เสียงพิธีกรกังวานขึ้นจากเวทีหลักกลางโถงงาน เสียงนั้นลึก หนักแน่น และเต็มไปด้วยพลังสะกดฝูงชนให้เงียบสงบในพริบตา
"ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี... ค่ำคืนนี้คือค่ำคืนแห่งประกายและเรื่องราว ค่ำคืนที่ความงามไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่มองเห็น แต่เป็นสิ่งที่สัมผัสได้จากหัวใจ" เสียงปรบมือดังขึ้นเบา ๆ ก่อนจะเงียบลงอีกครั้งเมื่อพิธีกรยกมือขึ้นอย่างนุ่มนวล "วรเมธินทร์กรุ๊ป มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งในการนำเสนอแฟชั่นโชว์เครื่องประดับแห่งปี ภายใต้แนวคิด 'ศรัทธาแห่งการฟื้นคืน' ซึ่งเชื่อมโยงเรื่องราวของความทรงจำอันมีค่า เข้ากับแสงสะท้อนของอัญมณี" เสียงดนตรีคลาสสิกเริ่มบรรเลงเบา ๆ เคล้ากับเสียงซุบซิบอันเงียบงันของผู้ชม "และเพื่อเปิดม่านสู่ค่ำคืนแห่งแรงบันดาลใจนี้ ขอเชิญทุกท่านพบกับการเดินแบบสุดพิเศษที่จะเปิดตัวด้วย 'เครื่องเพชรแห่งแรงบันดาลใจ' หนึ่งเดียวในค่ำคืนนี้!" แสงไฟทุกดวงดับวูบลงในเสี้ยววินาที ความเงียบปกคลุมห้องจนได้ยินเสียงลมหายใจเบา ๆ จากใครบางคน ทันใดนั้น แสงสปอตไลต์สว่างวาบขึ้นบนเวที พร้อมกับเสียงดนตรีที่พุ่งทะยานดั่งสายลมยามค่ำคืนที่โอบล้อมผู้ชมไว้ เวทีเปลี่ยนสีเป็นม่วงอมน้ำเงินระยิบ ทอดเงาบนพื้นพรมที่ปูด้วยลวดลายเฉพาะตัว ทุกสายตาถูกตรึงแน่นในวินาทีเดียวกัน พราวฟ้าก้าวออกจากม่านด้วยท่วงท่าสง่า เธอสวมชุดราตรีสีขาวไข่มุกปักคริสตัลระยิบระยับ เครื่องเพชรบนลำคอและข้อมือสะท้อนแสงไฟราวกับดวงดาวเคลื่อนไหว เธอหมุนตัวอย่างงดงามกลางเวทีสองรอบ ยืนโพสด้วยท่าทางมั่นใจ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยอย่างพอเหมาะ แสงไฟสะท้อนประกายสร้อยเพชรที่เธอสวมใส่อย่างพอดี ราวกับทุกจังหวะถูกออกแบบมา เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วห้องโถง ตามมาด้วยนางแบบอีกหลายคนที่ทยอยเดินออกมา แต่ละคนสวมเครื่องประดับในธีมเรื่องราวของผู้หญิงยุคใหม่ที่ไม่ใช่เพียงผู้สวมใส่ แต่คือผู้เล่าเรื่องของตัวเอง และในวินาทีสุดท้าย พราวฟ้ากลับมาอีกครั้งในชุดเครื่องเพชรฟินาเล่ สร้อยคอเม็ดงามระยับแตะเนินอก แหวนรัดนิ้วเรียว ข้อมือประดับด้วยสายเพชรเรียงตัวสลับเม็ดกลมและหยดน้ำ เสียงปรบมือดังกึกก้องราวกับยกโถงทั้งห้องขึ้นพร้อมกัน นารายืนมองภาพนั้นจากมุมหนึ่ง รอยยิ้มเธอจางแต่แน่วแน่ และพิธีกรก็ประกาศขึ้นอีกครั้ง “ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอย... การประมูลอย่างเป็นทางการ จะเริ่มต้นในอีกสิบนาทีต่อจากนี้!” บรรยากาศเคลื่อนไหวไปพร้อมกับแสงไฟ และแรงคาดหวังที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มของทุกคน การประมูลชิ้นแรกเริ่มต้นขึ้นภายใต้เสียงปรบมือแผ่วเบา เครื่องเพชรบนตัวนางแบบส่องสะท้อนแสงไฟอย่างน่าหลงใหล ทุกสายตาจับจ้อง ไม่ใช่แค่ด้วยความปรารถนา หากแต่ด้วยความคาดหวังต่อสิ่งงดงามที่ไร้ราคาประเมิน แต่แล้ว เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมา จากแถวกลางของห้องโถง “ขออนุญาตครับ!” เสียงนั้นไม่ดังนัก แต่กลับเฉียบคมพอจะแทรกทุกความเงียบเข้าไปถึงเวที ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเข้มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขายกมือขึ้น และกวาดตามองไปยังเครื่องประดับบนตัวของพราวฟ้าอย่างพินิจ “ผมอยากทราบว่าเพชรชุดนี้ ผ่านการรับรองจากสถาบันใดหรือยังครับ?” บรรยากาศเปลี่ยนไปในพริบตา เสียงซุบซิบไหลรินเหมือนกระแสน้ำเบา ๆ ที่เริ่มปั่นป่วน พิธีกรนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างสงบ “เครื่องเพชรทุกชุด ผ่านการรับรองโดยผู้เชี่ยวชาญที่ทางบริษัทเชิญมาอย่างเป็นทางการครับ หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม......” “แค่ตามคำบอก...มันยังไม่พอ” ชายคนนั้นพูดแทรกทันควัน “ผมทำงานกับเพชรมาทั้งชีวิต และจากสิ่งที่ผมเห็น…ประกายมันแปลก” เขาหรี่ตาเล็กน้อย “อาจจะไม่ใช่ของแท้” เสียงในห้องตกลงสู่ห้วงอึ้งงัน ทุกสายตาหันมาที่นารา เธอนิ่ง เงียบ ราวกับคลื่นไม่มีวันซัดถึงฝั่ง แต่ในแววตา พายุเริ่มก่อตัว ก่อนที่เสียงนั้นจะลุกลามเป็นไฟ มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นอย่างนุ่มนวลแต่ทรงอำนาจ “ทุกท่าน ใจเย็น ๆ ก่อนครับ” ชายในชุดทักซิโด้ยืนขึ้นช้า ๆ เขาคือคุณเกรียงศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันอัญมณีแห่งชาติ “ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมยินดีตรวจสอบให้ ณ ที่นี้ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย” อุปกรณ์ถูกยกขึ้นอย่างรวดเร็ว กล้องส่องเพชรสะท้อนประกายดั่งดวงตาอันแหลมคม เสียงเงียบสนิท ราวกับทุกลมหายใจต่างรอผลคำตัดสิน คุณเกรียงศักดิ์ เริ่มตรวจสอบจากเครื่องเพชรชุดเล็กที่บรรดานางแบบสวมใส่ “การเจียระไน น้ำหนัก ความคมของเหลี่ยมแสง และลักษณะการสะท้อนของประกาย...” เขาหยุดชั่วครู่ แล้วเงยหน้าขึ้น “จากการตรวจสอบเบื้องต้น ผมยืนยันได้ 95% ว่านี่คือเพชรแท้” เสียงปรบมือเริ่มดังขึ้น แผ่วเบา แต่พอให้อุ่นใจ ทว่า... “95% ยังไม่ใช่ 100%” ชายคนเดิมยืนกราน “อีกทั้ง เครื่องเพชรที่ผมสงสัยไม่ใช่เครื่องเพชรชุดธรรมดา แต่เป็นชุดฟินาเล่ที่คุณพราวฟ้ากำลังสวมใส่อยู่!” บรรยากาศเย็นยะเยือกอีกครั้ง เสียงปรบมือหยุดลงราวกับถูกตัดด้วยมีด นารายืนอยู่กลางเวที สีหน้าเธอนิ่งเรียบ ริมฝีปากแนบสนิท ดวงตาเธอสบตาผู้กล่าวหา...ไม่ใช่เพื่อปฏิเสธ แต่เพื่อสังเกต วัดอารมณ์ และหาความจริง แล้วจู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น...เบาแต่ฝังลึก “บางที...เขาอาจพูดถูกก็ได้นะคะ” เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่ง อรดา...เดินออกจากเงา ร่างในชุดราตรีสีเลือดนกดูเด่นชัดราวกลีบดอกไม้แช่อยู่ในไวน์แดง เธอค่อย ๆ เดินขึ้นไปใกล้เวที แววตาดูเจ็บปวด แต่ในความเจ็บปวดนั้นซ่อนบางสิ่งที่อันตรายเกินจะมองข้าม “ฉันเป็นผู้ช่วยของคุณนารา...” เธอเริ่มเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง “ฉันอยู่เบื้องหลังงานนี้ ดูแลรายละเอียดมากมาย...” เธอสูดลมหายใจ เหมือนหญิงสาวกำลังตัดสินใจสารภาพความผิด “และฉันรู้ว่าเพชรชุดนี้ ไม่ใช่ของแท้!” เสียงฮือฮาดังกึกก้อง หลายคนลุกขึ้นจากเก้าอี้ สีหน้าเปลี่ยนจากประทับใจเป็นไม่แน่ใจ บ้างเริ่มกระซิบถึงชื่อของวรเมธินทร์ด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลง “ฉันไม่อยากปกปิดอีกแล้วค่ะ” เสียงอรดาสั่นเล็กน้อย “ฉันไม่มีเจตนาทำร้ายบริษัท แต่ในเมื่อมีคนถามความจริง...ฉันก็ไม่อาจเงียบได้” นารามองเธออย่างเงียบงัน สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่ลมหายใจลึกขึ้นชัดเจน คำโกหกที่พ่นออกมาด้วยเสียงที่อ่อนโยนที่สุด บางทีอาจร้ายยิ่งกว่ามีดที่แทงจากด้านหลัง และนี่...คือหมากแรก ที่เดินออกมาจากเงา เสียงฮือฮายังไม่ทันจาง ธีภพยืนอยู่ตรงระเบียงชั้นสองของห้องจัดแสดง ใต้เงาของแชนเดอเลียร์คริสตัล เขาเงียบงัน ไม่เคลื่อนไหวแม้กระทั่งนิ้วมือ แสงไฟจากเวทีเบื้องล่างสาดเข้าหาดวงตาเขาเพียงครึ่งใบหน้า แต่อีกครึ่งนั้นจมอยู่ในเงามืดที่ไม่มีใครสังเกต ริมฝีปากเขายกเพียงน้อย...คล้ายรอยยิ้มที่ไม่ได้มีไว้สำหรับความพึงพอใจ หากแต่มีไว้สำหรับการ 'รู้ทัน' “ในที่สุด...เธอก็เปิดหน้าไพ่เสียที อรดา” เขายกมือถือขึ้นแนบหู เสียงปลายสายรับทันที ราวกับรออยู่แล้ว เสียงจากธีภพที่เอ่ยกับปลายสายทุ้มต่ำ แฝงความเงียบเยือกเย็น ราวกับไม่มีสิ่งใดในห้องโถงนั้นที่รอดพ้นสายตาเขาได้เลย เขาหลุบตาลงช้า ๆ มองใบหน้านาราที่ยังคงนิ่งงันกลางเวที แม้จะถูกกล่าวหา แม้จะถูกตรึงกลางแสงไฟและเสียงเคลือบแคลง “ดูแลความปลอดภัยของเธอให้ดี...” เขาพูดต่อ “ฉันไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องเธอได้แม้แต่ปลายผม” ปลายนิ้วเขาแตะราวระเบียงเบา ๆ แววตาเยือกลงก่อนจะหันหลังให้แสงเวทีและเดินหายเข้าไปในเงามืด เงาที่เฝ้ามองเกมนี้มาตลอด โดยไม่มีใครล่วงรู้ และบางที...เกมนี้ อาจไม่ใช่เพียงเรื่องของเพชรปลอม แต่เป็นเดิมพันของหัวใจ ที่กำลังจะถูกทดสอบครั้งสำคัญ“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด