เช้าวันรุ่งขึ้น หรงฉือกับคุณยายหรงและคนอื่น ๆ ก็มุ่งหน้าไปยังสุสานในภาพบนหลุมศพ ผู้อาวุโสหรงมีผมที่ขาวโพลนคนในตระกูลหรงต่างดูเด็กกันทุกคนตอนหรงอิ้งเซิ่งหย่าในปีนั้น ผู้อาวุโสหรงเพิ่งจะอายุห้าสิบกว่าปี ผมก็ยังไม่ขาวหรงฉือจำได้แม่นเลยว่า หลังเกิดเรื่องกับหรงอิ้งเซิ่ง ยังไม่ถึงหนึ่งปี ผู้อาวุโสก็ผมขาวไปหมดแล้วผู้อาวุโสเสียชีวิตเพราะอาการป่วยจนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วเธอเพิ่งรู้ว่า สาเหตุที่ผู้อาวุโสป่วยเป็นโรคนี้ เกี่ยวข้องกับความกดดันภายในใจที่เขาสะสมมานานหลายปีหากผู้อาวุโสไม่ป่วย ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะยังมีชีวิตดี ๆ อยู่ก็ได้เมื่อนึกถึงช่วงก่อนที่เขาจะเสียชีวิต สิ่งที่เขาห่วงใยมากที่สุดคือหรงอิ้งเซิ่ง พอคิดว่าหลายปีผ่านไปแล้ว หรงอิ้งเซิ่งก็ยังไม่ดีขึ้นตามที่เขาหวังไว้ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ คุณยายหรงก็ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาเป็นคนแรก โดยมีหรงฉ่างเซิ่งพยุงให้เธอนั่งยองลงไป ลูบรูปถ่ายบนหลุมศพอย่างแผ่วเบา แล้วพูดว่า “ตาแก่เอ๋ย...”คุณยายคงอยากจะบอกว่าลูกสาวอันเป็นที่รักของพวกเขาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นเลย เธอรู้สึกผิดต่อเขาแต่คำพูดหลายพันหลายหมื่นคำจรดอยู่ที่ริมฝีปาก กลับไม่สามาร
หรงฉือออกจากที่ทำการกิจการพลเรือน ตอนที่กลับมาถึงบริษัท แม้กระทั่งยังมาทันการประชุมเช้าของบริษัทอีกด้วยหลังจากที่เธอนั่งลง อวี้มั่วซวินก็กระซิบถามว่า “ทำเรื่องเสร็จแล้วเหรอ? เร็วจัง?”หรงฉือพยักหน้าระหว่างเธอกับเฟิงถิงเซินไม่มีความขัดแย้งอะไรกัน สำหรับเรื่องหย่าร้างก็มีท่าทีที่ค่อนข้างอยู่ในเชิงบวก การดำเนินการย่อมรวดเร็วเป็นธรรมดาอวี้มั่วซวินพูดอีกว่า “หากไม่มีช่วงทบทวนตัวเอง วันนี้พวกคุณคงถือว่าหย่ากันอย่างเป็นทางการแล้ว แต่สุดท้ายยังต้องรออีกสามสิบวัน หลังช่วงทบทวนตัวเองในครั้งนี้ ทางที่ดีควรรีบไปเอาใบหย่า อย่ารอช้าอีก ไม่อย่างนั้นจะเหมือนกับครั้งนั้น ที่คุณต้องกลับเข้าไปในฐาน แล้วก็พลาดช่วงเวลาตัดสินใจไป แถมยังต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นอีก ยุ่งยากจะตายไป”“ฉันเข้าใจแล้ว”ครั้งที่แล้วหลังช่วงทบทวนตัวเองสิ้นสุดลง เธอกับเฟิงถิงเซินเดิมทีนัดหมายว่าวันรุ่งขึ้นจะไปรับใบหย่าทันที เพียงแต่ต่อมาพวกเขาต่างก็มีธุระของตัวเอง ถึงช่วงสุดท้าย ถึงกับพลาดช่วงตัดสินใจไปวันพุธเป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของคุณตาหรงฉือผู้อาวุโสหรงเสียชีวิตที่เมืองตูเฉิง แต่พิธีฝังศพกลับทำที่เมืองเหยียนเฉิงตอน
บ่ายวันอาทิตย์ เฟิงจิ่งซินโทรศัพท์มาหาบอกว่าจะมาหาเธอ นึกถึงเรื่องเธอเคยรับปากเฟิงจิ่งซินก่อนหน้านี้ หรงฉือจึงตอบตกลงไปคนขับรถเป็นคนมาส่งเธอหลังจากที่เฟิงจิ่งซินลงรถแล้วก็กระโดดเข้าไปในอ้อมอกของหรงฉือด้วยความดีใจทันทีหลังจากที่ออดอ้อนหรงฉือและคุณยายหรงสักพักแล้ว เฟิงจิ่งซินก็เล่าเรื่องที่ได้ที่หนึ่งในการแข่งฟันดาบให้พวกเธอฟังอย่างมีความสุขเธอยังแบกถ้วยรางวัลใส่กระเป๋ามาอีกด้วย จากนั้นยัดใส่มือหรงฉือด้วยความเริงร่าคุณยายหรงมองดูยิ้มแก้มปริ พูดชมเฟิงจิ่งซินว่าเก่งอย่างไม่หยุดปากในการแข่งขันฟันดาบครั้งนี้ หรงฉือรู้ตัวดีว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อเฟิงจิ่งซินเลยต่อจากนี้ไป สิ่งที่เธอจะให้เฟิงจิ่งซินก็คงจะมีไม่มากแล้วคิดไปคิดมา เธอจึงกล่าวว่า “เดี๋ยวแม่พาหนูไปซื้อกรอบมาใส่ถ้วยรางวัลดีไหม?”เฟิงจิ่งซินกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ พ่อสั่งให้คนทำกรอบให้ตั้งแต่ก่อนหนูจะแข่งแล้ว สวยสุด ๆ ไปเลย”เฟิงจิ่งซินถ่ายรูปเก็บไว้ เมื่อหรงฉือพูดถึงเรื่องนี้ เธอจึงหยิบรูปที่ถ่ายกรอบเอาไว้ให้หรงฉือดู “สวยมากเลยใช่ไหมคะ?”หรงฉือชำเลืองมองเล็กน้อย แค่เห็นจากในรูปก็รู้ได้ว่ากรอบที่เฟิงถิงเซินสั่งทำให้เฟ
วันเสาร์ช่วงค่ำ หรงฉือไปดูงิ้วกับคุณยายหรงตอนที่พวกเธอไปถึงจุดตรวจตั๋ว ไม่ไกลออกไปมีคนที่ดูดีดึงดูดสายตาฝูงชนยืนอยู่ เมื่อเห็นพวกเธอก็เผยรอยยิ้มและเดินมาหาพวกเธอทันที“หรงฉือ”เมื่อได้ยินคนเรียก หรงฉือจึงหันหน้าไปมอง เพียงมองแวบเดียวก็เห็นกู้เหยียนท่ามกลางฝูงชนที่กำลังเดินมาหาเธอหรงฉือเงยหน้าขึ้นเผยรอยยิ้ม “บังเอิญจังเลยนะ วันนี้คุณก็มาดูการแสดงของท่านอาจารย์เหมือนกันเหรอ?”ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นเรื่องที่กู้เหยียนจงใจทำตอนที่อยู่บริษัทกู้เหยียนเรียกเธอว่าคุณหรงทุกครั้งนอกเหนือจากที่สัมภาษณ์วันแรก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อหรงฉือโดยตรงเมื่อเห็นว่าหรงฉือไม่ได้รู้สึกอึดอัด เขายิ้มบาง ๆ ตอนที่หรงฉือแนะนำเขาให้กับคุณยายหรง เขาก็กล่าวทักทายคุณยายหรง “สวัสดีครับคุณหญิง”คุณยายหรงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะ”หาได้ยากที่คนหนุ่มสาวสมัยนี้จะชอบดูงิ้วยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่กู้เหยียนคุยกับหรงฉือ แววตานั้น...คุณยายหรงมองด้วยสายตาคนนอก ก็แทบจะรู้ได้ทันทีว่ากู้เหยียนมีใจให้กับหรงฉือแต่เห็นว่าหรงฉือดูไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เธอจึงไม่ได้พูดอะไรเห็นว่าหรงฉือและคุณย
วันพฤหัสบดี หรงฉือไม่ได้ไปเข้าร่วมการแข่งขันกับเฟิงจิ่งซินที่ต่างเมือง เฟิงจิ่งซินก็ไม่ได้โกรธ เพียงแต่ว่าออดอ้อนให้ หรงฉือไปเที่ยวด้วยกันหลังจากที่เธอกลับมาหลังจากที่การแข่งขันและกิจกรรมเสร็จสิ้นแล้วหรงฉือแพ้ลูกอ้อนของเธอ จึงยอมตอบตกลงไปช่วงสองสามวันนี้ เธองานยุ่ง ไม่ได้ไปเยี่ยมคุณย่าเฟิงที่โรงพยาบาลตอนเช้าวันศุกร์ หรงฉือถึงได้ไปโรงพยาบาลอีกครั้งที่ชั้นล่างของโรงพยาบาล เธอเห็นหลินอู๋ที่ศีรษะพันผ้าพันแผลกำลังลงมาเดินเล่นเธอกำลังคุยโทรศัพท์ “น้าอาการดีขึ้นมากแล้ว ซินซินตั้งใจกับการแข่งก็พอ ไม่ต้องเป็นห่วงน้านะ”พูดจบ หลังจากที่เงยหน้าขึ้นเห็นหรงฉือแล้ว ก็เบือนหน้าหนีด้วยสายตาเย็นชาไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร เธอพูดกับปลายสายต่อว่า “หลังจากที่ผลแข่งออกแล้วจะบอกน้าคนแรกเลยเหรอ? ฮ่า ๆ ได้สิ พอถึงตอนนั้นน้าจะคอยจ้องมือถืออยู่ตลอดเลย รับรองไม่พลาดสายของซินซินแน่นอน ตอนนี้ใกล้ถึงเวลารวมตัวแล้ว ไปรวมตัวกับพวกคุณครูก่อนเถอะ สู้ ๆ นะ”ที่จริงแล้วตอนนี้ยังไม่ถึงแปดโมงเช้าด้วยซ้ำเฟิงจิ่งซินโทรไปหาหลินอู๋แต่เช้าตรู่ทุกวันดั่งเคยหรงฉือฟังแล้ว เดินผ่านหลินอู๋เข้าลิฟต์ด้วยสีหน้าเ
พอได้ยินถึงตรงนี้ หรงฉือก็เข้าใจในทันทีว่าเมื่อคืนเฟิงถิงเซินรีบออกไป เป็นเพราะหลินอู๋เธอรู้และชินกับความใส่ใจที่เฟิงถิงเซินมีต่อหลินอู๋มานานแล้วเธอก็รู้ว่าซุนลี่เหยาจงใจพูดคำนี้ให้เธอได้ยินเธอเดินผ่านซุนลี่เหยาและคนอื่น ๆ ไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะเข้าไปในลิฟต์พอเห็นหมายเลขชั้นที่หรงฉือกด ซุนลี่เหยากับคุณยายซุนพวกเขาตระหนักได้ว่า หรงฉือมาโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมคุณย่าเฟิงเรื่องที่คุณย่าเฟิงป่วยพวกเขาล้วนรู้ดีแม้พวกเขาจะไม่มีโอกาสไปเยี่ยมคุณย่าเฟิงที่โรงพยาบาล แต่พวกเขากลับรู้ว่าคุณย่าเฟิงก็พักอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ด้วยพวกเขารู้ก็จริง แต่คุณย่าเฟิงพักอยู่ห้องผู้ป่วยไหน พวกเขากลับไม่รู้เลย ด้วยเหตุนี้ เมื่อคืนพวกเขาจึงได้ให้คนไปแอบสอบถามเป็นพิเศษดังนั้น เมื่อเห็นชั้นที่หรงฉือกำลังจะไป ซุนลี่เหยาพวกเขาก็รู้ทันทีว่าหรงฉือมาเยี่ยมคุณย่าเฟิงที่โรงพยาบาลความจริงแล้วคนในตระกูลหลินกับตระกูลซุนยังไม่ได้เจอคุณย่าเฟิงเลยพวกเขาสอบถามจนรู้หมายเลขห้องผู้ป่วยเดี่ยวของคุณย่าเฟิง แต่ความจริงแล้วก็เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้คุณย่าเฟิงไม่พอใจ พวกเขาล้วนระมัดระวังมาก และไม่กล้าเสนอหน้าเข้าไปหาค