ฉะนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเย็นชาของหนานจื้อจือ หลินอู๋ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนักหลังทักทายหนานจื้อจือเป็นที่เรียบร้อย หลินอู๋จึงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายพวกหรงหงขึ้นก่อนอย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะผู้อาวุโสทุกท่าน”เธอพูดว่า ‘ผู้อาวุโสทุกท่าน’ ซึ่งไม่ได้เป็นการเจาะจงกล่าวทักทายทีละคน นับว่าค่อนข้างเหมาะสมจริง ๆ เพราะถึงอย่างไร พวกหรงหงก็ไม่ได้บอกว่าอยากรู้จักเธอ หากเธอกล่าวทักทายเจาะจงทีละคนละก็ สำหรับพวกหรงหงแล้ว กลับเป็นการรบกวนอย่างหนึ่งเสียมากกว่าความสนใจของฉีเกิงและหรงหงล้วนอยู่ที่ตัวหรงฉือพวกเขาเหมือนจี้ซิงเยว่ ที่สังเกตเห็นว่าหรงฉือดูไม่ชอบหลินลี่ไห่กับหลินอู๋ยิ่งกว่านั้นคือฉีเกิงมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหรงฉือค่อนข้างละเอียดตอนที่หลินอู๋กับหลินลี่ไห่เพิ่งปรากฏตัวนั้น เขาก็จำทั้งสองคนได้ทันทีได้ยินหลินอู๋เป็นฝ่ายกล่าวทักทายพวกเขาก่อน ฉีเกิงจึงได้แต่พยักหน้าให้ส่ง ๆ แล้วมองไปทางพวกหนานจื้อจือกับหรงฉือ พลางกล่าวว่า “อย่ามัวยืนกันอยู่ตรงนี้เลย พวกเราเข้าไปกันดีกว่า”หนานจื้อจือพยักหน้าพวกเขาทั้งกลุ่มจึงหมุนตัว แล้วเดินเข้าไปในภัตตาคารเหรินอี้อันกำชับกับเหรินจี่เฟิงว่า
แต่ทว่า พอเห็นอวี้มั่วซวินกับหนานจื้อจือก็อยู่ที่นี่ด้วย การได้เจอหรงฉือในสถานการณ์แบบนี้ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เหรินอี้อันก็คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอลูกชายของตัวเองอยู่ที่นี่เช่นกันเขาเอ่ยว่า “มางานสังสรรค์เหรอ?”เหรินจี่เฟิง “ครับ”ฉีเกิงยิ้มพร้อมกับพูดว่า “อี้อัน นี่ลูกชายคุณเหรอ?”เหรินอี้อันยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ใช่”“ดูเป็นคนมีความสามารถ ไม่เลวเลย”ฉีเกิง หรงหงและเหรินจี่เฟิง พวกเขาย่อมรู้ดีว่าตัวเองเป็นใครเขาก็รู้ด้วยว่าพ่อตัวเองสนิทกับพวกเขาอยู่พอสมควรแต่ฉีเกิง หรงหงและหนานจื้อจือเป็นประเภทเดียวกัน ปกติมักจะยุ่งมาก ถึงแม้พวกเขากับพ่อเขาจะสนิทกัน แต่เขาก็ไม่เคยเจอหน้าพวกเขาแบบตรง ๆ มาก่อนเลยเห็นฉีเกิงเป็นฝ่ายทักทายเขาก่อน เหรินอี้อันก็จับมือกับฉีเกิงอย่างสุภาพ จากนั้นพูดขึ้นว่า “คุณชมเกินไปแล้ว”พูดจบ เขาก็เห็นหลินอู๋กับหลินลี่ไห่ลงมาจากรถเขาตกตะลึงเล็กน้อยตอนที่หลินลี่ไห่กับหลินอู๋ลงจากรถแล้ว เหรินจี่เฟิง หนานจื้อจือ ยังมีหรงหงและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงเช่นกันหนานจื้อจือ หรงหงและคนอื่น ๆ ปกติการจะเห็นหน้าใครสักคนยังยากเลยวันนี้คิดไม่ถึงว่าจะมารวม
ตอนนี้เธอมีหุ้นส่วนอยู่ในซวิ่นตู้แล้ว เมื่อครู่เธอไม่อยู่ คงเพราะไปประชุมกับเฟิงถิงเซินและคนอื่น ๆ “พี่คะ” ซุนลี่เหยาเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม เหลือบมองหรงฉือแวบหนึ่ง แล้วหัวเราะเยาะเบา ๆ ก่อนจะกระซิบด้วยเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคนว่า “มีคนได้รับดอกไม้ เมื่อกี้เพิ่งทำมาเป็นอวด แต่พอได้ยินว่ามีคนมากมายส่งดอกไม้มาให้พี่ แถมพี่เขยฉันยังโอนหุ้นให้พี่อีก คนคนนั้นก็พูดอะไรไม่ออกไปเลยล่ะ”หลินอู๋ได้ยิน ก็เหลือบมองหรงฉืออย่างเย็นชา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรซุนลี่เหยาพูดอีกว่า “พี่คะ ก่อนหน้านี้พี่บอกว่าคนแซ่อวี้ดีต่อเธอมากเลยไม่ใช่เหรอ แต่วันนี้วันวาเลนไทน์คนแซ่อวี้นั่นกลับมอบดอกไม้ให้เธอแค่ช่อเดียว ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย”หลินอู๋เลิกคิ้ววันวาเลนไทน์อวี้มั่วซวินให้ดอกไม้หรงฉือแค่ช่อเดียวอย่างนั้นเหรอ?แบบนั้นมันก็ดูจะไม่ใส่ใจเกินไปหน่อยจริง ๆ ก่อนหน้านี้ เธอรู้สึกอยู่ตลอดว่าอวี้มั่วซวินดีกับหรงฉือมากจริง ๆอย่างไรเสีย หรงฉือก็มีอำนาจในการพูดในฉางโม่แต่ตอนนี้เมื่อมีการเปรียบเทียบ เธอถึงได้รู้ว่า หากอวี้มั่วซวินจริงใจกับหรงฉือจริง แล้วทำไมถึงให้แค่สิทธิ์ แต่ไม่ยอมให้ตำแหน่ง หรือแม้แต่หุ้นกับเธอ
ระหว่างทางไปซวิ่นตู้ คุณย่าเฟิงก็โทรศัพท์มาหาหรงฉือหรงฉือกดรับ “คุณย่า”“อืม” คุณย่าเฟิงรอยยิ้มเปี่ยมด้วยความเมตตา “หลายวันก่อนได้ยินซินซินบอกว่าตอนนี้เธองานยุ่งมาก บางครั้งถึงกับต้องอดนอนทั้งคืน สองสามวันนี้มีคนเอายาบำรุงมาให้ย่า ย่าเลยให้คนส่งไปให้เธอบางส่วนด้วย อย่าลืมให้คนตุ๋นกินด้วยนะ”หรงฉือรู้ แม้ว่าเธอจะปฏิเสธทางอ้อม คุณย่าเฟิงก็คงจะไม่ฟัง เธอจึงทำได้แค่พูดว่า “หนูจะทำ ขอบคุณค่ะคุณย่า”คุณย่าเฟิงยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนจะนึกอะไรออก จึงพูดขึ้นว่า “จริงสิ ช่วงก่อนหน้านี้ย่าได้คุยกับถิงเซิน เขารับปากว่าจะอยู่ร่วมกับเธอให้ดี ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเธอก็เป็นพ่อแม่ของซินซิน ถ้าความสัมพันธ์ตึงเครียดเกินไป มันจะไม่ดีต่อการเติบโตและสุขภาพกายใจของซินซิน”ดังนั้น เพราะเหตุนี้ เฟิงถิงเซินถึงเอาใจใส่เธออย่างผิดวิสัยในการเสวนาวันนั้นหรงฉือกล่าวเสียงเรียบ “ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว”หรงฉือกับคุณย่าเฟิงพูดคุยกันไปอีกสักพักหนึ่ง ก่อนจะวางสายไปเมื่อมาถึงซวิ่นตู้ กลับไม่เห็นหลินอู๋ประธานเฉวียนเห็นเธอ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้วันวาเลนไทน์ คุณหรงได้รับดอกไม้บ้างหรือยังครับ?”หรงฉือยังไม่ได้พูดอะไร พน
ตอนเย็นเฮ่อฉางปั่วยังมีงานสังสรรค์ หลังคุยเรื่องงานเสร็จ เขาก็เตรียมตัวกลับแล้วเห็นเฮ่อฉางปั่วกำลังมองเธออยู่ หรงฉือก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับถามว่า “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”พรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์แต่เขาไม่ได้พูดออกไป กลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร” ตอนนี้หรงฉือจดจ่อแต่กับเรื่องงาน จนลืมเรื่องวันวาเลนไทน์นี้ไปเสียสนิทจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น เธอมาถึงบริษัท คนในบริษัทเจอเธอ พูดกับเธอว่าสุขสันต์วันวาเลนไทน์ เธอถึงจะตระหนักได้ว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์หรงฉือกำลังจะกลับไปที่ห้องทำงาน หน้าประตูก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ขออนุญาตครับ คนไหนคือคุณหรง? มีคนสั่งดอกไม้มาส่งให้คุณ รบกวนคุณออกมาเซ็นรับด้วยครับ”หรงฉือหันกลับไปพร้อมกับน้ำเสียงนุ่มนวล ก็เห็นพนักงานส่งดิลิเวอรีคนหนึ่งอุ้มดอกกุหลาบช่อใหญ่ยืนอยู่หน้าประตูคำพูดของพนักงานส่งดิลิเวอรี แถมยังมีดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่ดูเกินจริง ทำให้ดึงดูดความสนใจของคนที่อยู่รอบ ๆ ทั้งหมดภายนอกต่างลือกันว่าหรงฉือมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับอวี้มั่วซวิน แต่ในความเป็นจริงคนจำนวนมากในบริษัทกลับรู้ว่าหรงฉือแต่งงานแล้วแต่ทว่า น้อยมากที่หรงฉือจะเอ่ยถึงครอบครัวของ
พอได้ยินความเคลื่อนไหว เฟิงถิงเซินก็หันหน้ากลับมาหรงฉือลงจากรถ หลังปิดประตูก็เดินไปเงียบ ๆ แล้วหยิบร่มจากมือเขากลับคืนเฟิงถิงเซินก้มลงมองเท้าของเธอพร้อมกับถามว่า “เท้าไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ?”เจ็บนิดหน่อย แต่ยังสามารถเดินได้แต่ทว่า หรงฉือไม่ได้พูดอะไรออกไปเธอขี้เกียจจะต้องคิดว่าทำไมวันนี้เขาถึงเป็นฝ่ายเข้ามาพยุงและอุ้มเธอเธอจึงตอบกลับอย่างเรียบเฉยว่า “เรื่องหย่าคุณจัดการเสร็จแล้วค่อยติดต่อมาหาฉัน”ความนัยคือ หากไม่ใช่เรื่องหย่า พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องติดต่อกันอีกพูดจบ เธอก็ถือร่มไว้ ก่อนจะเดินผ่านเขาแล้วจากไปเฟิงถิงเซินมองแผ่นของเธอ แต่กลับไม่ได้ห้ามอะไร ปล่อยให้เธอจากไปแบบนั้นรถของพวกเขาจอดอยู่ไม่ไกลกันมากนักพอเห็นเธอขึ้นรถอย่างปลอดภัย เฟิงถิงเซินก็หมุนตัวขี้นรถไปหลังจากนั้นไม่นาน รถของเขาก็ขับออกจากลานจอดรถหลังเฟิงถิงเซินจากไป รถของเหรินจี่เฟิงก็รีบขับตามไปเช่นกันระหว่างการเสวนา การประชุมและการรับประทานอาหารในวันนี้ ล้วนมีผู้สื่อข่าวอยู่ในสถานที่หรงฉือไปโรงพยาบาล ตอนกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว จากนั้นเพิ่งกินข้าวได้ไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับการเสวนาก็เริ่มออ