ภารกิจครั้งนี้ไม่สำเร็จ!!
เสียงระเบิดดังสนั่นต่อเนื่อง เรือเกิดไฟไหม้อย่างรุนแรง ถังชิงหว่านไม่ทันได้ไตร่ตรองหาวิธีเอาตัวรอด แรงกระแทกทำให้ร่างของเธอตกลงไปท้องทะเล แม้เธอจะว่ายน้ำเก่งแค่ไหนน้ำแต่อาการบาดเจ็บที่ขาทำให้เธอไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้
หลังจากประเมินสถานการณ์ ถังชิงหว่านก็ไม่หาคิดวิธีรักษาชีวิต เธอสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็ว
ทำงานด้านนี้เธอย่อมไม่เคยหวาดกลัวความตาย
ตายไม่เสียดาย แต่เสียดายที่ยังไม่ได้ใช้เงินเก็บเหล่านั้น เดิมคิดว่าอีกสักสี่ห้าปีจะลาออกไปใช้ชีวิต ท่องเที่ยวใช้เงินอย่างซ้อในบาร์โอสต์ซื้อความสุขโดยไม่เสียดาย
แต่ตอนนี้คงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว
ก่อนจะสิ้นสติถังชิงหว่านยังตัดพ้อสวรรค์ เธอทำงานด้านความมั่นคงให้คนอื่นได้อยู่อย่างสงบปลอดภัย ทำความดีมากมายขนาดนี้ แต่เธอกลับไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตแบบนั้นบ้าง หวังว่าชาติหน้าสวรรค์จะชดเชยจุดนี้ให้เธอสักเล็กน้อย
จากนั้นความมืดก็จู่โจมเข้ามา ไม่ทันได้เจ็บปวดมากนัก
ถังชิงหว่านก็หมดสติไป
ณ จวนเสนาบดีหวัง
เรือนเล็ก ๆ แทบจะอยู่ท้ายจวนเด็กสาววัยสิบสี่สิบห้าผู้หนึ่งนอนไร้สติอยู่บนเตียง หมอวัยชราดึงมือออกจากจุดชีพจรสีหน้าดูเคร่งเครียด อนุหลิวลอบมองด้วยใจตื่นตระหนก
“เป็นอย่างไรบ้าง” ฮูหยินหวังเอ่ยถามหมอจ้าวด้วยน้ำเสียงกังวล
“เรียนหวังฮูหยินคุณหนูเจ็ดถูกไอเย็นอย่างหนัก ชีพจรอ่อนแรง ทว่าหากผ่านคืนนี้ไปได้จึงจะนับว่าปลอดภัยขอรับ”
อนุหลิวฟังคำกล่าวนี้แฝงนัยว่าเด็กสาวคนนี้คงมีชีวิตไม่พ้นคืนนี้ ด้วยสีหน้าซีดเซียวไร้วาจา หวังฮูหยินภายในแม้จะไม่เสียใจแต่ใบหน้าก็ยังแสดงความเศร้าโศก กล่าวขอบคุณหมอจ้าวจากนั้นก็หันไปสั่งงานบ่าวไพร่ ให้จัดการสิ่งที่ควรจัดการ อะไรที่จะต้องเตรียมก็ต้องเตรียมเสีย แล้วค่อยมาปลอบอนุหลิวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าผิดเอง...ข้าไม่ควรบีบคั้นนาง” อนุหลิวส่ายหน้าก้มหน้าสะอื้นร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เป็นลมหมดสติ หวังฮูหยินจึงเรียกคนให้มาพานางกลับไปพักที่เรือน
นับว่าหมอจ้าวกล่าวไม่ผิด คืนนี้ ณ ช่วงเวลาหนึ่งวิญญาณของถังชิงหว่านได้หลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว...เหลือเพียงร่างกายที่ยังมีลมหายใจแผ่วเบา ในช่วงเสี้ยววินาทีก็มีวิญญาณหนึ่งเข้ามาพร้อมกับขุมพลังสายหนึ่งปรับให้ลมหายใจแผ่วเบากลับมาเต้นเป็นจังหวะอย่างมั่นคงอีกครั้ง
ถังชิงหว่านค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาจากความมืดมิดพร้อมความทรงจำที่เหมือนไม่ใช่ของเธอผุดขึ้นมานับไม่ถ้วน
สาวใช้ไป๋ถิงที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงเห็นสีหน้าของเด็กสาวดีขึ้น ใจที่เศร้าโศกก็เริ่มมีความหวังนางไปปลุกไป๋ชิงที่เผลอหลับไป
“ไป๋ชิงเจ้าดูสิ คุณหนูเจ็ดน่าจะรอดแล้ว”
ยามเช้า
แสงตะวันยามเช้าทอประกายอบอุ่น แม้ว่าจะมีคุณหนูของจวนใกล้จะสิ้นลมก็ไม่ทำให้คนในเรือนใหญ่อย่างสวีเพ่ยรู้สึกหม่นหมอง นางตื่นขึ้นมาตั้งใจเรียกคนมาสอบถาม การจัดการงานศพก็ต้องประหลาดใจ
“ยังไม่ตายหรือ?”
แม่นมโจวหยักหน้าตอบ
“เจ้าค่ะฮูหยิน...ตอนนี้เหมือนจะได้สติขึ้นมาแล้ว บ่าวเลยให้คนไปตามท่านหมอจ้าวมาตรวจดูอาการ”
สวีเพ่ยหยักหน้าชื่นชมกับความละเอียดรอบคอบของบ่าวคนสติ เบื้องหลังเกลียดชังเพียงใด แต่เบื้องหน้าสวีเพ่ยก็ยังต้องแสดงการเป็นฮูหยินที่ใจกว้างมีเมตตา นางหยิบจอชาขึ้นจิบเบา ๆ ถอนหายใจพลางกล่าว
“น่าเสียดายยิ่งนัก...”
เรือนเล็ก
เดิมถังชิงหว่านได้สติตั้งแต่หมอจ้าวเข้ามาแล้ว ด้วยสัญชาติญาณเธอรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงได้แสร้งทำเป็นเหม่อลอยสะลืมสะลือสติยังเลอะเลือน แต่พอทุกคนออกไป นางจึงได้ลืมตาขึ้นอีกครั้งสาดแววตาคมกริบมองรอบ ๆ ภายในห้องตกแต่งด้วยเครื่องเรือนแบบโบราณทั้งหมด ประมวลกับคำกล่าวของพวกคนเหล่านั้นอีกทั้งเธอยังมีความทรงจำของบางคนอยู่ในหัว
จากเหตุผลทั้งหมดถังชิงหว่านเรียบเรียงเรื่องราวสรุปได้ว่านางมาเกิดใหม่แล้ว แล้วยังเกิดใหม่ในร่างของเด็กสาวหวังชิงหว่านที่ตกน้ำป่วยจนสิ้นลม
แม้ภายในใจถังชิงหว่านเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกในตอนแรกแต่สุดท้ายเธอก็สงบสติได้อย่างรวดเร็ว
เอาเถอะในเมื่อสวรรค์ไม่ดึงความทรงจำเธอกลับ คงมีเจตนาบางอย่าง เธอจะลองใช้ชีวิตในฐานะหวังชิงหว่านให้ดีล่ะกัน
ช่วงบ่ายพอมีแรงขึ้นมาบ้าง หวังชิงหว่านพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ไป๋ชิงที่อยู่ใกล้รีบมาดันหลังประคอง
“คุณหนูเหตุใดไม่เรียกใช้บ่าวเจ้าคะ”
“ข้าแค่ต้องการจะลุกขึ้น”
“คุณหนูหิวหรือไม่เจ้าคะ...ข้าได้เตรียมโจ๊กไว้ อุ่นไว้ตลอดเวลาเผื่อท่านตื่น” ไป๋อิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
หวังชิงหว่านส่ายหน้า “ข้าขอน้ำดื่มก็พอ”
แต่ไป๋ชิงก็พูดแย้งเสียงแผ่วเบา “กินสักหน่อยเถอะนะเจ้าคะคุณหนู ร่างกายจะได้มีแรงและจะได้ทานยาด้วย” หวังชิงหว่านมองตาไป๋ชิงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยจึงพยักหน้า
หลังไป๋ชิงออกไป ผ้าม่านก็ถูกเลิกขึ้นอีกครั้งปรากฏหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความอิดโรยดวงตาแดงบวมที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก กระนั้นก็ไม่อาจลดทอนความงามของนางลงแต่ยิ่งขับความบอบบางน่าทนุถนอมยิ่งกว่าเดิม หวังชิงหว่านรีบทบทวนความทรงจำกับคนผู้นี้
นางคือ อนุหลิว มารดาของนางนั่นเอง
“หว่านเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง...เด็กดีเหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้ หากเจ้าเป็นอะไรไปข้าจะอยู่ได้อย่างไร”
หวังชิงหว่านไม่รู้จะรับมือกับสตรีที่เป็นเช่นบ่อน้ำเช่นนี้อย่างไร โชคดีที่หวังชิงหว่านคนเดิมไม่ได้สนิทสนมกับมารดาตนเองนัก นางจึงเลือกปิดตาลงหลบหลีกการพูดคุย อนุหลิวเห็นเช่นนั้นก็ชะงักตกใจเกรงว่าบุตรสาวจะไม่พอใจตนเองอีก จึงรีบกล่าว
“หว่านเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป ฮูหยินรับปากแล้ว เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ให้เป็นไปตามที่เจ้าปรารถนา”
ได้ยินเช่นนั้น หวังชิงหว่านก็ลืมตาขึ้น แววตาคมกริบทำให้อนุหลิวตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง
“เอ่อ...แล้ว..หว่านเอ๋อร์ต้องการสิ่งใด ข้าจะไปอ้อนวอนหวังฮูหยินให้เจ้าเอง”
ขืนให้อนุหลิวไปพูดคุยเรื่องอาจจะยิ่งวุ่นวายหวังชิงหว่านหลับตาลงอีกครั้งแล้วพูดขึ้น
“เรื่องนี้...เอาไว้ก่อน ข้าจะตัดสินใจใหม่ภายหลัง”
อนุหลิวได้ยินเช่นนั้นก็รีบพูดคล้อยตาม “นั่นสิ สิ่งที่สำคัญคือสุขภาพตอนนี้ต้องดูแลรักษาตัวเองก่อน” ขณะนั้นไป๋ชิงก็กลับมาพร้อมโจ๊กถ้วยหนึ่ง
อนุหลิวจึงลุกขึ้นพร้อมปรายสายตามมองบุตรสาวอย่างครุ่นคิด แม้ว่าเดิมจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อแต่นางก็ไม่เคยรับรู้ถึงความเหินห่างเย็นชาจากบุตรสาวเช่นนี้ คงเป็นเพราะนางไม่ได้เรื่องจนบุตรสาวต้องเรียกร้องด้วยชีวิต เพียงแค่คิดดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา แต่หากยังร้องไห้อีก อนุหลิวเกรงว่าจะยิ่งทำให้บุตรสาวไม่พอใจจึงกล่าวลาออกไปด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
หวังชิงหว่านชำเลืองมองตามหลังมารดา แผ่นหลังอันบอบบางนั้นนอกจากความอรชนยังมีสะท้อนความอ้างว้างออกมาชัดเจน ไม่รู้ว่าหวังชิงหว่านคนเดิมตาบอดหรืออย่างไรจึงยังอยากจะเป็นอนุผู้อื่นเฉกเช่นมารดาอีก
ช่วงเวลาที่ป่วย แม้ว่าจะมีคนมาที่เยือนที่เรือนแต่ก็แค่พอเป็นพิธี นับว่าได้ยังมีเวลาถังชิงหว่านได้ปรับตัวและได้ทบทวนผู้คนพร้อมกับตัวตนของหวังชิงหว่านที่ตายไปแล้ว หลังจากนอนซมอยู่ภายในเรือน พอร่างกายเริ่มแข็งแรงนางก็อยากจะออกไปชมบ้านเมืองในยุคนี้บ้าง
จึงลองเอ่ยอ้างขึ้นมา
“ไป๋อิง หลังจากที่ข้าป่วย..ชีวิตก้าวได้ก้าวไปประตูผีครึ่งหนึ่งข้าอยากจะไปไหว้พระขอพรเป็นสิริมงคลให้ตัวเองสักครั้ง”
ไป๋อิงได้ยินเช่นนั้นก็หันไปสบตากับไป๋ชิงก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงระวัง “คุณหนูเจ็ด...ตอนนี้ท่านคงไม่คิดจะหาวิธีหนีออกจากจวนนะเจ้าคะ”
เห็นท่าทีแวดระแวงของสาวใช้ หวังชิงหว่านชะงักเล็กน้อยทบทวนความทรงจำก่อนจะถอนหายใจยาว การเปลี่ยนเป็นคนใหม่ไม่ง่ายจริง ๆ ประวัติที่ผ่านมาของหวังชิงหว่านผู้นี้ยากจะทำให้คนอื่นเชื่อใจ นางจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไปเถอะ”
ไป๋อิงเห็นสีหน้าหวังชิงหว่านเต็มไปด้วยความน้อยใจ แม้ว่านางจะรู้สึกสงสารแต่ก็ใจอ่อนไม่ได้จึงพูดปลอบโยน
“คุณหนูอดทนอีกสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ...คืนนี้นายท่านก็กลับมาแล้ว ไม่ใช่ฮูหยินบอกว่าหรือ ว่าจะหารือเรื่องงานแต่งงานของท่านใหม่…ท่านต้องได้สมหวังอย่างแน่นอน”
หวังชิงหวานครุ่นคิดด้วยอายุและประเพณีที่นี่คงหลีกเลี่ยงงานแต่งงานไม่ได้ ร่างกายก็แสนจะอ่อนแอแถมยังขาดกำลังสนับสนุน หากต้องการจะออกจากกรงใหญ่นี้คงต้องเป็นการแต่งงานและดีที่สุดคือแต่งกับตระกูลเล็ก ๆ เพื่อที่นางจะได้จัดการได้ง่าย คู่หมั้นที่หวังฮูหยินจัดเตรียมไว้ให้ก็นับว่าดีแล้วจึงพูดออกไป
“ข้าจะไปคารวะฮูหยินเสียหน่อย”
เห็นสายตาที่ไป๋ชิงและไป๋อิงมองหน้ากัน หวังชิงหว่านจึงกล่าวต่อ “วางใจเถอะ...ข้าไม่ก่อเรื่องแล้ว”
หลายวันที่ผ่านมานับว่าหวังชิงหว่านเปลี่ยนไปไม่น้อย อีกอย่างอย่างไรพวกนางก็เป็นแค่บ่าว ไป๋อิงจึงรีบกล่าวขึ้น “คุณหนูคิดมากไปแล้ว บ่าวแค่เห็นว่าคุณหนูพึ่งหายป่วยเกรงว่าหากออกไปเดินตากลมอาจจะทำให้กลับมาไม่สบายอีกได้...ถ้าอย่างนั้นให้บ่าวประครองท่านไปนะเจ้าคะ”
หวังชิงหว่านไหนเลยจะเคยให้คนประครองเดิน นางโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้อง ข้าพอเดินเองได้”
เดินมาสักครู่ใหญ่หวังชิงหว่านก็เข้าใจเหตุใดสาวใช้จึงเกรงว่าจะเจ็บป่วยอีก นางลืมไปเสียสนิท...เพราะเส้นทางเดินมาจากเรือนใหญ่นี้ยาวไกลเกือบจะเป็นกิโล ด้วยร่างกายบอบบางและพึ่งจะหายป่วยทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าโดยง่าย ไป๋ชิงสังเกตเห็นสีหน้าของหวังชิงหว่านจึงพูดขึ้น
“คุณหนูพักสักหน่อยไหมเจ้าคะ”
หวังชิงหว่านพยักหน้าจึงเดินเข้าไปนั่งในศาลาเล็ก ๆ แล้วพูดขึ้น “พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าท่านพ่อจะกลับถึงจวนยามใด”
“ท่านเสนาบดีเข้าประตูเมืองหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ยังอยู่ที่วัง คาดว่าตอนเย็นจึงจะได้กลับจวน”
หวังชิงหว่านผงกศีรษะ นางต้องไปคุยกับหวังฮูหยินก่อนที่บิดาของนางจะกลับถึงจวน
Комментарии