ทางด้านหมู่บ้านด้าย หลังจากที่หลิวหงเถา หลิวหลี่เฟยและชิงหมินไปเก็บใบหม่อนทางอีกฝากฝั่งหนึ่งของหมู่บ้านได้ไม่นาน สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นวันนี้ก็เกิดขึ้น
ชายฉกรรจ์กว่าห้าสิบคน รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายชุดดำทั้งตัวพร้อมมีผ้าคาดปิดใบหน้าเอาไว้เดินถืออาวุธครบมือกันเข้ามาในหมู่บ้าน สตรีชาวบ้านที่เห็นต่างกรีดร้องพร้อมกับวิ่งหนีความไม่ปลอดภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามา
“โจรบุก! เตรียมการสู้เร็วเข้า”
ส่วนชาวบ้านฝั่งบุรุษนั้นก็เร่งไปให้หาอาวุธเพื่อใช้ในการต่อสู้กับผู้บุกรุก บุรุษในหมู่บ้านเองแม้จะมีฝีมือไม่มาก แต่จำนวนคนที่มีเยอะกว่าทำให้พวกเขาคิดว่าอย่างไรก็พอสู้ได้
“ใจเย็นๆ ใจเย็น ๆ” ในกลุ่มโจรมีบุรุษคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า ควบม้าเยาะเบา ๆ เข้ามาตามหลังลูกน้อง “จะเรียกโจรได้เพราะมาจากการปล้น ฉกชิง วิ่งราว แต่วันนี้พวกเราไม่ได้มาปล้น แต่มาขอเงินใช้ต่างหาก”
“เจ้าของเขาไม่เต็มใจให้ ความหมายก็คือการปล้นอยู่ดี”
ชายชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่เขาได้รับจากการโต้ตอบกลับไปในครั้งนี้คือการที่บ่าไม่มีศีรษะให้ตั้งไว้อีกต่อไป เป็นการขู่ขวัญที่ทำให้ชาวบ้านกลัว ไม่กล้าขัดขืนอีก
เหล่าโจรทำเวลาได้รวดเร็วมาก จับชาวบ้านทุกคนมารวมกันไว้ตรงจุดศูนย์กลางของหมู่บ้าน จากนั้นก็มัดมือทุกคนไพล่ไว้ด้านหลัง ใครขัดขืนจับฆ่าปาดคอทิ้งในทันที ซึ่งส่วนมากที่เสียชีวิตลงไปล้วนเป็นบุรุษที่สู้จนตัวตาย
ภาพเลือดสีแดงฉานที่นองเต็มพื้นทำให้สตรีทั้งหลายทนไม่ไหว หนึ่งในนั้นร้องไห้ระบายความหวาดกลัวออกมาพร้อมเอ่ยขอร้อง
“ฮึก ฮือ อย่าทำอะไรพวกเราเลยนะเจ้าคะ ทรัพย์สินที่มีอยู่ในเรือนข้าเอาไปให้หมดเลยเจ้าค่ะ แต่ไว้ชีวิตพวกเราเถิดนะเจ้าคะ”
“อือ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย ค้น!”
หลังจากได้รับคำสั่งจากหัวหน้า เหล่าโจรก็ทำการรื้อค้นอย่างไม่เกรงใจ เอาทรัพย์สินที่ค้นจากเรือนชาวบ้านได้มากองใส่รถขนสินค้าที่เตรียมมาด้วยหลายคัน หมู่บ้านแห่งนี้ส่วนใหญ่เลี้ยงไหมและทอผ้าขาย ฉะนั้นทรัพย์สินส่วนใหญ่จึงเป็นผ้าพับใหญ่และพวกด้ายต่าง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเอาไปขายต่อก็ได้ราคาดีไม่ต่างจากเครื่องประดับสตรี
“หัวหน้าขอรับ เรือนใหญ่อีกฝั่งหนึ่งมีรถม้าติดสัญลักษณ์ตระกูลไว้ด้วย ข้าไม่รู้ว่าเป็นตระกูลใด แต่ดูจากการตกแต่งรถม้าแล้วเป็นของพวกคนมีเงินแน่ขอรับ”
“นำทางไป”
หัวหน้าโจรเยาะม้าไปทางที่ตั้งของรถม้า มุมปากมีหนวดเคราเฟิ้มกระตุกยิ้ม สัญลักษณ์นี้เขาเห็นเพียงแวบแรกก็รู้แล้วว่าเป็นของตระกูลใด ในหัวดีดลูกคิดรางแก้วขึ้นมาแล้ววกม้ากลับไปเค้นความเอากับชาวบ้าน
“เจ้าของรถม้าหรูหรานั่นอยู่ไหน”
ช่วงนี้ทั้งหมู่บ้านมีเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่มาเช่าเรือนพัก ทุกคนจึงรู้ว่าหัวหน้าโจรหมายถึงใคร แต่เมื่อไม่มีใครปริปากกล่าวอะไรขึ้นมาเลย หัวหน้าโจรจึงส่งสายตาให้ลูกน้องจัดการ โดยเขาเลือกดึงชายชราขึ้นมาคนหนึ่งแล้วเอามีดจ่อคอเหี่ยวย่นเอาไว้
“พูด!”
“กรี๊ด! อย่าทำอะไรท่านพ่อของข้าเลยนะเจ้าคะ เราไม่รู้จริง ๆ เจ้าค่ะว่านางไปไหนแล้ว ก่อนหน้านี้เห็นอยู่ที่โรงเลี้ยงไหม ตอนนี้ไม่รู้จริง ๆ เจ้าค่ะ”
จากคำพูดนี้ดูเหมือนตระกูลหลิวจะสามารถรอดไปได้แล้ว ถ้าหากไม่ใช่มีใครคนหนึ่งเห็นว่าพวกเขาเดินไปทางไร่หม่อนเข้า ด้วยความกลัวว่าตัวเองและคนในหมู่บ้านจะเป็นอันตรายไปมากกว่านี้ จึงได้ยอมพูดถึงเบาะแสของคนนอกหมู่บ้านออกไปแทน
ในอีกฝากฝั่งหนึ่งนั้นผู้คุ้มกันภัยคนหนึ่งอาสากลับหมู่บ้านไปเอาน้ำมาให้พวกพ้องตนพอดีจึงได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเข้า ร่างสมส่วนจึงรีบวิ่งกลับไปบอกสหายร่วมงานที่คุ้มกันคุณหนูคุณชายอยู่ไร่หม่อน
“คุณหนู คุณชาย แย่แล้วขอรับ!”
เหล่าผู้คุ้มกันที่ดูแลความปลอดภัยอยู่ใกล้ ๆ เข้ามารวมตัวกันในทันที ท่าทางแตกตื่นของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกใจไม่ดี
“เกิดอะไรขึ้น”
หลิวหงเถาวางตะกร้าหม่อนไว้บนพื้น สายตาจดจ้องรอเอาคำตอบจากผู้คุ้มกัน ในขณะเดียวกันนั้นร่างกายก็เปิดประสาทรับรู้ทุกจุดให้ตื่นขึ้นมา ทำให้นางได้ยินเสียงแว่วดังมาจากที่ไกล ๆ
ทิศทางที่ดังขึ้นมานั้นก็คือหมู่บ้าน!
“โจรภูเขาบุกขอรับ มีมากกว่าห้าสิบคน ตอนนี้ชาวบ้านที่เป็นเด็ก สตรีและคนชราถูกจับมารวมกันแล้ว ส่วนบุรุษที่พอมีวิชาการต่อสู้หน่อยก็ถูกสังหารทิ้งหมดแล้วขอรับ”
“หมายความว่าหากเป็นบุรุษที่โตเต็มวัยมันพร้อมที่จะสังหารทิ้ง แต่สตรีมันก็พร้อมที่จะขายทิ้งด้วยใช่หรือไม่”
คำพูดของหลิวหลี่เฟยทำให้หลิวหงเถาเกิดอาการกลัวขึ้นมาจับขั้วหัวใจ มือสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ แต่เมื่อไล่สายตามองแล้วทุกคนก็เกิดอาการที่ไม่ต่างจากนางนัก นั่นทำให้นางต้องสะกดจิตตัวเองเอาไว้ พยายามควบคุมตนเองให้ไม่รนรานและมีสติพร้อมที่จะคิดหาทางรอด
“แบ่งเราคนหนึ่งไปขอความช่วยเหลือจากทางการได้หรือไม่ ข้าประเมินตัวเองแล้ว มากสุดคือสามารถวิ่งหลบหนีได้ในระยะไม่ไกลจากบริเวณนี้แน่ หากมันรู้ว่าเราอยู่ที่นี่…”
เสียงฝีเท้าคนและฝีเท้าม้ากำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะผู้คุ้มกันที่เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้า ในบรรดาโจรทั้งหมดผู้เดียวที่ขี่ม้ามาก็คือ…
“หัวหน้าโจรแน่นอนขอรับ หลบเข้าป่าหม่อนก่อนเถิด”
โชคดีที่ต้นหม่อนไร่นี้ต้นสูงและค่อนข้างชุกชุม พวกเขาทุกคนจึงกระจายกันหลบเข้าป่าหม่อนคนละฝั่ง โดยผู้คุ้มกันอีกสามคนอยู่ฝั่งหนึ่งเพื่อเตรียมลอบสังหารโจร ส่วนอีกสามคนอยู่ฝั่งเดียวกับคุณหนูคุณชายและช่างปัก
“หมอบแนบพื้นให้ได้มากที่สุด”
หัวหน้าผู้คุ้มกันสั่ง มือกำดาบแน่น เตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีในทุกด้าน
กรุบ กรุบ กรุบ
ในยามที่ม้าวิ่งเข้ามาใกล้ หลิวหงเถาทำถึงขนาดกลั้นลมหายใจเอาไว้ กลัวว่าการหายใจเข้าออกจะทำให้โจรร้ายรู้ตัว จวบจนกระทั่งเห็นฝ่าเท้าม้าและคนอีกสามสี่คนวิ่งผ่านไป นางจึงได้กล้าผ่อนลมหายใจเข้าออก
“เฮ้อ หัวใจข้าจะวาย”
หลิวหงเถาหันไปสำรวจพี่ชายฝาแฝด ใบหน้าของเขาซีดมาก มีเหงื่อเม็ดใหญ่อยู่ตามไรผม แผ่นหลังชื้นเหงื่อ บ่งชัดว่าตัวเขาเองก็กลัวมากเช่นกัน นางจึงเอื้อมมือไปตบหลังมือเขาเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
สิ้นคำนางก็หยิบกระเป๋าใบเล็กและเปิดสิ่งที่อยู่ด้านในออกมา ทุกคนมองตามการกระทำของนางตาไม่กะพริบ และดวงตายิ่งเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ด้านในกระเป๋านั้นคือเข็มขนาดเล็กขนาดเดียวกันเรียงกันเป็นแพ
“พี่เถาเถ่า ปล้องไม้ไผ่อันนี้คือ”
“เอาไว้ใส่เข็มเคลือบยาสลบ ถ้าพวกโจรมันย้อนกลับมาแล้วไม่ปล่อยผ่านเราไป พี่จะลงมือจริง ๆ แล้วนะ”
มือบางหยิบเข็มหลายอันขึ้นมาแล้วสอดลงในช่องไม้ไผ่ที่ด้านในได้ใส่กลไกลับเอาไว้แล้ว
หลิวหลี่เฟยอึ้ง เขาแทบจะอยู่กับน้องสาวฝาแฝดทุกช่วงเวลา ไม่ยักรู้ว่านางจะมีของแบบนี้ไว้ติดตัวด้วย
“น้องหญิงเล็ก เจ้าน่ากลัวนะ”
หลิวหงเถายกยิ้มมุมปาก สายตาจริงจังกับคำพูดนี้ของตนเองเป็นอย่างมาก “ถ้าครั้งนี้เรารอดไปได้ เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่สาวตกลงไหม”
แน่นอนว่าหลิวหลี่เฟยย่อมไม่ยอมอยู่แล้ว เขาทำท่าจะเอ่ยปฏิเสธ แต่อยู่ ๆ ต้นหม่อนที่พวกเขาใช้ซ่อนอำพรางกายอยู่นั้นก็ถูกตัดออกไปจนเหลือแต่ตอ แสงสว่างจากแดดจ้าเข้ามาแทนที่พร้อมกับที่กลุ่มโจรวิ่งกลับมาทางนี้อีกครั้ง
เป็นโจรชั่วที่ปามีดเข้ามาตัดต้นหม่อนออกไป จังหวะเมื่อครู่หากมีใครโผล่ศีรษะขึ้นมาจากการนอนราบพอดี รับรองว่าไม่มีศีรษะให้ตั้งบ่าอีกต่อไปแน่
“มาหลบกันอยู่นี่เอง ชอบเล่นซ่อนหาก็ไม่บอก”
ตอนพิเศษที่ : 3เริ่มต้นชีวิตคู่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยณ ห้องหอของบ่าวสาวคู่ใหม่ในวังปีศาจ สองบ่าวสาวคล้องแขนกันดื่มสุรามงคลที่เถาฮวาเฉินเป็นผู้ทำขึ้นมาเอง แน่นอนว่ารสชาติที่ได้ย่อมต่างจากสุราทั่วไปที่นางให้ผู้อื่น“รู้หรือไม่ว่าสุราที่เราให้ฉางฉ่างดื่มจะทำให้ฉางฉ่างไม่สามารถไปดื่มสุราที่ใดได้อีก”“ข้ารู้”เถาฮวาเฉินเลิกคิ้วขึ้นสงสัย “เหตุใดถึงไม่แปลกใจหรือไม่สงสัยอันใดเลย ไม่คิดบ้างหรือว่าเราอาจจะวางยาอะไรใส่ให้ฉางฉ่างดื่มกินก็ได้”หยิ่นฉางยกยิ้ม ทั้งยังเทสุราใส่จอกแล้วยกดื่มให้นางดูอีกสามครั้ง เป็นการบอกว่าเขาไม่ได้สงสัยในสิ่งนี้ ช่างขยันในการพิสูจน์ด้านการกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริง ๆ“ท่านรู้สึกแย่หรือไม่ ที่ข้าไม่ได้บอกท่านก่อนเรื่องที่ให้ท่านพ่อเตรียมงานแต่งงานของเราไว้”ท่าทางของเถาฮวาเฉินไม่แสดงออกว่าโกรธหรือไม่ แต่เขาก็ยังอยากรู้ความรู้สึกลึก ๆ ของนาง“อือ” นางทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่คนที่เฝ้ารอคำตอบกลับแอบกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว “อาจจะตกใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนะ ฉางฉ่างก็อย่าคิดมาก เราเป็นคนตรง ๆ อยู่แล้ว คิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรไม่เก็บมาคิดคนเดียวหรอก”“จริงหรือ”“จริงสิ
ตอนพิเศษที่ : 2องค์ชายเล็กของแดนปีศาจ“ว้าว~นี่เป็นครั้งแรกเลยกระมังที่เราได้มาเยือนพระราชวังของแดนปีศาจ ใหญ่โตดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบเหมือนกันนะฉางฉ่าง”หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแนบชิดกันมาสามวัน คำเรียกของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปแล้ว จาก ‘หยิ่นฉาง’ ก็เป็น ‘ฉางฉ่าง’ และจากเถาฮวาก็เป็น ‘เถาเถ่า’“ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเถาเถ่า ท่านพ่อต้องชอบท่านแน่ ไม่ต้องกังวลนะ เขาจะดีต่อท่าน”เถาฮวาเฉินพยักหน้ารับพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ในใจคิดเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเพิ่งผ่านช่วงแต่งงานแล้วก็กลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวกันนะ ว่าแต่…“จอมปีศาจจะชอบสุราของเราหรือไม่ สุราหมื่นปีแบบนี้แม้จะเป็นของหายาก แต่ไม่ได้มีใครที่จะได้ดื่มกินบ่อย ๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่คุ้นลิ้น อย่างช่วงงานฉลองราชย์ขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เราเคยเอาสุราหมื่นปีถวายเช่นกัน แต่พระองค์มิใคร่พอใจนัก ช่างเอาใจยากจริง ๆ”หยิ่นฉางหัวเราะในลำคอเบา ๆ หากบิดาของเขาได้ยินคำบ่นนี้ของนางไม่วายหัวเราะชอบใจที่นางเอ่ยนินทาประมุขของเผ่าสรรค์เช่นนี้“ทุกคนรอเราอยู่ที่ท้องพระโรงใหญ่”“หือ ท้องพระโรงหรือ”เถาฮวาเฉินรู้สึกเอะใจกับคำพูดนี้ของเขามาก จนกระทั่งเขาพานางเดินมาถึงจ
ตอนพิเศษที่: 1กิจกรรมที่คนคบกันเขาทำกัน ณ พระราชวังแคว้นชิงชิว “ท่านว่าเรามองนางอยู่เช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว”“ไม่รู้สิ หนึ่งชั่วยามได้แล้วหรือไม่ ถ้าท่านรู้สึกว่าเสียเวลาก็ไปทำงานที่คั่งค้างไว้ก่อนได้เลย ข้าขอดูนางต่ออีกหน่อย”หยิ่นฉางส่ายหน้าเบาๆ “ได้ใช้เวลาอยู่กับท่าน เช่นนี้ไม่เรียกว่าเสียเวลาหรอก แล้วอีกอย่างข้าก็ว่างมากด้วย”ตอนนี้เถาฮวาเฉินและหยิ่นฉางได้ลงมาโลกมนุษย์อีกครั้งเพื่อทำกิจกรรมที่คู่รักเขาทำกัน นั่นคือการทำอะไรก็ได้ให้ใช้เวลาร่วมกันมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่เถาฮวาเฉินเสนอมาก็คือการนั่งมององค์หญิงสาม บุตรสาวของหลิวหงเถาที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่เถาฮวาเฉินละสายตาจากองค์หญิงสามเพื่อหันกลับมาจ้องมองหยิ่นฉาง “ใช้คำพูดรุกเราให้ใจเต้นรัวอีกแล้วนะ” จากนั้นก็จูงมือเขาออกจากศาลาที่องค์หญิงสามนั่งอยู่ ทั้งคู่พรางกายเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีมนุษย์ผู้ใดสามารถมองเห็นได้“ช่วงข้าวใหม่ปลามันจะให้แผ่วได้อย่างไร”ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น แขนยาวยังเอื้อมไปโอบไหล่นางพร้อมซบหน้าลงหัวไหล่ด้วย เถาฮวาเฉินไม่ได้ขัดขืนทั้งยังยกมือขึ้นลูบศีรษะเขาตอบ ทั้งคู่จับมือกันเดินผ่านสวนงดงามของวังหลวงและพูด
เถาฮวาเฉินพูด :“อื้อ~สบายจัง”ข้าบิดขี้เกียจพร้อมกล่าวเสียงอู้อี้ออกมาขณะที่ดวงตายังคงปิดสนิทอยู่ ข้ารู้สึกที่นอนนั้นช่างหนานุ่ม สามารถดูดวิญญาณของข้าให้อยู่บนนี้ได้ทั้งวัน แต่เดี๋ยวก่อนนะ…“ข้ามีเตียงแบบนี้ด้วยหรือ”“...จากที่ข้าลอบเข้าไปดูที่แดนดอกท้อ ไม่มีนะท่าน”เฮือก!เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านั้นข้าก็เด้งตัวขึ้นมานั่ง จากที่ไม่อยากลืมตาสู้แสง ดวงตากลับแจ่มชัดไร้ความพร่ามัว“นี่ท่าน…”กำลังจะตั้งคำถามว่า ‘นี่ท่านมาอยู่ห้องของเราได้อย่างไร’ แต่สุดท้ายก็เงียบไป เพราะคิดได้ว่าตนเองต่างหากที่มาอยู่ในดินแดนของผู้อื่น“ว่าต่อสิ หรือกำลังคิดอยู่ว่าข้าได้ทำอะไรท่านหรือไม่”หยิ่นฉางถามขึ้นยิ้ม ๆ ทั้งยังถอยห่างออกจากข้าดั่งกับว่าเขาอยากให้ข้ารู้สึกปลอดภัย ไม่โดนคุกคามอยู่ นั่นจึงทำให้ข้ารู้สึกดีต่อการกระทำนี้ของเขามาก“เราเปล่าคิดเช่นนั้นสักหน่อย ว่าแต่ท่าน…”ข้าไล่สำรวจเขาทั้งร่าง ตอนแรกก็แค่รู้สึกว่าเขามีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่าง พอสำรวจอย่างละเอียดอีกที ที่แท้เป็นเพราะชุดสีขาว“ข้าดูแปลกตาไปใช่หรือไม่ ท่านจึงได้จ้องตาไม่กะพริบถึงเพียงนี้”หยิ่นฉางถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนที่จะยื่นมือม
สิ้นคำที่หยิ่นฉางปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ ‘สุภาพชน’ เขาก็แสดงอาการตรงข้ามกับคำพูดนี้ทันทีโดยการอุ้มร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนแล้วหายวับกลับถิ่น ณ ดินแดนปีศาจในทันทีตุบ!“โอ๊ย!”หยิ่นฉางวางเถาฮวาเฉินลงบนเตียงอย่างแรงจนร่างบางรู้สึกเจ็บจนต้องร้องออกมา ใบหน้างามชักสีหน้าใส่เขา แต่หยิ่นฉางหรือจะสน ร่ายมนตร์สร้างอาณาเขตไว้เพื่อไม่ให้เถาฮวาเฉินใช้พลังหนีออกจากที่นี่ไปได้จนกว่าจะสนทนากันให้รู้เรื่อง“ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ ข้าก็นับว่าเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดตนหนึ่งในแดนปีศาจ มีทั้งประสบการณ์ด้านการต่อสู้ ไม่ว่าจะทั้งสัตว์อสูรร้ายหรือแม้กระทั่งเทพเซียนที่แข็งแกร่ง ข้าก็ผ่านมาแล้ว สำหรับท่านที่วัน ๆ หมักแต่สุรา...”พูดเพียงเท่านี้ก็เงียบไป อีกทั้งยังส่ายหน้าน้อย ๆ สองครั้ง ทำเอาคนถูกสบประมาทเดาคำว่า ‘สำหรับข้าไม่นับว่าเป็นอะไร จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด’ จากท่าทางของหยิ่นฉางได้แล้ว“เมื่อก่อนท่านไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่เหตุใดถึงได้เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้”หยิ่นฉางเลิกคิ้ว “ก็ไม่ใช่ว่าท่านบอกให้ข้าลืมเลือนเรื่องในอดีตหรอกหรือ นี่อย่างไร ข้าก็ลืมความอ่อนโยนที่เคยมีให้แล้วแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว ตกลงจะเอาอย่าง
“หึ! โดนเสด็จพ่อของพวกเจ้าลงโทษเรื่องใดมาเล่า ถึงได้มากวาดลานวัดเช่นนี้”“ท่านน้า”องค์ชายแฝดทั้งสองทิ้งไม้กวาดแล้ววิ่งเข้าไปหา ‘ท่านน้าหยิ่นฉาง’ ผู้ที่เวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย เมื่อก่อนมีรูปลักษณ์เช่นไรตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน“พวกเจ้านี่นะ โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวเหมือนกับลูกลิงอยู่ได้ รักษาภาพลักษณ์องค์ชายแห่งแคว้นบ้างเถิด”องค์ชายใหญ่พ่นลมหายใจออกจากจมูกอย่างแรง ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด“ท่านน้า ภาพลักษณ์ของพวกเราไม่เหลือตั้งแต่ที่เสด็จพ่อให้มากวาดลานวัดเช่นนี้แล้วขอรับ”“แต่ข้าว่าไม่เหลือตั้งแต่ไปก๊งเหล้าที่ร้านนั้นแล้วละ”อ๋องน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่จะเดินเข้ามารวมกลุ่มด้วย ที่จริงเขาไม่ได้โดนลงโทษให้มากวาดลานวัดเช่นนี้ แต่มีหรือที่องค์ชายแฝดจะปล่อยให้เขารอดไปได้ ทั้งยังกล่าวว่า…‘มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมฝ่าฝันไปด้วยกัน’“หือ” หยิ่นฉางเลิกคิ้วถาม “ร้านใดกันที่ทำให้ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักชินอ๋องถึงขั้นไปลิ้มลองได้”องค์ชายรองเป็นคนอธิบายคำถามนี้ “เป็นร้านสุราดอกท้อข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่งขอรับท่านน้า คนขายเป็นพ่อค้าหน้าหยก รสชาติสุราเป็นร
“ต้าเกอ วันนี้กระบวนท่าไม่เลวเลย ฝีมือท่านพัฒนาขึ้นมาก”“เป็นเอ้อร์ตี้ออมมือให้ต่างหาก มิเช่นนั้นเราคงไม่เสมอกันเช่นนี้ เอาเป็นว่าขอบคุณที่ทำให้ต้าเกอไม่เสียหน้าก็แล้วกัน ไม่สิ! ต่อให้แพ้ แต่แพ้เอ้อร์ตี้ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอายอะไร”“ต้าเกอก็ชมข้าเกินไปแล้ว มา! เอ้อร์ตี้คารวะให้ท่านหนึ่งจอก”“ได้เลย”สองบุรุษหน้าตาคล้ายกันเกือบสิบส่วนเอื้อนวาจาเยินยอกันเองก่อนที่จะยกจอกสุราชนกัน ทั้งสองคนที่ว่าก็คือองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองของแคว้นชิงชิวนั่นเอง ก่อนทั้งสองกลับวังตนเองทั้งคู่ได้ชวนกันมาร่ำสุราที่ร้านข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง“อือ สุราดี”รสชาติของสุราทำให้ทั้งสองพอใจเป็นอย่างมาก ขนาดที่ทั้งคู่หันไปชมเถ้าแก่ร้านหน้าละอ่อนไม่หยุด“เถ้าแก่ สุราดอกท้อของท่านรสชาติดียิ่ง ท่านทำเองหรือว่ารับมาขาย”เถ้าแก่ร่างบางตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะแย้มยิ้มรับคำชมนั้นอย่างภูมิใจ“แน่นอนว่าข้าย่อมหมักเอง คุณชายทั้งสองสนใจซื้อในปริมาณมากหรือไม่ ข้าน้อยจะคิดราคาให้เป็นพิเศษเลย”“โอ้ เช่นนั้นข้าขอสั่งสักสิบไหได้หรือไม่ เถ้าแก่เชิญคิดราคามาได้เลย”“สิบไหเป็นห้าตำลึงเงินก็แล้วกัน ราคากันเอง”ไม่เพียงองค์ชายทั้
หลิวหงเถาพูด:เวลาของโลกมนุษย์และดินเแดนเบื้องบนต่างกัน หนึ่งวันของแดนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์ ระยะเวลารวมที่ข้าเซียนจากแดนแห่งการชำระล้างจากไปเป็น 40 วัน ของแดนสวรรค์ ในเมืองมนุษย์ก็เท่ากับ 40 ปีใช่! ตอนนี้ข้าตายจากการเป็นมนุษย์และได้กลับมายังดินแดนชำระล้างแล้ว พลังบริสุทธิ์ที่คุ้นเคยทำให้ข้ารู้สึกร่างกายคล้ายกับได้รับการเยียวยา พลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก …ที่แท้ความรู้สึกของการเลื่อนขั้นเป็นเช่นนี้ข้าเดินเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่อันมีดอกไม้นานาชนิดประดับตกแต่งไว้ ทั้งการจัดโต๊ะ ทั้งบรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกถึงงานเลี้ยงฉลองไม่มีผิด ทันใดนั้นข้าก็ได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“ยินดีต้อนรับเซียนเถาฮวา ไม่ใช่สิ! ยินดีต้อนรับเทพเถาฮวากลับสู่แดนชำระล้าง ทั้งหมดนี้คืองานฉลองการต้อนรับกลับบ้าน”คนแรกที่ข้าเห็นยามเดินเข้ามาในห้องโถงคือท่านหัวหน้าดินแดน สิ้นประโยคของนางก็เกิดคลื่นพลังมากมายหลากสีขึ้นมาในห้องโถง พร้อมกับการปรากฏตัวของเทพเซียนองค์อื่น ๆ“ยินดีต้อนรับเถาฮวาเฉิน” พวกนางกล่าวต้อนรับข้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ข้าจึงมอบรอยยิ้มจริงใจส่งกลับไปให้ทุกคนเช่นกัน“ขอบคุณ
เมื่อยามที่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนักแล้วได้ยินเสียงอ้อแอ้ของเด็กหญิง เสียงพูดไม่ชัดของเด็กชาย เสียงใสของสตรีอันเป็นที่รัก มันทำให้ข้ารู้สึกถึงคำว่า ‘ครอบครัว’นึกอยากขอบคุณเสด็จอาในวันนั้นที่บอกให้เขาอย่าได้สัญญาว่าจะไม่แตะต้องนาง มิเช่นนั้นคืนวันเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้นในชีวิตเขา“เสด็จพ่อ”‘อีเกอ’ พระโอรสองค์แรกของเขาวิ่งเข้ามาเกาะขา ร่างสูงก้มตัวลงแล้วอุ้มบุตรชายขึ้นแนบอก กดจมูกหอมแก้มซาลาเปาอย่างหมั่นเขี้ยว การที่มีคนหน้าตาคลายคลึงนางเพิ่มมาถึงสามช่างดีจริง ๆ“ฝ่าบาท…”ฮองเฮาคู่บัลลังก์ของเขาเพียงแค่ส่งยิ้มมอบให้เท่านั้น ไม่ได้ลุกขึ้นทำความเคารพ เพราะเขาเคยห้ามไว้ไม่ให้นางทำในเวลาส่วนตัวเช่นนี้“เป็นอย่างไรบ้าง ตำหนักใหม่ถูกใจฮองเฮาหรือไม่”ฮ่องเต้หนุ่มถามนางขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความนุ่มนวลไว้หลายส่วน นางพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วส่งบุตรีคนที่สามมาให้เขาอุ้ม ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเมื่อเห็นเหงือกสีชมพูอ่อนไร้ฟันแย้มยิ้มดีใจที่เขาจะอุ้มนาง“เสี่ยวเม่ยของพ่อ”ไทเฮาโปรดหลานสาวคนนี้มากกว่าใคร ฮ่องเต้หนุ่มทราบว่าพระมารดาอยากมีองค์หญิงน้อยมาตลอด แต่ว่าสภาพร่างกายไม่เอื้อต่อการมีบุต