อู๋ซานพลันอารมณ์เสีย เขาจำได้ว่าคืนนั้นนางร้องห่มร้องไห้ราวกับจะขาดใจตาย พอเขาใช้กำลังเข้าข่มเหง นางก็คว้าแจกันตรงหัวเตียงมาฟาดศีรษะเขาในทันที ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจไม่หาย
เขาผู้นี้มีแต่สตรีวิ่งเข้ามาหา หาได้ต้องง้องอนสตรีเช่นนางไม่!!
“พอดีเลย คืนพรุ่งนี้พี่นัดกับท่านกุนซือเหวินกับท่านแม่ทัพ พี่จะเอานางไปเป็นของเดิมพันในเกมวันพรุ่งนี้ หากชนะพี่ก็ได้กำไร หากแพ้ก็แค่เสียอนุที่หน้าตาอัปลักษณ์ไปคนหนึ่งเท่านั้น” อู๋ซานบอกเล่าแผนการของตนเองให้ฟัง
“นี่ไม่ออกจะใจร้ายกับนางเกินไปหรือเจ้าคะ ผู้ใดในเมืองหวงซ่างไม่รู้บ้างว่าท่านกุนซือเหวินรังเกียจสตรี หากท่านพี่เอานางไปวางเป็นของเดิมพัน ท่านกุนซือเหวินจะไม่มีโทสะหรือเจ้าคะ”
“เขาจะว่าอะไรข้าได้ ในเมื่อไม่มีกฎว่าห้ามนำอนุมาวางเดิมพันนี่น่า เพียงแค่นางมีค่ามากพอก็ใช้ได้แล้ว ข้าจำได้ว่านางมีผิวกายที่เนียนละเอียดราวกับหยกขาวมันแพะ กอปรกับกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของนาง แค่นี้ก็มากพอแล้วล่ะ”
ลู่เหมยฮวากัดฟันแน่นด้วยความหึงหวง ปากบอกว่าหลงลืมมันไปแล้ว แต่จำได้แม้กระทั่งกลิ่นกายของมันเช่นนั้นหรือ ดีล่ะ! ใช้โอกาสนี้กำจัดนางแพศยานั่นออกไปจากจวนให้สิ้นเสีย
“ดีเจ้าค่ะ เช่นนั้นวันพรุ่งข้าจะให้คนไปเตรียมตัวนางให้พร้อมนะเจ้าคะ”
“ลำบากฮูหยินแล้ว”
โรงเตี๊ยมชมบุปผา
ณ ห้องรับรองอันหรูหราที่สุดของโรงเตี๊ยมชมบุปผานั้น ได้รับเกียรติต้อนรับเหล่าผู้มีอำนาจที่เป็นกำลังสำคัญของเมืองหวงซ่าง
บุรุษที่นั่งหัวโต๊ะผู้มีเรือนกายสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มที่เต็มไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้ม และกำลังแผ่กลิ่นอายแห่งความตายนั้น เขาคือท่านแม่ทัพใหญ่ ‘หลี่หยวนจื่อ’ ผู้คุมกำลังพลทหารหนึ่งแสนนายปกครองความสงบของเมืองหวงซ่าง
ถัดไปทางซ้ายมือของหลี่หยวนจื่อ คือบุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ท่วงท่าสุขุมเงียบขรึมของเขาคล้ายกับบัณฑิตผู้ทรงภูมิความรู้ เขามักปรากฏกายในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีน้ำเงินเข้ม นามของเขาคือ ‘เหวินมู่หยาง’ กุนซือหนุ่มอันเป็นหัวสมองของแคว้นหวงซ่าง
“เมื่อไหร่อู๋ซานจะมาเสียที ข้ารอนานแล้วนะ” น้ำเสียงทุ้มเข้มเอ่ยถามกุนซือข้างกาย
“เขาคงใกล้มาถึงแล้วขอรับ”
เหวินมู่หยางเอ่ยตอบเสียงเรียบ ในมือของเขาถือถ้วยชาขึ้นมาจิบเพื่อดับความกระหาย
ผลัวะ!
เสียงประตูถูกผลักออกมาพร้อมการปรากฏกายของอู๋ซาน คหบดีใหญ่ผู้ร่ำรวยแห่งแคว้นหวงซ่าง เขาเปรียบเสมือนผู้กุมบังเหียนสินค้า และการค้าขายของแคว้นเจียงหนานที่เมืองท่าสำคัญแห่งนี้
“ขออภัยที่ทำให้ท่านแม่ทัพกับท่านกุนซือต้องรอนานขอรับ พอดีของเดิมพันของข้าต้องเตรียมตัวเล็กน้อย”
อู๋ซานคลี่ยิ้มก่อนจะจับข้อมือเล็กให้ก้าวตามเข้ามาด้วย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ราวกับดอกไม้ป่าที่สดชื่นโชยออกมาจากกายสาว
หลี่หยวนจื่อและเหวินมู่หยางมองของเดิมพลันที่มีชีวิตด้วยความฉงน สตรีในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ที่มีผ้าคลุมหน้าสีขาวผืนบางปิดครึ่งหน้านั้น แม้จะเห็นเพียงแค่ดวงตาคู่กลมสวยที่โผล่พ้นออกมา แต่ก็รู้ได้ในทันทีว่านี่จะต้องเป็นโฉมงามอย่างแน่นอน
“หมายความอย่างไร เหตุใดนางถึงมาเป็นของเดิมพันในครั้งนี้ได้”
เหวินมู่หยางขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่ชอบใจ อู๋ซานผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือ ถึงได้นำสตรีมาเป็นของเดิมพันในครั้งนี้
“ไม่มีกฎว่าห้ามนำสตรีมาเป็นของเดิมพันนี่ขอรับ อีกอย่างนางคืออนุลำดับที่เจ็ดของข้าเอง ข้าจะนำนางมาวางเป็นของเดิมพันก็ย่อมได้”
กุนซือหนุ่มมองเลยไปทางสตรีนางนั้น เขามองเห็นแววตาคู่สวยที่เต็มไปด้วยไฟโทสะของนางก็นึกชอบใจ นางคงจะถูกบังคับเป็นแน่ถึงได้มีสายตาที่ทิ่มแทงมองมาเช่นนี้
อ่า...แววตาของนางดูเหมือนเขาจะถูกใจเสียแล้ว กลิ่นกายหอมละมุนของนางก็คุ้นเคยเขายิ่งนัก
“เอาล่ะ ๆ อย่าได้ชักช้าเลยจะเป็นสิ่งของหรือสตรีก็ได้ทั้งนั้น แต่ว่าคราวหน้าจะไม่มีการผ่อนปรนเช่นนี้อีก”
หลี่หยวนจื่อเข้ามาไกล่เกลี่ย เขาอยากเริ่มการละเล่นนี้เสียแล้ว หากมัวแต่ถกเถียงกัน เมื่อไหร่จะได้เริ่มเล่นเสียทีเล่า
เหวินมู่หยางมองสบสายตากับสตรีที่ยืนอยู่ด้านหลัง พร้อมยกยิ้มมุมปากส่งให้กับนาง ในเมื่ออู๋ซานกล้าทำเช่นนี้ เขาก็จะขอเป็นฝ่ายชนะและรับตัวนางไปเอง
กุนซือหนุ่มพยักหน้าเรียกบ่าวข้างกายให้นำของออกมา การละเล่นครั้งนี้มีชื่อว่า ‘ไฮโล’ เป็นเขาที่นำการละเล่นนี้เข้ามาเล่นกับหลี่หยวนจื่อและอู๋ซาน เดิมทีพวกเขาเคยเล่นกำถั่วกัน แต่เพราะท่านแม่ทัพเริ่มเบื่อหน่ายแล้ว เขาจึงได้หาการละเล่นใหม่มาให้ และนี่คือเกมที่เขาชมชอบมากที่สุด
จางเฟินเยว่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ นางไม่คิดเลยว่ายุคสมัยนี้จะมีการเล่นไฮโลด้วย ถึงจะเคยได้ยินมาบ้างว่าไฮโลนั้นมีต้นกำเนิดมาจากจีน แต่ก็ไม่คิดว่ายุคสมัยนี้จะเริ่มมีการละเล่นไฮโลเสียแล้ว แววตาคู่สวยเหม่อมองบุรุษที่อู๋ซานเอ่ยเรียกว่าท่านกุนซือด้วยความสงสัย
ตอนพิเศษ 2หวนคืนสู่นิรันดร์18 ปีผ่านไปเวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหลที่ไม่ไหลย้อนคืนกลับมา บัดนี้บุตรชายและบุตรสาวในวัยเยาว์ของทั้งสองได้เติบโตขึ้นมาอย่างสง่างามและงดงาม สมกับที่เหวินมู่หยางและจางเฟินเยว่เลี้ยงดูพวกเขาด้วยความรักและความอบอุ่นคุณชายใหญ่เหวินมู่เฉินถอดแบบบิดามาทุกกระเบียดนิ้ว เขาได้กลายเป็นท่านกุนซือน้อยที่คอยช่วยงานของกองทัพคุณชายรองเหวินอี้หานชมชอบการฟันดาบ ด้วยอายุยังน้อยและการสนับสนุนจากบิดา เขาจึงสามารถไต่เต้าด้วยความสามารถของตนเองจนกลายเป็นรองแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดของเมืองหวงซ่างคุณชายเล็กเหวินอี้เจ๋อชมชอบเรื่องการค้าขาย เมื่อเขาได้รับหน้าที่ให้ดูแลร้านผิงเยว่ เขาสามารถขยับขยายร้านผิงเยว่จนตอนนี้มีสาขาย่อยทุกหัวเมือง กิจการเติบโตอย่างรวดเร็วจนแผ่ขยายไปยังเมืองหวงของแคว้นเจียงหนานส่วนคุณหนูหนึ่งเดียวเหวินอ้ายเยว่ นางได้ถอดแบบความงามและความสามารถด้านการทำอาหารมาจากมารดาไม่ผิดเพี้ยน ผู้คนในเมืองหวงซ่างจึงยกย่องให้นางเป็นยอดพธูและเพราะความงามที่ร่ำลือไปไกลนั้น จึงทำให้มีบุรุษมากมายพากันส่งแม่สื่อมาทาบทามเหวินอ้ายเยว่ แต่ทุกคนต้องรีบถอยทัพกลับไปเป็นการด่วน เพราะเหว
ตอนพิเศษ 1ลูก ๆ ของจางเฟินเยว่เวลาผ่านไปราวสองปีนับตั้งแต่เหวินมู่เฉินได้กำเนิดขึ้นมา เขาที่เป็นคุณชายของบ้านถูกดูแลอย่างประคบประหงม ทั้งจากบิดาผู้ใจดีและมารดาที่อ่อนโยน ทำให้เด็กชายที่อายุแค่สองหนาวมีนิสัยที่โอบอ้อมอารี และเป็นเด็กยิ้มง่าย เขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวหรือต้องรู้สึกเศร้าเสียใจเลยแต่ในวันที่อากาศเย็นลงนั้น เหวินมู่เฉินกลับเริ่มคิดหนัก เขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องเล่นกับผู้ใหญ่ และยิ่งได้ไปเห็นว่าเพื่อนเล่นของเขามีน้องน้อยที่น่ารัก เขาเองจึงรู้สึกอยากมีน้องเป็นของตัวเองบ้าง“ทั่นแม่ ทั่นแม่ ข้ายั่กมีน้องขอยับ”เหวินมู่เฉินในวันสองหนาวออกเสียงอ้อแอ้ เขาเดินเตาะแตะมาออดอ้อนผู้เป็นมารดา หญิงสาวหัวเราะขำด้วยความเอ็นดู“อาเฉินของแม่เหงาหรือ”“ขอยับ ข้ายั่กมีน้อง ยั่กมีฉองคนขอยับ”“ฮ่ะฮ่ะ เช่นนั้นพ่อคงต้องรีบมีน้องให้แล้วสินะ”เหวินมู่หยางที่เพิ่งกลับมาจากค่ายทหารได้ยินที่ทั้งสองคุยกันพอดี“ทั่นพ่อ ทำน้องให้ข้านะขอยับ ข้าขอฉองคน”“ได้สิ งั้นคืนนี้อาเฉินของเรานอนคนเดียวได้หรือไม่”เด็กน้อยเอียงคอด้วยความสงสัย เหตุใดเขาต้องนอนคนเดียวด้วย แต่เพราะเขาอยากมีน้องมากจึงยอมพยักหน้าต
จวนตระกูลเหวินหลังจากเรื่องราวในครั้งนั้น นี่ก็ผ่านมาร่วมเจ็ดวันแล้ว จางเฟินเยว่กลับมาใช้ชีวิตของนางดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือข่าวการตั้งครรภ์ของนาง สิ่งที่นางสงสัยนั้นเป็นจริงตอนนี้นางตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนเศษแล้ว!เหวินมู่หยางที่รู้ว่าตัวเองจะได้เป็นพ่อคน เขารู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะข่าวดีนี้เขาจึงได้ประกาศแต่งตั้งให้จางเฟินเยว่เลื่อนขั้นเป็นฮูหยินรอง โดยหลังจากที่นางคลอดบุตรแล้ว เขาก็จะแต่งตั้งให้นางเป็นภรรยาเอกหากทำเช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถมาโต้แย้งได้ แต่ถึงจะกล้าโต้แย้งคงต้องถามดาบในมือของเขาเสียก่อน จางเฟินเยว่ที่คราแรกอยากเป็นเพียงแค่อนุ แต่เพราะนางนึกถึงฐานะของบุตรที่จะกำเนิดมาจึงได้ยินยอมทำตามที่เหวินมู่หยางต้องการในยามพลบค่ำที่ห้องนอนของทั้งคู่ จางเฟินเยว่นั่งพิงหน้าอกแกร่งของเหวินมู่หยาง ในมือของนางกำลังจดข้อควรปฏิบัติและสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงในยามตั้งครรภ์ ทั้งที่เคยได้ยินจากชีวิตก่อน และจากคำแนะนำของท่านหมอที่ดูแลนาง“ไม่นอนก่อนหรือเยว่เอ๋อร์ เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก ๆ นะ”“อีกนิดเดียวเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าใกล้เสร็จแล้ว”หญิงสาวกลับมาจดจ่ออีกครั้ง เวลาผ่านไปก
บทส่งท้ายเหวินมู่หยางกับจางเฟินเยว่กลับมาที่เมืองหวงซ่างในยามสาย บ้านพักของอู๋ซานที่พาจางเฟินเยว่ไปนั้นอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่เพราะเป็นเมืองที่อยู่ติดกันจึงใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก ผู้คนที่เห็นว่าท่านกุนซือขี่ม้าตัวเดียวกันกับจางเฟินเยว่ต่างพากันประหลาดใจขบวนของเหวินมู่หยางตรงไปยังค่ายทหารทันที เขาต้องการจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด เพราะยังมีอีกคนที่ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้ เหวินมู่หยางได้พาจางเฟินเยว่ให้ไปรอเขาที่เรือนพักของเขาที่ค่ายทหารก่อน ส่วนเขาจะไปจัดการเรื่องทั้งหมดเองทหารของท่านแม่ทัพใหญ่บุกเข้าไปยังจวนตระกูลลู่ พวกเขาจับกุมตัวลู่เสียนผู้เป็นเจ้าเมืองที่มีตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของที่นี่โดยไม่ไว้หน้า เรื่องนี้ยิ่งสร้างความสับสนให้กับชาวเมือง“ปล่อยข้านะ พวกเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาจับข้า ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองเชียวนะ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากร่างของชายสูงวัยใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นเคร่งขรึมลงด้วยความเคร่งเครียด เขากังวลว่าอาจจะมีคนรู้เรื่องที่เขาแอบทำลับหลังแล้วก็เป็นได้‘ไม่ใช่ว่าพวกมันรู้แล้วนะ บัดซบ!!’ลู่เสียนสบถในใจด้วยความหวาดหวั่น ความกริ่งเกรงที่มีต่อท่านแม่ทัพใหญ่และกุนซือ
เหวินมู่หยางกลับมาที่ห้องอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกลำคอแห้งผาก เสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นภาพเย้ายวนตรงหน้าจางเฟินเยว่ที่ควรจะนอนตัวสั่นเพราะความหวาดกลัว กลับนอนยั่วยวนเขาบนเตียงเสียอย่างนั้น อาภรณ์สีแดงที่เนื้อผ้าบางเบาเผยออกมาจนเห็นเนินอกขาวผ่องของนาง รอยยิ้มมุมปากที่แสนยั่วยวนของนาง ราวกับกำลังเชิญชวนเขาให้รีบมาจัดการนางโดยเร็ว“จะ เจ้าไม่นอนหรือเยว่เอ๋อร์” กว่าเขาจะหาเสียงตัวเองเจอก็ผ่านไปหลายลมหายใจ“ข้ารู้สึกอากาศมันร้อนเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่ข้าอยากได้อ้อมกอดจากคนที่ข้ารักเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าความปรารถนาของข้าจะเป็นจริงหรือไม่”เหวินมู่หยางก้าวเดินเข้าไปหาคนช่างยั่วพลางหัวเราะออกเบา ๆ“เยว่เอ๋อร์คงจะเสียขวัญมาก พี่คงต้องปลอบเจ้าทั้งคืนใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะท่านพี่”จางเฟินเยว่ยิ้มยั่ว ฝ่ามือเล็กค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกไป จนตอนนี้ร่างกายของนางเหลือเพียงเอี๊ยมบังทรงเท่านั้น ซึ่งมันไม่สามารถปกปิดก้อนเต้าหู้อวบใหญ่ของนางได้เลย“อ่า...คนช่างยั่วต้องโดนอะไรนะ” น้ำเสียงแหบพร่าดังมาจากลำคอหนา สายตาคู่คมมองร่างเย้ายวนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตรง
บทที่ 13อ้อมกอดของคนรักเหวินมู่หยางโอบประคองจางเฟินเยว่ด้วยความหวงแหน สีหน้าของนางซีดขาวด้วยความหวาดกลัว นางที่เพิ่งมาอยู่ในยุคนี้คงไม่เคยเห็นการฆ่าฟันกันมาก่อน แต่เขาที่มาอยู่ที่นี่นับสิบปี และอยู่แต่ในสนามรบจึงชินชากับเรื่องนี้ ฝ่ามือหนาที่ปิดดวงตาของนางเอาไว้คลายออก พร้อมกับช้อนร่างของนางเข้ามาในวงแขนของขา เขาพานางออกไปจากห้องที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดและศพของอู๋ซาน“นี่มืดแล้ว เราคงต้องพักกันที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านของเรากันนะเยว่เอ๋อร์”เหวินมู่หยางวางร่างที่แสนบอบบางของจางเฟินเยว่ที่เตียงกว้าง เขาได้สั่งให้สาวใช้ที่นี่นำทางเขาไปยังอีกห้องหนึ่งที่เว้นว่างเอาไว้“เจ้าค่ะท่านพี่แล้วเหยาเหยาเล่าเจ้าคะ”“เหยาเหยาปลอดภัยดี ตอนนี้พี่ให้นางนอนพักอีกห้องหนึ่งแล้ว”“ขอบคุณเจ้าค่ะ”ผู้คนที่นี่ที่นางพอจะรู้สึกเป็นห่วงก็มีเพียงเหยาเหยาคนเดียวเท่านั้น เหยาเหยาไม่ใช่เพียงสาวใช้ข้างกาย แต่นางรู้สึกรักและเอ็นดูเหยาเหยาเปรียบเสมือนน้องสาวคนหนึ่งเลย“ขออภัยขอรับ เราพบคุณหนูรองลู่ที่ห้องด้านข้างขอรับ”องครักษ์ของเหวินมู่หยางเอ่ยรายงานเสียงเข้มที่หน้าห้อง ในตอนที่พวกเขากำลังจัดการคนทั้งหมดนั