มู่หรงเจี้ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร เล่นแหวนอังคุฐหยกอยู่ในมือวงหนึ่ง “ยามนี้ใต้หล้าสงบ ไหนเลยยังมีเรื่องต้องหารือ? มิจำเป็น”ราชครูถงเอ่ยเรียบ “เวลานี้ฎีกาทั้งหลายล้วนผ่านมือของเขาจึงจะถึงพระหัตถ์ของฝ่าบาท แม้จะดำรงตำแหน่งเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่เช่นนี้จะเอาตามใจตัวเองมากไปหน่อยแล้ว ไม่สอดคล้องกับกฎบรรพชนพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงเจี้ยนเงยหน้า “เขาคือเซ่อเจิ้งอ๋องที่เสด็จพ่อทรงแต่งตั้ง ก่อนเสด็จพ่อสวรรคตก็ทรงกำชับเช่นนี้เหมือนกัน ราชครูมีวิธีใดยึดอำนาจมาจากมือของเขาได้หรือไม่? เวลานี้ขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักส่วนมากเป็นคนของเขาทั้งสิ้น”ราชครูถงแลเฉินไท่ฟู่ “ฝ่าบาท พระองค์ต้องตระหนัก พระองค์ต่างหากที่เป็นโอรสสวรรค์ในปัจจุบัน เป็นฮ่องเต้ของแคว้นต้าโจว ฝ่าบาทสามารถออกราชโองการปลดอำนาจทางทหารและอำนาจทางการเมืองของเขาได้พ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงเจี้ยนนิ่งงันครู่หนึ่ง มองเฉินไท่ฟู่ “เฉินไท่ฟู่ ท่านมีความเห็นอย่างไร?”เฉินไท่ฟู่คือบิดาหยวนผินที่เขาโปรดปราน จงรักภักดี ทั้งยังมีความสามารถ เขาเชื่อใจเฉินไท่ฟู่มากเฉินไท่ฟู่พิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “โปรดประทานอภัยที่กระหม่อมกล่าวตามตรง กระหม่อมคิดว่าเวลานี้บ้าน
“เรื่องนี้ยังไม่ต้องพูดถึง อีกไม่กี่วันราชทูตจากแคว้นอันหนานก็จะมาถึง หลายปีก่อนหลังจากฮ่องเต้แคว้นอันหนานเจอน้องแปดแล้วก็เฝ้าคิดถึงมาตลอด ประสงค์อภิเษกแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา” มู่หรงเจี้ยนเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม“บัดนี้แคว้นอันหนานกำลังทหารแข็งแกร่ง แม้จะเป็นพันธมิตรกับต้าโจวเรา แต่พันธมิตรที่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์เช่นนี้ บอกจะตัดก็ตัด ยามนี้ราชอำนาจเรายังไม่มั่นคง กระหม่อมของเสนอ มิสู้ทำตามความประสงค์ของฮ่องเต้แคว้นอันหนานพ่ะย่ะค่ะ” ราชครูถงเอ่ยเฉินไท่ฟู่ไม่รอให้มู่หรงเจี้ยนเอ่ยก็แย้งขึ้นมาทันที “กระหม่อมไม่เห็นด้วย ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอดีตฮ่องเต้เคยปฏิเสธเรื่องการอภิเษกนี้ ฮ่องเต้แคว้นอันหนานพระชนมายุสูง เป็นปู่ขององค์หญิงแปดได้สบาย ๆ อีกอย่าง บัดนี้ต้าโจวเราบ้านเมืองแข็งแกร่งเช่นกัน หากจะรบกันจริง ๆ แคว้นอันหนานหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของเรา?”“ท่านเลอะเลือนยิ่งนัก! การเปิดศึกต้องคร่าชีวิตผู้คน ท่านทำใจเห็นพสกนิกรต้องพลัดพรากบ้านแตกสาแหรกขาดหรือ? อีกอย่าง ทันทีที่บ้านเมืองหนึ่งมีกำลังทหารแข็งแกร่ง ขุนศึกครองเมือง ท่านจะควบคุมสถานการณ์เช่นนี้ได้หรือไม่?” ราชครูถงเอ่ยเสียงแข็ง“พูดไปพูดมา ล้วนแต
“ฝ่าบาท มิได้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ การทำเช่นนี้จะทำให้ต้าโจวเราเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่าง...”“ไท่ฟู่ หมู่โฮ่วฮองไทเฮาเคยล้างข้อสงสัยให้หยวนผินบุตรสาวท่าน ท่านจึงเห็นนางเป็นผู้มีพระคุณ จุดนี้ข้าสามารถเข้าใจได้ แต่เรื่องเกี่ยวพันถึงบ้านเมือง หวังว่าท่านจะพิจารณาเพื่อส่วนรวม” ราชครูถงเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง“อื่ม เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน เรื่องนี้หากมิใช่นาง หยวนผินต้องรับกับความอยุติธรรมแล้วจริง ๆ เพียงแต่... นางคือหมู่โฮ่วฮองไทเฮา นางสมควรทำเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว” มู่หรงเจี้ยนกล่าวอย่างเรียบง่าย“ฝ่าบาท กระหม่อมมิใช่เพื่อสำนึกบุญคุณ เพียงคิดว่าการทำเช่นนี้จะเป็นการเสื่อมเสียเกียรติของบ้านเมือง มิสู้ปฏิเสธฮ่องเต้แคว้นอันหนานโดยตรง”“ปฏิเสธฮ่องเต้แคว้นอันหนานแล้ว ไท่ฟู่สามารถแบกรับผลที่จะตามมาได้หรือ?” มู่หรงเจี้ยนถามเขาเกลียดเรื่องเช่นนี้ที่สุด อย่าว่าแต่ให้เขาแต่งหลงจ่านเหยียนไปแทน ต่อให้ต้องส่งองค์หญิงแปดซึ่งเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเขาแต่งงานไปไกลถึงอันหนาน เขาก็ยินดี มีเพียงเช่นนี้จึงทำให้เขามิต้องวุ่นวายมากอย่างนั้นและที่สำคัญที่สุดคือ ราชครูถงกล่าวมีเหตุผล ทันทีที่เปิดศึก ฐา
จ่านเหยียนยืนอยู่บนยอดเขา มองทิวเขาทอดตัวต่อกันเบื้องล่างชั้นเมฆหนาสีขาวบริสุทธิ์ มองออกไปราวกับผืนนางปุยฝ้ายไร้ที่สิ้นสุดเบื้องล่างภูเขามีไอพิษพวยพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นี่คือไอปีศาจร้ายกาจข้างใต้มีคนกำลังฆ่าฟันอย่างขยันขันแข็ง ฟางจี้จื่อสมกับที่เป็นผู้สูงส่งทางพรตอันมีชื่อเสียงของแคว้นต้าโจว สังหารปีศาจอย่างต่อเนื่อง สะกดปีศาจซึ่งบำเพ็ญมากกว่าห้าร้อยปีสองตนจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้วจ่านเหยียนมิได้ออกโรงช่วยเขา อย่างน้อยนางก็ไม่ลงมือในช่วงนี้กรรมที่เขาสั่งสมเอาไว้ อย่างไรก็ต้องให้เขาได้ลิ้มรสจึงจะดี!“เลือดนองเป็นสายน้ำก็คือเช่นนี้!” อาเสอเห็นแล้วรู้สึกครั่นคร้ามเล็กน้อย“วางใจ ปีศาจที่ถูกสะกดพวกนี้ เพราะก่อกรรมทำเข็ญมามาก มีไอสังหารอยู่เต็มตัวจึงถูกสะกด ยามนี้พวกเขาหนีออกมา ความอาฆาตมิเจือจาง มีแต่จะเป็นภัยบนแดนมนุษย์” จ่านเหยียนเอ่ย“ดูอย่างไรว่าพวกเขายังมีความอาฆาตอยู่? สะกดแล้วพวกเขาอาจสำนึกได้เล่า?” ในฐานะที่อยู่ทางปีศาจเหมือนกัน อาเสอยังมีใจเมตตา“หากใจมิคิดชั่ว ไอของพวกเขาจะเป็นสีขาว แต่เจ้าดูสีพวกนั้นสิ ยิ่งเข้มยิ่งหมายถึงความชั่วในใจมีมาก ความอาฆาตเช่นนี้เพียงพอ
“แต่... อาเสอ เรื่องมันผ่านไปหลายปีแล้ว เจ้าควรวางลงแล้ว” จ่านเหยียนกล่าวจริงจังอาเสอยิ้ม “ก็ข้าวางลงแล้วมิใช่หรือ? ข้าชอบคุณชายหวังแล้ว”จ่านเหยียนจ้องนาง แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่หลงเหลืออยู่อย่างไม่รู้ตัว “งูไม่ควรมีน้ำตา เลือดของงูเย็น เจ้าเย็นเยือกเช่นนี้ดีมาก”อาเสอยิ้มสวยปนเศร้ารับกับสายลม “นั่นสิ เดิมข้าก็คืองูตัวหนึ่ง เพียงแต่เป็นคนนานเกินไป ได้รับผลกระทบจากคน แต่... ข้าเป็นเช่นนี้เท่านั้น หรือว่าท่านไม่คิดจะมีความรักสักหน?”จ่านเหยียนมองการฆ่าฟันเบื้องล่างปุยเมฆ ยิ้มอย่างห่วงใยบ้านเมืองประชาชน “เจ้าแน่ใจหรือว่าพูดเรื่องนี้เหมาะสมกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว?”อาเสอยิ้ม “ไม่เหมาะสมจริง ๆ”“ฟางจี้จื่อจะแพ้แล้ว!” จ่านเหยียนชี้นิ้วอาเสอมองไป ฟางจี้จื่อกำลังต่อสู้กับปีศาจหมาป่า คงเพราะก่อนหน้านี้เสียกำลังและพลังมากเกินไป เวลานี้จึงอ่อนล้าแล้วปีศาจหมาป่ากลับเพิ่งผุดขึ้นมาจากพื้น พลังปีศาจน่าสะพรึง มีตบะพันปี ต่อให้ฟางจี้จื่อมิได้ต่อสู้กับปีศาจมากมายปานนั้นก็มิแน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของปีศาจหมาป่าเห็นเพียงเอวเขามีเมฆดำกลุ่มหนึ่งกำลังนัวเนียกับเมฆเหลืองกลุ่มหนึ่ง ตรงสุดสายตา
ปีศาจหมาป่าหัวเราะฮ่า ๆ ดังลั่น ครั้นเหินตัวไปมือหนึ่งก็เสียบเข้าหัวใจของเสวี้ยนจื่อ แล้วออกแรงขยุ้มควักหัวใจออกมาทั้งอย่างนั้น“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ตาย เจ้าคือผีดิบ แต่ข้าแค่อยากรู้ว่าผีดิบที่ไม่มีหัวใจจะอยู่อย่างไร” ปีศาจหมาป่าหัวเราะอย่างดุร้าย หัวใจของเสวี้ยนจื่อลุกไหม้กลายเป็นผงอยู่ในมือของเขาทีละน้อยเสวี้ยนจื่อเจ็บจนตัวยืดตรง จากนั้นก็ชักกระตุก เขาขบฟันกรามแน่น ไม่ยอมส่งเสียงสักแอะ“โอ๊ะ ปากแข็งเสียด้วย” ปีศาจหมาป่าแย้มยิ้มชั่วร้ายต่ำทราม เผยฟันแหลมคมน่ากลัวหลายซี่เขายื่นมือออกไปตรง ๆ อัคคีสองดวงขึ้นร่างกลางฝ่ามือของเขา เปลวไฟสูงขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากสีเหลือง จากนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงและสีดำในท้ายที่สุด“วิชาไฟบรรลัยกัลป์?” จ่านเหยียนอึ้งเล็กน้อย“เหมือนจะเคยได้ยินท่านบอกว่าเป็นวิชาเหมาซัน” อาเสอเอ่ยจ่านเหยียนพยักหน้า “ดูท่าคนที่สะกดเขาจะตายไปพร้อมกับเขาแล้ว คนผู้นั้นใช้ชีวิตสะกดเขา สุดท้าย คนตายแล้ว เขากลับดูดซับแก่นวิญญาณของอีกฝ่าย บัดนี้ขึ้นมาจากใต้พิภพ ใช้ดวงวิญญาณของคนผู้นั้น”“นั่นคือนักพรตเหมาซันที่น่าเคารพ เสียดาย เขาใช้ชีวิตสะกดปีศาจหมาป่า ตอนนี้กลับถูกฟางจี
บัดนี้เผชิญหน้ากับฟางจี้จื่อ แม้เขาจะมีวิชาพรตสูงส่งเช่นนี้ สุดท้ายก็เกือบตายอนาถด้วยน้ำมือเขาอยู่ดีหากนางหนูที่ดูเหมือนไร้พิษไร้ภัยตรงหน้า ใช้แค่กระบวนท่าเดียว แค่กระบวนท่าเดียว! เขาก็สิ้นกำลังตอบโต้แล้ว จ่านเหยียนมิได้ตอบเขา มังกรตัวเขื่อนสีทองอร่ามคำรามทีหนึ่งก็กลายเป็นเพลิงโหมไหม้ในพริบตา“อ๊าาา”เสียงหมาป่าโหยหวนดังก้องหุบเขาเป็นพัก ๆ ส่งเสียงออกไปยังสถานที่อันไกลโพ้น อาเสอได้ยินแล้วพลันตัวสั่นหงึกหงักปีศาจหมาป่าวิญญาณแตกสลาย ดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากไฟโหมไหม้นั้น ทั้งหมดล้วนเป็นชีวิตที่ถูกปีศาจหมาป่าดูดวิญญาณเหล่านั้นกลายร่างเป็นคน โค้งคำนับจ่านเหยียนทีหนึ่งก่อนจะสลายตัวลอยออกไป“ม่องเท่งหรือยัง?” อาเสอเดินไปเตะแขนของเสวี้ยนจื่อเบา ๆเสวี้ยนจื่อถูกเผาจนเป็นตอตะโกทั้งตัว เขายังไม่ตาย แต่... เขาทรมาน หลักการนี้เหมือนกับจ่านเหยียนครั้นเขาลืมตาก็อยากจะลุกขึ้น ดวงตามองไปทางฟางจี้จื่อ ฟางจี้จื่อลมหายใจรวยรินแล้ว ฟางจี้จื่อมองจ่านเหยียน ในดวงตามีน้ำตาขุ่นมัว และมีความรู้สึกผิดที่เห็นได้อย่างชัดเจน“ขออภัย...” เขาเปล่งคำนี้ออกมาจากปากไหม้เกรียม ร่างกายสั่นเทาจ่านเห
คทามังกรของจ่านเหยียนลอยออกไปหมุนวนอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็กลับถึงมือของจ่านเหยียนอีกครั้งอาเสอมองนางนิ่ง ๆ ฟางจี้จื่อก็มองนางนิ่ง ๆ เหมือนกันเสวี้ยนจื่อลืมตาขึ้น ในดวงตาเจือการวิงวอนจ่านเหยียนถอนหายใจทีหนึ่ง เก็บก้อนหินด้านข้างมาก้อนหนึ่ง แล้วใช้กำลังฝ่ามือขัดจนกลายเป็นรูปหัวใจ ปากก็ว่า “ความจริง...การเป็นคนใจหินไส้เหล็กก็ไม่เลวเหมือนกัน”นางวางก้อนหินเข้าไปในหัวใจของเสวี้ยนจื่อ จากนั้นก็ปิดผนึก ตามด้วยกรีดเลือดจากนิ้วของตัวเองแล้วหยดลงไปหลอมรวมกับหัวใจของเสวี้ยนจื่อเสวี้ยนจื่อรู้สึกเพียงตรงตำแหน่งหัวใจถูกเติมเต็มทันใด และความทรมานบรรเทาลงทีละน้อยฟางจี้จื่อมองภาพนี้ด้วยความอัศจรรย์ใจ เขามิเคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน กระทั่งไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น เขาเดินไปประคองเสวี้ยนจื่อและถาม “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”เนื่องจากเลือดหนึ่งหยดของจ่านเหยียน สีเลือดบนใบหน้าของเสวี้ยนจื่อจึงค่อย ๆ กลับมาแดงระเรื่อดังเดิม หนำซ้ำยังแดงยิ่งกว่าเมื่อก่อน เขาเอามือคลำตำแหน่งหัวใจของตัวเอง ตรงนั้นแนบสนิทไม่มีรอยสักนิด ความรู้สึกของเขาผสมปนเปอย่างอธิบายไม่ถูก ซาบซึ้ง ตื่นเต้น...จ่านเหยียนเอ่ย “ในตัวของ
ถงไทเฮาเห็นนางเช่นนี้ก็รู้ว่านางไม่มีวิธีดีอะไร จึงอดพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิดไม่ได้ “พอที เจ้าออกไปเถอะ หวังพึ่งเจ้าไม่ได้เลย เสียแรงที่ข้าให้ความสำคัญกับเจ้า”หรูหัวพูดอ้อมแอ้ม “ไทเฮาโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ จู่ ๆ ก็ให้บ่าวคิด บ่าวยังจับอะไรไม่ได้เลย มิสู้ให้บ่าวกลับไปคิดสักสองสามวันเถอะเพคะ?”“ออกไปเถอะ!” ถงไทเฮานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใบหน้าล่วงเลยวัยของตัวเอง เกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาทันทีบุตรสาวสกุลถงคนหนึ่งโดดเด่นกว่าอีกคนหนึ่ง มีเพียงนางที่ราวกับมิใช่คนสกุลถง ผิวดำก็ช่างเถอะ เครื่องหน้ายังเรียบง่ายเช่นนี้ วัยเยาว์ยังใช้คำว่าเรียบง่ายได้ แต่บัดนี้สูงวัยมากขึ้นทุกที กลับขี้ริ้วขี้เหร่มากขึ้นทุกวันความรู้สึกเสื่อมถอยในใจนางรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ความแค้นที่มีต่อจิ้นหรูก็เพิ่มพูนมากขึ้นเหมือนกัน กระทั่งว่าความแค้นเช่นนี้ยังลามไปถึงตัวหลงจ่านเหยียน นางคิด ก่อนอดีตฮ่องเต้จะสวรรคตได้เจอกับสาวน้อยงดงามปานบุปผาเช่นนี้ คงชอบมากกระมัง?แสงเทียนในตำหนักวูบไหว สายลมแทรกตัวเข้ามาจากร่องหน้าต่าง เงาของนางทอดตัวอยู่บนกำแพง ดูสูงส่งกำยำนางมิใช่คนรูปร่างอรชร อาภรณ์ในแบบเดียวกัน คนอื่นมักสวมใ
หากบอกว่ามังกรร้ายตนนั้นก็คือมังกรเพลิง เช่นนั้นนางก็ไม่มั่นใจว่าจะรับมือได้เพราะนอกจากมังกรเพลิงจะเป็นเทพโบราณ ยังถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับผานกู่ มีแต่ผานกู่ที่กำราบเขาได้สกุลหลง หากพูดให้น่าฟังคือกลายร่างมาจากวิญญาณของผานกู่ แต่... หากจะพูดให้ชัดเจน พวกนางเป็นแค่ทูตที่ผานกู่ใช้คุมกฎสามโลกจ่านเหยียนเริ่มคิด การที่พวกตาเฒ่าสุสานผานกู่ให้นางมายุคสมัยนี้ต้องมีจุดประสงค์ไม่ธรรมดาแน่ ขัดเกลานิสัยนาง? ช่างเถอะ สกุลหลงมีผู้นำคนไหนบ้างที่ไม่พยศ? แม้นางจะทำเกินหน้าที่ไปบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงถึงขั้นต้องถูกเนรเทศ“คิดอะไรอยู่หรือ?” คทามังกรเห็นนางเงียบไปจึงถามจ่านเหยียนพิจารณาเรื่องราวทั้งหมดรอบหนึ่ง อดประหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้ตอนนี้นางหวังเพียงมังกรร้ายจะไม่ใช่มังกรเพลิง มิเช่นนั้นนางจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์นี้“เปล่า” จ่านเหยียนเก็บคทามังกรแล้วกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนักอาเสอเข้ามาเงียบ ๆ “ท่านยังไม่บอกเลยว่าใครจะปราบถงไทเฮาได้”จ่านเหยียนราวกับเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ มองอาเสอแล้วตอบ “อดีตฮ่องเต้”“อดีตฮ่องเต้มิใช่ตายไปแล้วหรือ?” พอถามออกไป อาเสอก็รู้สึกว่าตัวเองถามได้ปั
ไม่นานอาเสอก็เอายันต์ระงับปวดมา จ่านเหยียนให้จิ้นหรูกินลงไป แต่จิ้นหรูเป็นคนธรรมดา ไม่สามารถใช้ยันต์ระงับปวดได้บ่อยครั้งหวังแต่อีกสองวันบาดแผลของนางจะดีขึ้น เช่นนั้นความทรมานย่อมทุเลาลงแพล็บเดียวก็เกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ จ่านเหยียนจำเป็นต้องจัดระเบียบให้ดีนางกลับไปยังตำหนักบรรทมของตัวเอง สั่งให้ทุกคนออกไปแล้วอัญเชิญคทามังกรออกมา คทามังกรกลายร่างเป็นมังกรทองตัวน้อยปรากฏอยู่ในมือของจ่านเหยียน“ตอนที่ข้าใช้มหาเวทสวัสติกะ เจ้าไปไหน?” จ่านเหยียนถามมังกรน้อยตอบ “ใช่ว่าข้าออกไปพลการ แต่พลังแข็งแกร่งขุมหนึ่งดึงข้าไป ตอนนี้ข้าทะลุผ่านหน้าอกของคนผู้หนึ่ง พลังสลายไปทันที แต่ไม่นานก็รวมพลังได้อีก ดังนั้นจึงออกจากร่างกายของคนผู้นั้นได้”“ใครกัน?” จ่านเหยียนขมวดคิ้วสงสัย“ไม่ทันมองให้ชัด ตอนนั้นข้าเองก็แตกตื่นมากเหมือนกัน นี่คือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ข้าถึงกลับถูกขังอยู่ในร่างของมนุษย์คนหนึ่งออกมาไม่ได้ สำหรับข้าแล้ว นี่คือเรื่องที่ไม่เอาไหนสิ้นดี” มังกรน้อยเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย“เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นมนุษย์?” จ่านเหยียนถาม“แน่ใจ ร่างกายของเขาปราศจากพลังวิญญาณ บางทีเขาอาจเป็นเทพโบรา
เขาหน้าแดงซ่าน ดึงตัวออกห่างระยะหนึ่งจังหวะที่เห็นจิ้นหรู เขานิ่งงันไปทั้งคนเขาจำได้ จิ้นหรูเป็นคนใจดี ทุกครั้งที่ถูกเสด็จพ่อตำหนิ นางมักเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยน ช่วยเขาพูด ความจริงในใจของเขาไม่เคยเห็นจิ้นหรูเป็นคนรับใช้มาก่อนนางมีใบหน้างดงามยิ้มแย้มเสมอ เสด็จพ่อทรงเชื่อคำพูดของนางมาก ทุกครั้งที่นางเอ่ยปาก มักระงับโทสะของเสด็จพ่อได้แต่... บัดนี้ดวงหน้างดงามนั้นหายไปแล้ว แทนที่ด้วยใบหน้าเลือดเนื้อเละเทะดวงหนึ่ง บาดแผลบนใบหน้ายังมีน้ำเลือดนองอยู่“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?” เสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย ที่เขารับไม่ได้คือ นอกจากจิ้นหรูจะมีสารรูปเหมือนผีแล้ว ยังไม่กล้าเชื่อว่าเสด็จแม่ของตัวเองจะเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้“ฝ่าบาท สิบนิ้วของนางถูกตอกด้วยตะปูไม้ท้อ ขาทั้งสองถูกตีจนหัก บนตัวไม่มีส่วนไหนที่ดี ฝ่าบาทมิทรงเห็นสภาพที่ไทเฮาทรงรักษาให้นางเมื่อครู่ หากทรงเห็น เกรงว่าหัวใจคงต้องสะท้าน” ผู้ที่เอ่ยคือกัวอวี้ นางเอ่ยปนสะอื้นเล็กน้อย มันคือความจริง เมื่อครู่หลังจากเห็นแผลบนตัวของจิ้นหรูแล้ว หัวใจก็สะท้านไม่หยุด“ฝ่าบาท!” จิ้นหรูลืมตาขึ้น ไม่มีกำลังแม้แต่จะเอื้อนเอ่ย อาจเพราะความเจ็บปวด
จ่านเหยียนกลับนั่งนิ่ง ปรายตาบริสุทธิ์มองมู่หรงเจี้ยน “วันนี้ฝ่าบาทเสด็จมา ไม่แค่เพื่อถวายพระพรข้าผู้เป็นไทเฮากระมัง?”“เราขอถามท่าน เสด็จแม่ของข้ามีความแค้นอันใดกับท่าน ไยท่านต้องสั่งคนพังตำหนักชิงหนิงด้วย?!” มู่หรงเจี้ยนเอ่ยด้วยโทสะจ่านเหยียนคลี่ยิ้ม “ประการแรก ฮ่องเต้เรียกผิดแล้ว ข้าต่างหากที่เป็นเสด็จแม่ของพระองค์ สำหรับท่านนั้น ท่านก็เรียกว่าเสด็จแม่ได้ แต่... อย่าได้เรียกต่อหน้าข้า ประการที่สอง มิใช่ข้ามีความแค้นกับนาง แต่นางมาหาเรื่องข้า ข้าจึงจำต้องมีมารยาทตอบกลับ”“ท่านก็คู่ควรให้เราเรียกว่าเสด็จแม่?” มู่หรงเจี้ยนวาวโรจน์จ่านเหยียนยิ้มน้อย ๆ แล้วยื่นมือไปคล้องเขา “มานี่ ข้าจะบอกกับพระองค์เรื่องหนึ่ง”นางทำหน้าฉงนฉงาย มุมปากยิ้มสดใสมาก แววตามีความลับลมคมใน ราวกับเรื่องที่นางจะบอกคือความลับยิ่งใหญ่เขาอดเขยิบเข้าไปไม่ได้ “เรื่องอะไร ว่ามา!”จ่านเหยียนยื่นมือออกไป รอยยิ้มตรงมุมปากเปลี่ยนเป็นเย็นชาฉับพลัน มือทำมุมตรงหน้าเขาแล้วหวดลงไปเต็มแรงเกิดเสียงใสกังวานดังเพียะบรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันทีกัวอวี้คิดไม่ถึงว่าจ่านเหยียนจะไม่ไว้หน้าฮ่องเต้เช่นนี้ ตกใจจนหน้าซีดเผือดทั
จ่านเหยียนกำลังรักษาให้จิ้นหรูอยู่ในตำหนักหรูหลาน ทั้งเนื้อทั้งตัวของจิ้นหรูแทบไม่มีจุดใดอยู่ในสภาพดีเลย ใบหน้าถูกกรีดหลายแผล ถึงเนื้อทุกคมมีด หากจะใช้คำว่าเลือดเนื้อเละเทะก็คงไม่เกินไปสักนิดสองขาถูกตีจนหัก รอยแส้ทั่วสรรพางค์กาย สองมือถูกตอกด้วยตะปูไม้ท้อสิบเล่ม ในตอนที่ถอนออกมา จิ้นหรูเจ็บจนตัวสั่นเทิ้มจ่านเหยียนรู้สึกจุดอยู่ในอก มิอาจระบาย ใบหน้าขมึงทึงจนเหมือนท้องฟ้าก่อนพายุฝนฟ้าคะนองจะมาถึงบาดเจ็บหนักขนาดนี้ เลือดไหลมากอย่างนี้ หากมิใช่อาเสอใช้พลังวิญญาณสกัดหัวใจของนางเอาไว้ก็คงเสียชีวิตไปนานแล้ว“แค่พังตำหนักชิงหนิงของนาง ยังถือว่าน้อยไป” จ่านเหยียนเอ่ยอย่างเคียดแค้น“จิ้นหรูเป็นอะไรหรือไม่เพคะ?” กัวอวี้ถามด้วยความกังวล“ไม่ตายหรอก แต่... หากจะรักษาบาดแผลทั้งตัวนี้ เกรงจะไม่ง่ายอย่างนั้น” จ่านเหยียนเอ่ย“ข้าจะไปฆ่านางแก่ใจร้ายนั่น” อาเสอด่าทอด้วยความโมโหโทโส“ไม่รีบ!” จ่านเหยียนเอ่ย “คนชั่วย่อมมีคนชั่วทรมาน”“นอกจากพวกเรา วังหลังยังจะมีใครจัดการนางได้อีก?” อาเสอเอ่ยด้วยโทสะ “คุณหนูใหญ่ เมื่อก่อนท่านมิได้อ่อนแอเช่นนี้ ตอนนี้ถูกคนขี่อยู่บนหัวแล้ว ท่านยังจะรอวันจัดการนางอ
ไม่นานเรื่องที่จ่านเหยียนพังตำหนักชิงหนิงก็ดังกระฉ่อนไปทั่ววังหลวงจงเสี้ยนไทฮองไทเฮากริ้วหนัก แต่นางไม่ได้ทำอะไร การที่หลงจ่านเหยียนกล้าพังตำหนักชิงหนิง เป็นการพิสูจน์แล้วว่าวันนี้มิอาจเทียบวันวานนึกถึงตอนที่นางเข้าวังใหม่ ๆ แล้วมาคารวะ ใจเสาะขี้กลัวปานนั้น แม้แต่คุกเข่าก็ยังถลาลงไปกับพื้น ชวนให้คนตลกขบขันใครจะคิด วันนี้นางกลับกล้าพังตำหนักชิงหนิง?ดูท่านางคงบรรลุข้อตกลงบางอย่างกับเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว มิเช่นนั้น ด้วยเบื้องหลังของฐานะนาง นางจะไม่กล้าทำเช่นนี้เด็ดขาดหากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นที่พังตำหนักชิงหนิงในวันนี้ก็คงเป็นแผนการของเซ่อเจิ้งอ๋องเหมือนกันเขาจะทำอะไร?ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ถงจื่อหยาเกิดเรื่อง โจมตีสกุลถงต่อ?“หย่าจู้ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?” ไทฮองไทเฮาถามหมัวมัวด้านข้างหย่าจู้คิดแล้วจึงเอ่ย “หลงจ่านเหยียนผู้นี้เหนือความคาดหมายอยู่บ้างจริง ๆ ก่อนหน้านี้แทรกแซงเรื่องของหยวนผินยังพอพูดได้ว่าอยากได้หน้า แต่การพังตำหนักชิงหนิงนี้ เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องที่สตรีผู้หนึ่งจะทำได้ โดยเฉพาะนางที่เป็นสตรีเช่นนี้เพคะ”“พูดอีกอย่างหนึ่ง เจ้าคิดว่าเซ่อเจิ้งอ๋องคือผู้บงการหรือ?”“ยาก
นางทิ้งมือทั้งสองลง จากนั้นก็ค่อย ๆ หลับตาอาเสอตกใจ ยื่นมือออกไปทดสอบลมหายใจของนางฉับพลัน จากนั้นก็เงยหน้ามองจ่านเหยียนอย่างตกตะลึงจ่านเหยียนเอ่ยเสียงหนัก “ปกป้องหัวใจของนางก่อน”ถงไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น ในดวงตามีความกระหยิ่มยิ้มย่องและสาแก่ใจ “นางตายแน่”อาเสออุ้มจิ้นหรูเข้าไปในตำหนัก แต่ช้าไป นางมิอาจช่วยไว้ได้จ่านเหยียนลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับอาหู “รอพวกเราออกไปแล้วก็พังตำหนักชิงหนิงเสีย”อาหูฉายรอยยิ้มหนาวเหน็บ “เพคะ!”“หลงจ่านเหยียน เจ้าน่าจะรู้นะ ภัยเกิดจากปาก ต่อให้วันนี้เจ้าพังตำหนักชิงหนิงของข้าไม่ได้ ข้าก็บันทึกแค้นนี้เอาไว้แล้ว” ถงไทเฮาเอ่ยข่มขู่จ่านเหยียนยิ้มระรื่น “วางใจ ไม่ว่าเรื่องใดที่ลงมือได้ ข้าจะไม่เปลืองน้ำลายเด็ดขาด”ผ่านไปพักหนึ่ง อาเสออุ้มจิ้นหรูออกมาแล้วพยักหน้ากับจ่านเหยียน “กลับไปเถอะ!”จ่านเหยียนเดินตามอาเสอออกไป จากนั้นก็หันมาสั่งกับอาหู “พังตำหนักชิงหนิงแล้วไปพาอาถงกับอาเถี่ยออกมาจากห้องมืดเถอะ”“รับบัญชา!” อาหูขานรับอย่างเริงร่าสวรรค์รู้ นางเห็นจิ้นหรูมีเลือดเต็มตัวแล้วอยากฆ่านางอัปลักษณ์ผู้นี้แค่ไหน หากติดตามนายที่เอาแต่พูดเรื่องคุณธรรมจริยธ
จ่านเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือด้วยท่าทางผ่อนคลาย นั่นคือตำแหน่งที่ถงไทเฮานั่งยามมีนางสนมมาเข้าเฝ้านางเอ่ยกับอาเสอและอาหู “ค้นตำหนักชิงหนิงให้ทั่ว ข้าต้องพบจิ้นหรู”“ช้าก่อน!” ถงไทเฮามองจ่านเหยียนแบบคล้ายยิ้มแต่มิได้ยิ้ม “น้องหญิงตั้งใจจะมาอาละวาดที่นี่หรือ? คิดถึงผลที่จะตามมาหรือไม่?”จ่านเหยียนโบกมือ “เรื่องอาละวาดต้องอาละวาดแน่แล้ว สำหรับผลที่จะตามมา ยังไม่มีเวลาคิดจริง ๆ และไม่คิดจะคิดด้วย”อาเสอและอาหูได้ยินคำนี้ของจ่านเหยียนก็ยิ้มร้ายกับถงไทเฮา จากนั้นก็จะเข้าไปค้นทันทีทันใดนั้นก็มีองครักษ์สิบกว่าคนออกมาขวางอาหูกับอาเสอปีศาจสองตนนี้เอาไว้มีหรือเหล่าองครักษ์จะเห็นพวกนางอยู่ในสายตา ผู้ที่อยู่ข้างหน้าคือหัวหน้าองครักษ์ของตำหนักชิงหนิง เขาตวาดกับอาเสอและอาหู “พวกเจ้ากล้าเหิมเกริมในตำหนักชิงหนิงหรือ?! อย่าหาว่าข้าลงมือไม่ยั้งไมตรีก็แล้วกัน!”กระบี่ยาวชี้มาทางอาเสอด้วยความเร็วยิ่ง ปลายกระบี่มาพร้อมกับคมกระบี่ อาเสอเคยเห็นอาซานแสดงฝีมือมาก่อน แม้เขาจะมีฝีมือด้อยกว่าอาซาน แต่ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือชั้นนำแล้วกระบี่ของเขาเร็วนั้นไม่ผิด กลับไม่ส่งผลกระทบซึ่งเป็นการไม่เกรงใจอาเสอใ