! ผมกลับมาแล้ว” เมื่อมาถึงบ้านกึ่งไม้กึ่งสังกะสีขนาดไม่ใหญ่มากนักหลังหนึ่ง เขาก็รีบตะโกนร้องเรียกผู้เป็นแม่
“อ้าวไอ้แทน กลับมาแล้วเหรอ เอ็งตากฝนมาหรือเปล่าล่ะนั่น” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งร้องตอบกลับมา
แทนไท ชายหนุ่มอายุ 24 ปี ที่ตอนนี้เพิ่งเลิกงานและกลับมาจากไซต์งานก่อสร้างรีบเดินเข้าบ้านไปหาผู้เป็นแม่
“แม่เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนบ้างเนี่ย” เมื่อเห็นหน้าวิไลผู้เป็นแม่ แทนก็ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยทันที
“ไม่เป็นไร เย็บสองเข็ม เอายาก็กลับบ้านได้แล้ว” วิไลเอ่ยพลางนิ่วหน้า ผ้าก็อซสีขาวกับเทปกาวใสแปะทั่วตัวหญิงอายุราวห้าสิบ ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งเอนกายพิงอยู่ที่ม้านั่งตัวเก่าที่คล้ายเหมือนจะพังแหล่มิพังแหล่
“แล้วแม่ไปทำอีท่าไหนมาล่ะครับเนี่ยถึงไปตกหลุมนั่นได้”
“จะอีท่าไหนล่ะ ข้าก็ปั่นจักรยานของข้าอยู่ดี ๆ ใครมันจะไปรู้ว่าตรงนั้นมันมีหลุม พวก อบต. นี่ก็นะแทนที่จะปักเสาปักอะไรให้รู้บ้าง นี่อะไรเอาไม้อัดมาวางปากหลุม ข้าก็เทเข้าให้น่ะสิ” แม่บ่นกระปอดกระแปดยาวยืดระบายความหงุดหงิดของตัวเองที่ต้องมาเจ็บตัวเพราะการทำงานชุ่ย ๆ และถนนที่สภาพเหมือนกับจำลองพื้นผิวดวงจันทร์มาไว้ในหมู่บ้าน
แทนไทถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพราะแอบเบื่อหน่ายกับปัญหาเดิม ๆ ที่มักจะเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ แต่ว่าครั้งนี้ดันแจ็กพอตที่มาเกิดกับผู้เป็นแม่ของเขา
“แล้วนี่เอ็งรู้ได้ยังไงล่ะว่าข้าเดินตกหลุม” วิไลเอ่ยถามผู้เป็นลูกชายด้วยความแปลกใจ
“ก็ไอ้วิทย์น่ะสิมันมาบอกผม ป้าอ้วนโทรไปบอกมันว่าพาแม่ไปโรงพยาบาล ผมก็เลยรู้” แทนไทกำลังพูดถึงวิทยาผู้เป็นเพื่อนสนิทที่ทำงานอยู่ที่ไซต์งานเดียวกัน แถมยังเป็นเพื่อนสนิทในหมู่บ้านตั้งแต่สมัยเด็กอีก ป้าอ้วนแม่ของวิทยาเองก็สนิทกับแม่ของเขา
“เออ ๆ แล้วนี่กินข้าวกินปลามาหรือยังล่ะ”
“ผมกินมาจากไซต์งานเรียบร้อยแล้ว และก็แวะซื้อข้าวมาให้แม่ด้วย แม่กินข้าวนะครับ จะได้กินยา” แทนไทว่าแล้วก็ไปจัดแจงเทกับข้าวใส่จานมาให้วิไล
วิไลมองผู้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวด้วยสายตารักใคร่ แทนไทนั้นเป็นเด็กที่ฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เสียดายที่ลำพังเพียงเธอคนเดียวไม่มีปัญญาพอที่จะสามารถส่งลูกให้เรียนสูงกว่านี้ได้
แทนไทวาดฝันอนาคตของตัวเองไว้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องเป็นวิศวะกรที่เก่งกาจมากความสามารถ สามารถสรรสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ ทันสมัยอีกทั้งยังแข็งแรงขึ้นมามากมาย เพราะฉะนั้นแทนไทจึงตั้งใจเรียนและมุ่งมั่นมาทางสายอาชีพ แต่ทว่าด้วยรู้ว่าผู้เป็นแม่ทำงานหนักเพียงคนเดียวและมีรายได้เล็กน้อยมากจากการทำขนมขาย แทนไทจึงตัดสินใจเรียนจบเพียงแค่ชั้น ปวช. และออกมารับจ๊อบทำงานตามไซต์งานก่อสร้างเล็ก ๆ เพื่อช่วยหารายได้เข้าบ้านอีกทาง
เช้าวันต่อมา…
กึง กึง กึง
เสียงกระทืบเท้าลงบนแผ่นไม้อัดใหม่เอี่ยมดังกึง ๆ สองสามที “เดี๋ยวได้มีคนตกอีกแน่” แทนไทส่ายหน้าพลางมองหลุมบ่อเล็กใหญ่เบื้องหน้า
“เฮ้ย! ไอ้แทนไปกันได้แล้ว” วิทยา ชายหนุ่มรูปร่างสูงผอมร้องตะโกนเรียกคนเป็นเพื่อน เอาอีกแล้ว ไอ้แทนมันมัวแต่สนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้ว
“แป๊ป ไอ้วิทย์มึงมีถุงพลาสติกหรือเปล่าวะ”
“กูมีแต่ถุงข้าวเหนียวหมูปิ้ง มึงจะเอาไหม” วิทยากล่าวติดตลก
“เอา” พูดจบแทนไทก็เดินไปหยิบถุงพลาสติกสีขาวขุ่นใบเล็กกะทัดรัดจากมือของวิทยา เขามัดมันไว้กับกิ่งไม้ที่หาได้แถวนั้น หินก้อนใหญ่แถวนี้ไม่มีให้เขาวางค้ำยันเลยจำต้องใช้อุปกรณ์ท้ายรถกระบะของเพื่อนมาเจาะแผ่นกระดานเป็นรูพอให้เสียบกิ่งไม้ลงไปได้ ถุงพลาสติกพองขึ้นทันทีเมื่อลมพัดเข้าด้านใน
“มึงมัวทำอะไรอยู่วะ เดี๋ยวก็สายโดนหักเงินอีกหรอก” วิทยาเร่งเพื่อนอีกครั้งหลังยกนาฬิกาข้อมือเก่า ๆ ขึ้นมาดู เวลาบอกว่าตอนนี้พวกเขาควรออกเดินทางไปหาเงินมากกว่าทำเรื่องไร้สาระ... นี่มันหน้าที่หรือ ก็ไม่ใช่
“เออ ๆ กูเสร็จแล้ว” แทนไทรับคำแล้วรีบกระโดดขึ้นท้ายกระบะไป เขาหันกลับมามองสิ่งเตือนภัยพลางคิดว่าอย่างน้อยก็เตือนคนอื่นไว้หน่อยก็แล้วกัน ทว่า... เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
“พี่วิทย์เว้ย! พี่วิทย์ พ่อพี่ขับรถตกหลุม!” ตกเย็นวันนั้น เสียงของคนในหมู่บ้านคนหนึ่งก็ตะโกนแหวกเสียงเครื่องยนต์รถบดถนนดังเข้าหูเจ้าของชื่อผู้กำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่ริมทาง มือที่กำลังจะตักน้ำในกระติกมาดื่มหยุดชะงัก
“หลุมไหน” คนที่วิ่งมาบอกเขาก็คือเด็กน้อยวัยรุ่นอย่างไอ้จุกที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับพวกเขา
“ก็อีตรงหน้าหมู่บ้านนั่นไง”
“เอ้า ก็เมื่อเช้าไอ้แทนมันเอาถุงมัดกิ่งไม้ไปเสียบเตือนคนแล้วไม่ใช่เหรอ” วิทยานึกขึ้นได้ว่าเพื่อนทำเรื่องนั้นจริง ๆ
“โอ๊ย ก็ผู้ใหญ่บ้านเขาบอกว่ามันดูไม่ดีเลยโยนทิ้งไว้ข้างทางนั่นแล้ว” ไอ้จุกเกาหัวแกรก ๆ
“โห่ มันมีสมองไว้คั่นหูหรือไงวะ ใครเลือกมันมาเป็นผู้ใหญ่บ้านเนี่ย” วิทยาบ่นอุบ
“ก็พี่ไง หัวคะแนน” คนแจ้งข่าวตอบ เสียงหัวเราะฮ่าฮ่าดังขึ้นรอบตัวลูกของผู้บาดเจ็บ กระนั้นมันก็ทำให้เขาเจ็บจี๊ดในใจ เงินค่าขีดปากกาตอนนั้นกลายมาเป็นค่ารักษาในตอนนี้ ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
และแทนที่ทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขหรือไม่ก็มีมาตรการบรรเทาเบาบางเหตุการณ์ลงบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือข่าวการบาดเจ็บไม่เว้นแต่ละวัน เด็กน้อย คนหนุ่มสาวไปจนถึงคนหัวหงอก ล้วนแต่ลงไปสำรวจหลุมนั้นกันแทบทุกบ้าน
“เมื่อไหร่เขาจะซ่อมสักทีก็ไม่รู้ไอ้หลุมนี่” และแล้วเหตุการณ์ซ้ำๆ ก็วนมาอีหรอบเดิมอีก
“นี่แม่ตกหลุมอีกแล้วเหรอ” แทนไทเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นวิไลกำลังทายานวดบนข้อเท้าที่บวมเป่งของตัวเอง
“เออน่ะสิ” มันเลี่ยงไม่ได้เลยเพราะว่าเธอนั้นต้องคอยหาบขนมเดินเข้าออกไปมาในหมู่บ้านทุกวัน และก็ไม่ใช่เพียงแค่หลุมใหญ่หลุมนี้ที่เป็นปัญหาเท่านั้น แต่ยังมีหลุมเล็กหลุมน้อยให้ได้เดินสะดุดเพิ่มอีก และยิ่งหน้าฝนแบบนี้แล้วด้วย แทบไม่ต้องคิดเลยว่าวันไหนจะได้เดินกลับมาถึงบ้านในสภาพดีบ้าง
“สองเดือนแล้วยังไม่ทำอะไรอีกเหรอ นี่เรามี อบต. ผู้ใหญ่บ้านไว้ทำไม” ชายหนุ่มเริ่มหัวเสียกับการเพิกเฉยของผู้รับผิดชอบ
“อบต. บอกว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านก็บอกว่าเป็นเรื่องของ อบต. งบไม่มีบ้าง กำลังของบบ้าง เฮ้อ” วิไลเองก็ถอนใจกับการทำงานของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ตัวเธอจะไปทำอะไรได้ ชาวบ้านไม่ประสีประสาตาดำ ๆ อย่างพวกเธอก็จำต้องทนกับสภาพถนนบ่อโคลนแบบนี้ต่อไป
“เกี่ยงกันไปมาเมื่อไหร่จะได้ทำ สงสัยต้องรอให้คนที่บ้านผู้ใหญ่ ไม่ก็ อบต.หัวแตกก่อนล่ะมั้ง” แทนไทแอบสบถกร่นแช่งออกมา แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก
“ไม่ต้องรอหรอก เมื่อเย็นนี้ไอ้เคนลูกผู้ใหญ่บ้านก็ไหลลงหลุมไปแล้วเหมือนกัน ฮ่าฮ่า” วิไลหัวเราะในความเจ็บปวดของผู้อื่นหน้าตาเฉย แต่แทนไทเองก็ไม่ต่างจากผู้เป็นแม่ เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขตามประสาแม่ลูกดังอยู่ในบ้านไม้สังกะสีหลังนั้นไปพักใหญ่
คืนนั้นแทนไทนอนครุ่นคิดถึงเรื่องนี้จนดึกดื่น เขาอยากทำถนนของหมู่บ้านเล็ก ๆ เส้นนี้ให้มันดีขึ้น เขาไม่อยากเห็นแม่สะดุดหลุมหรือลงไปสำรวจข้างในหลุมนั้นอีกแล้วว่ามันลึกกี่เมตร ตอนนี้ยังถือว่าเคราะห์ดีที่ยังไม่มีใครถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต แต่ก็ไม่มีอะไรมาการันตีว่าวันข้างหน้าจะไม่เกิดเรื่องร้ายแบบนั้นขึ้น
แทนไทกสองมือของตัวเองมองผ่านความมืดในมุ้งสายสีชมพู เขามองเห็นมันแค่ลาง ๆ เหมือนกับความคิดที่ว่าคนอย่างเขาจะทำอะไรได้ เรียนก็จบแค่ ปวช. ก่อสร้างมาเท่านั้นา เงินเดือนที่ได้ก็แค่ค่าแรงขั้นต่ำที่พอเลี้ยงดูตัวเองและผู้เป็นแม่ไปวัน ๆ ได้ มีเพียงประสบการณ์จากไซต์งานก่อสร้างที่ทำมาหลายปีเลยพอจะรู้ว่าถนนที่ดีเป็นอย่างไร
ถนนจำลองพื้นผิวดวงจันทร์ในหมู่บ้านเส้นนี้ จริงอยู่ว่ามันไม่จำเป็นต้องเทคอนกรีตหรือลาดยางก็สามารถทำให้ดีขึ้นได้ แต่ทำไมถึงไม่มีใครทำอะไรบ้างเลยล่ะ หรือเพราะทุกคนคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้งั้นเหรอ
“เฮ้อ” ความคิดวนเวียนชวนถอนใจนี้ยาวนานจนกระทั่งเปลือกตาปิดลง
“ไอ้แทนวันนี้เงินเดือนออกไปกินเหล้ากัน” วิทยาสะกิดไหล่เพื่อนด้วยท่าทางกระดี๊กระด๊า
“ไม่ไปอ่ะ พรุ่งนี้มีเรื่องต้องทำแต่เช้า มึงก็มาช่วยกูหน่อยแล้วกัน”
“ทำอะไรวะ” วิทยาทำท่าถอยหนีคำไหว้วานของเพื่อน เพราะมันเป็นวันหยุดหลังเงินเดือนออกพอดี เขากะจะกินเหล้าให้เมาน็อกสักหน่อย
“เออน่า มาแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง สาย ๆ ก็ได้ กูไม่ได้ให้มึงมาช่วยฟรี ๆ หรอก” แทนไทยิ้มอย่างรู้ทัน เขารู้นิสัยของไอ้วิทย์ดี อย่างไอ้นี่ต้องมีของกำนัลมาล่อมันถึงจะกระตือรือร้น
“เออ ๆ ถ้ากูตื่นทันละนะ” วิทยาได้ยินแบบนั้นก็มีท่าทางตื่นตัวขึ้นมาบ้าง ไอ้แทนมันจะทำอะไรวะ หวังว่าคงจะไม่หาทำอะไรที่ต้องเหนื่อยกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกนะ
แทนไทไม่ได้สนใจวิทยาอีก เขาเปิดสมุดเล่มเล็ก ๆ ที่พกมาด้วยแล้วจดอะไรบางอย่างขยุกขยิกลงไป เมื่ออ่านทวนอีกครั้งแล้ว ริมฝีปากก็ปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้น
เอาล่ะ... หวังว่าเงินเดือนเดือนนี้ของเขาคงจะพอสร้างประโยชน์อะไรได้บ้างล่ะนะ