“บ่าวจะร้องขอเทพกราบกรานพระเดี๋ยวนี้ หรือไม่บ่าวจะช่วยเป็นลูกมือให้ท่านนะเพคะ” อาเสอเปลี่ยนท่าทีโอ้อวดเมื่อครู่ทันที“ไม่จำเป็น!” จ่านเหยียนเรียกอาหู “เจ้าจับตาดูนางเอาไว้ ถ้ากล้าอู้งานแม้แต่น้อยก็บอกข้า”อาหูมองอาเสอแวบหนึ่ง ตามด้วยตอบเสียงอ้อมแอ้ม “หากให้บ่าวจับตาดู พี่อาเสอจะให้บ่าวไปล้างกับนางเพคะ”“นางไม่กล้า” จ่านเหยียนมองอาเสอ แล้วถามอย่างอ่อนโยน “เจ้าบอกข้ามา เจ้ากล้าหรือไม่?”แม้อาเสอจะโมโหโกรธา แต่สัมผัสได้ถึงอันตรายเบื้องหลังความอ่อนโยนในดวงตาของนางแล้ว ก็ยังอดส่ายหน้าอย่างขวัญผวาไม่ได้ “มิกล้าเพคะ”“อื่ม” จ่านเหยียนตบหน้านางอย่างพึงพอใจ “ช่างเป็นงูเขียวแสนดีของข้าแท้ ๆ”“ขอบพระทัยที่ชื่นชม” อาเสอมองนางอย่างไม่ยินยอม ไม่เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนที่ซวยต้องเป็นนางทุกที“ออกไป!” จ่านเหยียนไล่นางออกไปอาเสอหมุนตัวออกไป อาหูก็ตามไปด้วยอาหูถามด้วยความสงสัยอย่างหนัก “พี่อาเสอ ระยะนี้ทำไมคุณหนูใหญ่ถึงได้ลงโทษท่านประจำเลย? คราวก่อนก็เพิ่งใช้เชือกพันธนาการเซียนมัดท่าน ตอนนี้ก็ให้ท่านไปล้างถังมูลอีก ท่านก็ไม่ได้ทำความผิดมหันต์อะไรนี่?”“เจ้าพูดเลื่อนเปื้อนอันใด? คราวก่อนข้าต้องก
ตำหนักหรูหลานเปิดประชุมเร่งด่วน สตรีทุกคนในตำหนักต้องเข้าร่วม ไล่บุรุษทั้งหลายออกไป สถานที่ประชุมเร่งด่วนก็คือตำหนักบรรทมของจ่านเหยียนจ่านเหยียนสีหน้าเคร่งเครียดมาก นั่งอยู่บนตั่งอยู่นานยังไม่ปริปาก“คุณหนูใหญ่ตรัสสิเพคะ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ?” กัวอวี้ถามอย่างร้อนรนจ่านเหยียนมองกัวอวี้แล้วถาม “เจ้าว่าวันนี้ฉีชินอ๋องตามเข้าวังมาได้อย่างไร? เจ้าเอาชุดกับเขาแล้วหาข้ออ้างปลีกตัวไม่ได้หรือ?”กัวอวี้ตอบอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “พอท่านอ๋องทราบว่าคุณหนูใหญ่ต้องการชุดนี้ก็กลับจวนไปเอาทันทีเพคะ แต่เพิ่งเข้าจวนแม่นางจิ้งฉือก็หาเขาบอกว่ามีธุระสำคัญ เขาบอกปัดว่าไทเฮาเรียกด่วน แม่นางจิ้งฉือจึงปล่อยเขา ก่อนจะมายังบอกอีกว่าหากค่ำหน่อยยังไม่กลับมา นางจะไปหาเขาที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋อง เขาอยู่บนรถม้าคิดแล้วก็ประหวั่นพรั่นพรึง จึงเข้าวังกับบ่าว จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่สำเร็จเพคะ”“จิ้งฉือ?” จ่านเหยียนราวกับเพิ่งนึกถึงคนผู้นี้ได้ “คืนมุกเทพสกัดพิรุณให้นางแล้วมิใช่หรือ? อาหู เจ้าคืนให้นางหรือไม่?”อาหูเอ่ย “ใช้เสร็จก็คืนให้นางแล้วเพคะ”“เช่นนั้นเหตุใดนางจึงตอแยมู่หรงหานเทียนอีก? เด็กดวงซวยคนนี้นี่!” จ
“ธุระสำคัญอันใดต้องลงไม้ลงมือ ใช้ได้ที่ไหน?” ฉีชินอ๋องกรุ่นโกรธมู่หรงฉิงเทียนกลับลากจ่านเหยียนไปอย่างไม่สนใจ ฉีชินอ๋องอยากตามไป แต่อาเสอกลับมุดออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้ดึงเขาไว้ “ท่านอ๋อง เราอยู่รอในตำหนักเถอะเพคะ ไม่มีอะไรหรอก อาซานมิกล้าทำอันใดคุณหนูใหญ่หรอกเพคะ”“อาซานไม่รู้จักสูงต่ำใหญ่แล้ว” ฉีชินอ๋องกล่าวด้วยความกรุ่นโกรธ “ข้าต้องพูดกับเสด็จพี่ให้ดี ลงโทษเขาสักหน่อย”“สมควรลงโทษเพคะ!” อาเสอพูดกลั้วหัวเราะจ่านเหยียนพบว่าตั้งแต่เขามาที่นี่ก็มีกิริยาเคยชินมาตลอด“มิเช่นนั้นท่านก็ไปนั่งเถิด ยืนเช่นนี้จะเหนื่อย” จ่านเหยียนเอ่ยอย่างเอาใจมู่หรงฉิงเทียนยืนอยู่ที่เดิมด้วยสายตาเย็นชา “ขอบใจ ข้ามิจำเป็นต้องนั่ง”“เช่นนั้นดื่มน้ำสักหน่อยค่อยพูดหรือไม่?” จ่านเหยียนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ลมหายใจในทรวงอกก็คล้ายค่อย ๆ ถูกสูบออกไป“ขอบใจ ข้ายังไม่กระหาย” มู่หรงฉิงเทียนยังคงเย็นชาจ่านเหยียนจึงได้แต่พูด “ท่านไม่จำเป็นต้องนั่ง แต่ข้าจำเป็น ท่านไม่กระหาย แต่ข้ากระหาย ท่านจะปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่?”เขาผลักนางไปถึงกำแพง ห้านิ้วล็อกคอนางราวกับคีม นางหน้าแดงขึ้นมาเพราะหายใจไม่สะดวก นางก็อยากขัด
มู่หรงฉิงเทียนกำลังจะลุก กัวอวี้ก็เดินพรวดพราดเข้ามา นางเหงื่อไหลไคลย้อย ราวกับรีบร้อนมากจ่านเหยียนเห็นในมือนางว่างเปล่าจึงเกิดลางสังหรณ์ร้ายในใจ ฉีชินอ๋องจะขายราคาสูงลิ่วเพราะเป็นของหายากหรือ?ยังไม่รอให้นางเอ่ยปาก กัวอวี้ก็กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ ฉีชินอ๋องกำลังรอพระองค์อยู่ที่ตำหนักหลักเพคะ”“เขามาทำไม?” จ่านเหยียนยังไม่ทันตั้งสติกัวอวี้ส่งสายตากับนาง จากนั้นก็เอามือชี้เสื้อผ้าจ่านเหยียนเข้าใจทันใด โธ่เอ๋ย เขาถือเสื้อผ้าเข้าวังมาหานางหรือ? นี่จะให้หรือจะขาย? แต่นี่มิใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือมู่หรงฉิงเทียนอยู่ที่นี่!“อาซาน เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปหน่อย” จ่านเหยียนกล่าวจบก็รีบร้อนเดินออกไปมู่หรงฉิงเทียนอยากตามไปเหมือนกัน แต่กัวอวี้ก้าวมาข้างหน้า “ท่านอ๋อง ท่านรับอาหารเช้าแล้วหรือเพคะ?”มู่หรงฉิงเทียนผลักนางออกแล้วเดินออกไปข้างนอกโดยตรง ไม่นานก็ตามไปถึงทางเลี้ยวของระเบียงทางเดิน เห็นจ่านเหยียนกำลังจะคุยกับฉีชินอ๋องเขาสาวเท้าไวมาก ครั้นฉีชินอ๋องเห็นเขาก็ผงะ “อาซาน เจ้าไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋องหรือ?”ฉีชินอ๋องพำนักอยู่ที่จวนเซ่อเจิ้งอ๋องตลอด ตอนที่กัวอวี้ออกวังไปหาเขา เ
จ่านเหยียนยิ้มลับลมคมใน “เรื่องนี้ท่านไม่ต้องรู้หรอก”ราชครูถงไม่ถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ หากจะถอนรากถอนโคนเขาก็ใช่เรื่องที่จะทำได้ในวันสองวัน นางค่อย ๆ จัดการได้ ที่นางห่วงในยามนี้คือมังกรร้ายต่างหาก“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ในที่สุดมู่หรงฉิงเทียนก็ถามออกมาตอนนี้เขาย่อมไม่คิดว่านางคือคุณหนูใหญ่ในอนุภรรยาจวนสกุลหลงนั่น แต่นางมาจากที่ใดกัน? ใครให้นางมา? แล้วจุดประสงค์ที่นางมาคืออะไร?“พี่สะใภ้ของท่าน!” จ่านเหยียนยิ้มซุกซน “ความจริงไยต้องอยากรู้ว่าข้าคือใคร? ท่านรู้แก่ใจดีว่าข้าไม่มีประสงค์ร้ายกับท่าน”“อย่างนั้นหรือ?” มู่หรงฉิงเทียนจับจ้องดวงตานาง หมายเห็นความผิดแผกจากดวงตาของนาง ทว่าหลงจ่านเหยียนในปัจจุบัน นอกจากติดค้างเสื้อผ้าชุดหนึ่งของเขาแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ผิดต่อเขา ดังนั้นเขาจึงมองอะไรไม่ออกจ่านเหยียนให้เขามองอย่างเปิดเผย เอ่ย “จะใช่หรือไม่ ท่านอ๋องรู้แก่ใจดี”มู่หรงฉิงเทียนถาม “ตกลงเจ้าใช่ปีศาจจิ้งจอกหรือไม่”นี่คือคำถามที่สองที่มู่หรงฉิงเทียนถามนางแล้ว นางไม่อยากตอบแต่ต้องตอบ “ข้าไม่ใช่ปีศาจจิ้งจอก ข้าไม่ใช่ปีศาจ ข้าคือมนุษย์”“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?” หากนางไม่ใช่ปีศาจ
ทว่านี่มิใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือชินอ๋องมากมายล้วนมีชุดนี้กันหมด?เซ่อเจิ้งอ๋องมี ฉีชินอ๋องก็ต้องมีแน่ หากขอจากเขา เสื้อผ้านานขนาดนี้แล้วเขาคงไม่ต้องการแล้วกระมัง? นางซื้อในราคาสูงได้เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็เอ่ยกับกัวอวี้ “พรุ่งนี้เจ้าออกวังไปขอชุดนี้กับฉีชินอ๋อง เจ้าบอกว่าข้าต้องการ หากเขาไม่ยินดีให้ก็ดูว่าเขาจะขายเท่าไร ข้าจะซื้อ เท่าไรก็ซื้อ”กัวอวี้เอ่ย “กลัวแต่เงินเท่าไรท่านอ๋องก็ไม่ขายเพคะ เพราะนี่คือความคิดถึงที่เสด็จย่าของเขาหลงเหลือไว้ให้ ไม่แน่ว่าเขาจะยอมขาย?”“ลองดูก่อนเถอะ มิเช่นนั้นข้าจะอธิบายกับทางมู่หรงฉิงเทียนไม่ได้” จ่านเหยียนเอ่ยอย่างอัดอั้นตันใจมากนี่ต้องใช้เงินก้อนโตแน่ หากเป็นนาง มีคนมาซื้อของที่แม้นางไม่ต้องการ แต่อีกฝ่ายต้องการให้ได้เช่นนี้ นางต้องเพิ่มราคาแน่จี๋เสียงออกไปอย่างหวาดกลัว แม้เรื่องนี้จะไม่โทษนาง แต่นางก็ยังรู้สึกผิดค่ำคืนนี้จ่านเหยียนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน มักฝันร้าย ในความฝันเห็นมู่หรงฉิงเทียนทวงเสื้อผ้ากับนางอย่างดุดัน นางสะดุ้งตื่นจากความฝันหลายต่อหลายครั้ง เฮ้อ ชาตินี้มิเคยติดค้างผู้ใดมาก่อน คิดไม่ถึงว่ามาถึงที่นี่จะติดค้างเสื้อผ้าช