นางเริ่มมองสำรวจภายในมิติ นอกจากแปลงสมุนไพรขนาดใหญ่แล้ว ยังมีเรือนหลังเล็กอยู่ด้วย ด้านข้างเรือนมีลำธารที่ไหลผ่านไปทางด้านหลังแปลงสมุนไพร
เยี่ยนอิงนางจึงได้รู้ว่า สมุนไพรที่เสี่ยวไป๋เก็บมาจากภายในถ้ำทั้งหมด ยังคงปลูกลงดินภายในมิติได้เช่นเดิม มิได้เก็บเข้าไปอยู่ภายในช่องเก็บของอย่าที่นางเข้าใจ
หากนางต้องการนำไปใช้เมื่อใด นางก็สามารถเข้ามาเก็บไปได้ทุกเมื่อ ด้วยของทุกสิ่งในตอนนี้ก็ล้วนแต่เป็นของนางแล้วเช่นกัน
สัตว์น้อยใหญ่ภายในมิติ เริ่มจะโผล่หน้าออกมามองเยี่ยนอิงอย่างสนใจ ทั้งหมดรับรู้ได้ถึงการมาถึงของผู้เป็นนายคนใหม่
“นี่คือนายหญิงแห่งมิติ” เสี่ยวไป๋เมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์อื่น มันก็แผ่รังสีอันน่าเกรงขามออกมา
“คารวะนายหญิงขอรับ/เจ้าค่ะ” เสียงของสัตว์ทั้งหมดดังไปทั่วมิติ พร้อมทั้งก้มหัวลงให้เยี่ยนอิงที่ยืนมองพวกมันด้วยความตกตะลึง
แม้จะมีลูกน้องในความดูแลเมื่อชาติก่อนหลายร้อยคน นางยังไม่ตกตะลึงเท่ากับสัตว์มากมายก้มหัวให้นางในตอนนี้เลย
“ฝะ ฝากตัวด้วย” เยี่ยนอิงยกมือขึ้นมา พร้อมทั้งยิ้มแห้งๆ
เสี่ยวไป๋ใช้อุ้งเท้าของมันตบลงที่บ่าของเยี่ยนอิงเบาๆ “ท่านพูดให้มันดูน่าเกรงขามหน่อย”
“อย่างไรเล่า” นางถลึงตามองเสี่ยวไป๋
“ช่างเถิด...ข้าจะพานายหญิงออกไปแล้ว หากพวกเจ้ามีปัญหาสิ่งใดในมิติก็ส่งกระแสจิตแจ้งข้าก็แล้วกัน” เสี่ยวไป๋พาเยี่ยนอิงออกไปทันทีหลังจากที่มันพูดจบ
เยี่ยนอิงเสียดายไม่น้อย นางยังไม่ได้สำรวจมิติเลยก็ถูกเสี่ยวไป๋พาออกมาด้านนอกแล้ว
“ฟ้าจะสว่างแล้ว ท่านก็ควรจะเตรียมตัวลงเขาได้แล้วขอรับ”
“แล้วเจ้าจะเดินไปพร้อมข้าด้วยร่างนี้รึ” นางมองร่างที่ใหญ่โตของเสี่ยวไป๋ หากไปแบบนี้ชาวบ้านได้ตกใจจนตายแน่
“ท่านมิต้องห่วง ร่างกายของข้าทำให้เล็กหรือใหญ่ได้ตามแต่ใจต้องการ ท่านห่วงตนเองเถิด”
“เรื่องใด” เยี่ยนอิงหันไปมองมันอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านลองไปดูรูปร่างของท่านในบ่อน้ำก่อน แล้วท่านจะรู้ได้เอง”
เยี่ยนอิงรีบเดินไปชะโงกหน้าดูที่บ่อน้ำตามคำเตือนของเสี่ยวไป๋ นางเกือบจะกรีดร้องออกมาอีกครั้ง เมื่อได้เห็นใบหน้าของตนเอง
มันเหมือนใบหน้าของนางในชาติก่อนไม่มีผิดเพี้ยน แต่ดูเหมือนจะงามมากกว่าเดิมเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนเลย
รูปร่างสัดส่วนก็ดูเหมือนจะขยายขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ที่นางเพิ่งจะเข้ามาสวมร่าง ร่างเดิมของฟู่เยี่ยนอิงแทบจะเหลือแต่กระดูก ใบหน้าก็ซูบผอมจนน่าสงสาร ทั้งรูปร่างยังเหมือนเด็กสิบสองหนาว ไม่ใช่เป็นสาวสะพรั่งเช่นในตอนนี้
“แล้วจะทำเช่นใดดี” หากนางออกไปด้วยสภาพเช่นนี้ ชาวบ้านจะต้องสงสัยเป็นแน่
“ข้าจัดการเอง” เสี่ยวไป๋ยกอุ้งเท้าขึ้นมาขีดเขียนผ่านอากาศแสงสีทองที่ออกมาจากปลายนิ้วเล็กป้อมของมัน หมุนวนอยู่รอบตัวของเยี่ยนอิงก่อนจะจางหายไป
พอนางชะโงกหน้าดูในบ่อน้ำอีกครั้ง ร่างกายก็กลับมามอมเมา ผอมแห้งเช่นเดิมแล้ว
“เจ้าร้ายกาจนัก” นางยิ้มกว้างมองเสี่ยวไป๋อย่างชื่นชม
“อะแฮ่ม เรื่องง่ายเพียงนี้ ไม่นับว่าเก่งอันใด” มันเชิดหน้าขึ้นอย่างโอ้อวด ก่อนจะให้เยี่ยนอิงกระโดดขึ้นมานั่งบนหลังของมัน
เสี่ยวไป๋ทะยานออกไปจากปากถ้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อเยี่ยนอิงหันไปมอง นางก็เห็นว่าปากถ้ำที่เคยมีก่อนหน้า ถูกหมอกปกคลุมจนมองไม่รู้ถึงการมีอยู่ของมันเสียแล้ว
เสี่ยวไป๋มิได้วิ่งออกไปพ้นเขตของป่า มันพาเยี่ยนอิงมาหยุดอยู่ที่ชายป่าด้านนอก ก่อนจะหดขนาดตัวให้เล็กลง เป็นเพียงแค่ลูกเสือขาวเท่านั้น หากผู้อื่นมองดูก็คงได้คิดว่ามันเป็นลูกแมว
เพียงแค่เสี่ยวไป๋เปลี่ยนร่างให้เล็กลง เสียงของชาวบ้านที่กำลังออกตามหาเยี่ยนอิงก็ตะโกนร้องเรียกชื่อของนางดังลั่นไปทั่วป่า
เยี่ยนอิงอุ้มเสี่ยวไป๋ขึ้นแนบอก ก่อนจะวิ่งไปตามเสียงที่กำลังเรียกหานาง พอเริ่มเห็นกลุ่มคน เยี่ยนอิงก็ลดฝีเท้าลง เปลี่ยนเป็นเดินกะเผลกแทน
“อิงเออร์ สวรรค์!!! นางอยู่ทางนั้น” ชาวบ้านชี้มือมาทางที่เยี่ยนอิงกำลังเดินออกไปอยู่
“ข้าอยู่นี้เจ้าค่ะ” นางเอ่ยตอบรับเสียงเบา ราวกับว่ากำลังป่วยหนัก
“เจ้าหายไปที่ใดมา แล้วขึ้นเขาผู้เดียวได้อย่างไร แล้วเจ้าไปอยู่ที่ไหนมาตลอดทั้งคืน” ป้าตู้เอ่ยตำหนินาง ทั้งยังรีบเดินมาดูสำรวจว่าเยี่ยนอิงนางได้รับบาดเจ็บที่ใดอีกด้วย
ป้าตู้ เรือนของนางอยู่ติดกับเรือนพักของสองพี่น้องตระกูลฟู่ นางมักจะพาเยี่ยนอิงและซานเซินขึ้นเขาพร้อมนางอยู่เสมอ
เมื่อวานตอนเย็น ซานเซินที่เห็นว่าพี่สาวยังไม่กลับมาที่เรือน จึงได้แบกร่างที่ป่วยหนักของเขาไปขอให้ป้าตู้ช่วยเหลือ
แม้ป้าตู้จะอยากออกตามหาเยี่ยนอิงตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็ไม่อาจทำได้ ด้วยฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก หลังจากที่นางรู้เรื่อง จึงทำให้ต้องรอตามหาในวันรุ่งขึ้น
พอฟ้าใกล้สว่างป้าตู้จึงไปขอร้องผู้นำหมู่บ้านให้ช่วยกันจัดคนออกตามหาเยี่ยนอิงทันที เพียงเดินเข้าเขตป่าชั้นนอกมาได้เพียงเล็กน้อย ก็พบร่างของเยี่ยนอิงที่กำลังเดินออกมาแล้ว
“ข้าพลัดตกเขาเจ้าค่ะ แต่มิได้บาดเจ็บมากนัก ข้าเห็นว่าฝนทำท่าจะตกจึงได้หาที่หลบพอฟ้าสว่าง ข้าจึงได้รีบออกมาเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงรีบบอกเล่าทุกสิ่ง แต่นางไม่ได้บอกเรื่องถ้ำ ด้วยกลัวชาวบ้านจะคิดว่านางโกหก
“ดีแล้ว ดีแล้วที่เจ้าไม่เป็นอันใด” ป้าตู้ลูบคลำเนื้อตัวของเยี่ยนอิงอยู่นานกว่าจะยอมปล่อยตัวของนาง
“ขอบคุณทุกท่านมากเจ้าค่ะ ขออภัยที่ทำให้เป็นห่วง” นางก้มหัวให้ชาวบ้านที่มาตามหานาง
“คราวหลังเจ้าอย่าได้ออกมาเพียงลำพังเช่นนี้อีก แล้วเจ้าขึ้นเขามาทำอันใด” ผู้นำหมู่บ้านกวน เอ่ยถามเยี่ยนอิง ทั้งมองนางอย่างเห็นใจ
“เซินเออร์ล้มป่วยเจ้าค่ะ ข้าต้องการหาสมุนไพรไปขายเพื่อพาน้องชายไปหาหมอ”
“หากมีเรื่องใดอีกให้ไปหาปู่ที่เรือน อย่าได้ทำให้ตนเองอยู่ในอันตรายอีกเด็ดขาด” ปู่กวนถอนหายใจออกมา สองพี่น้องล้วนปากหนักทั้งคู่ พวกเขาไม่เคยร้องขอหรือทำให้ผู้ใดต้องลำบากใจเลยสักครั้ง แม้เขาจะสั่งไว้แล้วว่าหากมีเรื่องเดือดร้อนให้มาบอกก็ตาม
“ขอบคุณท่านปู่กวนมากเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงก้มหัวให้
ชาวบ้านเมื่อเห็นว่าเยี่ยนอิงไม่ได้รับอันตรายต่างก็แยกย้ายไปทำงานของตนต่อ ป้าตู้เดินพาเยี่ยนอิงมาส่งถึงเรือน นางจึงได้สังเกตเห็นว่าในอ้อมแขนของเยี่ยนอิงมีสัตว์อยู่ด้วย
“นั่นเจ้าไปเอาแมวมาจากที่ใด”
“มันเดินตามข้ามาเจ้าค่ะ ข้าจึงได้อุ้มมันกลับมาด้วย”
“อิงเออร์เอ๋ย อิงเออร์ เจ้ากับน้องก็แทบจะกินหินกินดินอยู่แล้ว ยังจะเอามาเลี้ยงให้ลำบาก” ป้าตู้ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ
“ท่านป้า ต่อไปข้าไม่ลำบากแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนอิงแบมือให้ป้าตู้ดูสิ่งที่อยู่ในมือของนาง
ระหว่างทางที่เดินกลับกันมา เยี่ยนอิงเอ่ยถามเสี่ยวไป๋ว่าภายในมิติมีสมุนไพรใดที่พอจะแบ่งให้ป้าตู้ได้บ้างหรือไม่
จากความทรงจำเดิมของฟู่เยี่ยนอิง นางจึงได้รู้ว่าป้าตู้ดูแลสองพี่น้องดีไม่น้อย ทั้งยังเป็นห่วงมาดูว่าอยู่กันเช่นใดแทบจะทุกวัน นางจึงคิดที่จะตอบแทนความดีของป้าตู้สักเล็กน้อย
ไม่ใช่เพียงป้าตู้ที่นิ่งอึ้งเมื่อเห็น โสมมือของเยี่ยนอิง แม้แต่นางก็ตกใจเช่นกัน ที่เสี่ยวไป๋นำโสมอายุนับร้อยปีออกมาให้ป้าตู้
“เจ้าไม่มีหัวเล็กกว่านี้หรือไง” เยี่ยนอิงใช้สื่อสารกับเสี่ยวไป๋ผ่านทางจิต
“มันเล็กที่สุดแล้วนายหญิง ท่านให้นางไปเถิด ข้ามีอีกมากท่านก็เห็น”
“แล้วข้าจะบอกนางเช่นใดเล่า”
เยี่ยนอิงเห็นแววตาที่กังวลของซานเซิน จึงคิดว่าเขาห่วงเรื่องภาพลักษณ์ของตนเอง นางถึงได้เอ่ยออกมา“ข้าจะไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาดว่าหอเหว่ยซินเป็นการค้าของเราสองพี่น้อง เจ้าวางใจได้”“ต่อให้ผู้อื่นรู้ข้าก็ไม่กลัวว่าจะถูกมองเช่นใด เพียงแต่ว่า...ท่านเป็นสตรีต่อไปท่านจะต้องออกเรือน หากบ้านสามีรู้เข้าจะรังเกียจท่านรึไม่ หากท่านโดนรังแกข้าจะทำเช่นไร” ซานเซินเป็นห่วงพี่สาวเสียมากกว่า“หึหึ เจ้าคิดรึว่าข้าจะยอมให้ผู้ใดรังเกียจหรือรังแกข้าได้ เจ้าห่วงว่าข้าจะไปรังแกผู้ใดเถิด” เยี่ยนอิงอมยิ้มมองซานเซินอย่างแฝงไปด้วยความหมายตัวนางในตอนนี้กลายเป็นผู้ฝึกตนไปแล้ว แม้จะเป็นเพียงแค่เริ่มต้นก็ตาม แต่ต่อไปเล่า เรื่องความเก่งกาจของนางยังจะต้องกลัวว่าจะมีผู้ใดคิดรังแกอีกรึ“ไว้ข้าโตอีกหน่อย ข้าจะออกหน้าแทนท่านเอง”“เหอะ เจ้าตั้งใจเรียนไปเลย ข้าอยากได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวของเสนาบดี เจ้าทำให้พี่ได้หรือไม่เล่า” เยี่ยนอิงมองน้องชายอย่างหยอกล้อ“ข้าเพิ่งเข้าเรียนได้วันเดียว ท่านก็คาดหวังเสียสูงเช่นนี้” ซานเซินถอนหายใจออกมาแต่ภายภาคหน้าเรื่องที่สองพี่น้องหยอกล้อกันผู้ใดจะคิดว่าเป็นจริง เมื่อซานเซินกลายเป็นเสน
เยี่ยนอิงอยู่ภายในห้องร่างแบบข้าวของอยู่นาน จนลุงอีกับเสี่ยวไป๋ซื้อคนพากลับมาที่เรือน อิงฮวาจึงได้มาตามนางออกไปเพื่อตรวจดู“อืม...ใช้ได้” บุรุษวัยกลางคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเยี่ยนอิง รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางดุดันแต่ก็แฝงไปด้วยอำนาจในตัวหากนางไม่รู้ว่าการว่าคนผู้นี้ทำงานเป็นทาสเลี้ยงม้าอยู่ทางตอนใต้ของแคว้น ถูกขายทิ้งออกมาอยู่ถึงชายแดนเหนือนางคงไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นเพียงทาสอย่างแน่นอนด้านข้างของเขายังมีสตรีรูปร่างซูบผอม ทั้งบริเวณใบหน้าของนางยังมีแผลเป็นขนาดถึงสามชุ่นอยู่ที่แก้มข้างขวา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความงามของนางลดลงไปแม้แต่น้อย“พวกเจ้ามีนามว่าอันใด” เยี่ยนอิงเอ่ยถามเสียงเรียบ“ข้าน้อยไม่มีนามเป็นของตนเอง อยู่กับนายคนเก่าถูกเรียกว่าโก่วต้าขอรับ”“ข้าน้อยหรูหลัน เดิมเป็นนางคณิกาอยู่ที่หอเลี่ยงซิน แต่ถูกซื้อตัวไป รอยแผลที่เห็นบนใบหน้าของข้าน้อยเป็นฮูหยินของท่านใต้เท้าลงโทษ นางคงคิดว่าข้าน้อยใกล้สิ้นใจแล้วจึงได้ขายทิ้งออกมาเจ้าค่ะ” แววตาของนางเผยความเกลียดชังออกมาวูบหนึ่ง เมื่อนึกถึงผู้ที่ทิ้งรอยแผลไว้บนใบหน้าของนาง“โก่วต้า ข้าจะเปลี่ยนชื่อให้เจ้าใหม่ หรูหลันเจ้าอยากใช้น
“หึ เพียงแค่นี้พวกเจ้ายังหวาดกลัวจนเสียขวัญ แล้วต่อไปจะคุ้มครองนายหญิงได้อย่างไร” มันเอ่ยเสียงเย็นออกมาอย่างเหยียดหยามเยี่ยนอิงได้แต่ส่ายหัว มันคิดว่ามันเป็นแมวหรืออย่างไร มีผู้ใดบ้างที่ไม่กลัวเสือ อีกทั้งเสือที่พูดได้ แล้วยังตัวใหญ่กว่าเสือที่นางเคยพบเจอมาเสียด้วย“ต่อไปนี้ พวกเจ้าต้องมาฝึกวรยุทธ์กับข้าทุกวัน ต้องตื่นยามอิ๋น (03.00-04.59 น.) เข้าใจหรือไม่” มันกดเสียงต่ำอย่างข่มขู่“ขะ เข้าใจขอรับ” เสี่ยวชีเอ่ยเสียงสั่นด้วยความกลัวใบหน้าของเสี่ยวไป๋ที่กำลังแยกเขี้ยวขาว อยู่ห่างจากหน้าของเสี่ยวชีเพียงไม่กี่ชุ่น ต่อให้คนใจกล้าแค่ไหน ก็ต้องกลัวจนฉี่แทบราดอยู่ดี“พอแล้วเสี่ยวไป๋ พวกเจ้าไปพักก่อนเถิด ยังต้องตื่นยามอิ๋นมาฝึกวรยุทธ์อีก หากมาสายระวังเสี่ยวไป๋จะเข้าไปกัดคอพวกเจ้าถึงในเรือน” เยี่ยนอิงเอ่ยข่มขู่อย่างขบขัน ก่อนจะลุกกลับไปที่เรือนของตนเองโดยมีซานเซินแล้วเสี่ยวไป๋เดินตามหลังนางไปด้วย กว่าคนทั้งห้าจะเรียกสติกลับมาได้ ก็กินเวลาอยู่หลายอึดใจ ต่างก็รีบร้อนกลับไปเข้าที่พักของตนอย่างรวดเร็วกลัวว่าหากรั้งอยู่นานกว่านี้ เสี่ยวไป๋คงได้กินพวกเขาทั้งห้าเป็นของหวานหลังอาหารมื้อเย็นเป็นแน่
ในเมื่อหมดเรื่องที่จะสนทนาแล้ว หลิวเพ่ยหมินจำต้องเดินทางกลับไปที่จวนของเขา พร้อมกับโสมพันปีในมือสองหัวเยี่ยนอิงเมื่อส่งหลิวเพ่ยหมินกลับไปแล้ว นางก็เรียกป้าเหลียนมาสั่งความเรื่องให้นางทำอาหารมากเสียหน่อย“ป้าเหลียนวันนี้ทำอาหารมากเสียหน่อย ส่วนที่ท่านทำให้ข้ากับเซินเออร์ ก็ทำให้ทุกคนในจวนเหมือนกันไปเลย ข้าไม่หวงเรื่องกิน เรื่องอยู่” นางไม่สนใจว่าผู้เป็นนายต้องกินแต่ของดี ส่วนบ่าวจะต้องกินของเหลือจากผู้เป็นนายเท่านั้นในเมื่อเป็นมนุษย์เช่นกัน ทุกคนที่นางรับมาอยู่ด้วยมีสิทธิ์ที่จะกินดื่มเหมือนกับนางและน้องชาย หากพวกเขาซื่อสัตย์ต่อนางอย่างแท้จริง“ได้เจ้าค่ะ” ป้าเหลียนรับคำอย่างยินดี ก่อนจะออกไปจัดการทำอาหารให้เยี่ยนอิงมื้อเย็นในจวนตระกูลฟู่ ทั้งนายและบ่าวต่างนั่งร่วมกินอาหารด้วยกันอย่างสนุกสนาน ซานเซินฉีกยิ้มกว้างตลอดมื้ออาหาร เมื่อทุกคนต่างร่วมยินดีกับเขาด้วย“หากพวกท่านยังไม่หยุดชมข้า เท้าของข้าคงไม่ติดพื้นแล้วขอรับ” ซานเซินเกาหัวอย่างเขินอาย เขาเคยได้รับคำชื่นชมเช่นนี้เสียที่ไหน“หึหึ น้องชายข้าหน้าแดงหมดแล้ว พวกท่านที่เคยเป็นผู้คุ้มกันมาก่อน หากกินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้ามีเรื่อ
บัณฑิตไม่น้อยที่สนใจอยากจะรู้ว่าสตรีหน้าห้องอาจารย์หานเป็นผู้ใด แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ขวางทางเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ตำแหน่งที่เยี่ยนอิงนั่งอยู่จะโทษนางก็ไม่ได้ที่ออกมานั่งล่อลวงบุรุษเช่นนี้ ด้วยอาจารย์หานกำลังทดสอบความรู้ของซานเซินอยู่ อีกทั้งนางก็ไม่ได้เดินเพ่นพ่านหรือส่งสายตายั่วยวนบัณฑิตเสียหน่อย“แม่นาง เชิญด้านในได้แล้วขอรับ” เจ้าหน้าที่มาเชิญเยี่ยนอิงให้เข้าไปในห้องอาจารย์หาน เมื่อการทดสอบของซานเซินเสร็จลงพอนางเข้าไปด้านในก็รู้ได้ทันทีว่าซานเซินคงได้เข้าเรียนอย่างแน่นอน ด้วยใบหน้าที่ฉีกยิ้มกว้างของเขา และแววตาของอาจารย์หานที่มองซานเซินอย่างพอใจ“ข้ารับน้องชายเจ้าเข้าเรียน อีกประเดี๋ยวเจ้าตามเจ้าหน้าที่ไปจ่ายค่าเรียนของปีนี้ ส่วนเรื่องตำราเครื่องเขียนเจ้าจะรีบของสำนักศึกษาหรือว่าจะจัดหามาเอง”“รับของที่สำนักศึกษาเลยเจ้าค่ะ”“แล้วจะพักอยู่ในสำนักศึกษาหรือไม่”เยี่ยนอิงหันไปเลิกคิ้วขอความเห็นจากซานเซิน“ศิษย์จะเดินทางไปกลับขอรับ จวนของศิษย์อยู่ห่างจากสำนักศึกษาเดินเท้าเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้นขอรับ” ซานเซินเอ่ยตัดสินใจเอง“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า พรุ่งนี้ก็มาเรียนได้เลย” อาจารย์หานพยักหน้าร
พอรุ่งเช้า สองพี่น้องจัดการกินมื้อเช้าในมิติ ก่อนจะออกมาด้านนอก เจ้าหน้าที่ว่าการก็พาทาสทั้งยี่สิบคนมาที่จวนของนางพอดี“พวกเจ้ามีชื่อแซ่กันหรือไม่” นางเอ่ยถาม เมื่อคนทั้งยี่สิบมานั่งอยู่ตรงหน้าของนางภายในห้องโถงมีเพียงไม่กี่คนที่มีชื่อแซ่ของตนเอง คือกลุ่มบุรุษห้าคนที่เคยอยู่ในสำนักคุ้มกันภัยมาก่อน แต่ด้วยถูกใส่ร้ายจากผู้คุ้มกันในสำนักเดียวกัน ทำให้ทั้งห้าถูกขายออกมาเป็นทาส“เช่นนั้น ข้าจะให้พวกเจ้าใช้แซ่ฟู่ของข้า คนที่เหลือก็เช่นกัน นามเดิมก็ลืมไปเสีย ต่อไปข้าจะเรียกตามลำดับ อี เอ้อ อู๋...ก็แล้วกัน” นางชี้นิ้วไปตามลำดับอาวุโส ทำเช่นนี้นางจะจดจำได้ง่ายกว่า หากต้องคอยจำชื่อคนทั้งหมด“ขอรับ” บุรุษทั้งสิบสองคนต่างตอบรับคำของเยี่ยนอิง แม้นางจะเป็นเพียงแม่นางน้อย แต่อำนาจที่แผ่ออกมาจากตัวก็กดข่มพวกเขาเอาไว้ได้อย่างดี“ส่วนพวกเจ้า...” นางชี้มือไปที่สตรีทั้งแปดคน ก่อนจะถอนหายใจออกมา นางไม่ชื่นชอบการตั้งชื่อให้ผู้ใดเลย“นายหญิง ท่านเรียกพวกนางตามชื่อดอกไม้ดีหรือไม่” เสี่ยวไป๋เอ่ยออกมาการที่มันเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทำให้ทาสทั้งยี่สิบคนตื่นตระหนกไม่น้อย สตรีทั้งแปดเกือบจะกรีดร้องออกมา ยังดีที่พวกนา