หลังจากเหตุการณ์นั้นน้ำมนต์ตัดสินใจขอหยุดงานชั่วคราวเพื่อหลีกหนีจากความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงในใจ เขากลับไปอยู่กับครอบครัวที่บ้าน เพื่อหาคำตอบว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ในขณะเดียวกัน บดินทร์ที่เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียน้ำมนต์ไปจริง ๆ ก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขาพยายามหาวิธีที่จะดึงน้ำมนต์กลับมา แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในทางที่ผิด หลังจากที่น้ำมนต์ตัดสินใจหยุดงานชั่วคราวและหายตัวไป แพรพลอยเริ่มรู้สึกมีความสุขกับชัยชนะของเธอ แต่เธอรู้ดีว่ามันยังไม่เพียงพอ เพราะเธอต้องการให้บดินทร์และน้ำมนต์แยกจากกันอย่างถาวร แพรพลอยจึงตัดสินใจวางแผนขั้นสุดท้าย เธอนัดกานต์มาพบที่ร้านกาแฟอีกครั้งเพื่อพูดคุยและปรึกษาเรื่องแผนที่เธอวางไว้ “กานต์ แพรว่าตอนนี้น้ำมนต์เริ่มห่างจากพี่ดินไปแล้วล่ะ แต่ถ้าเราจะทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์ เราต้องทำให้เขาเข้าใจผิดกันแบบถอนตัวไม่ขึ้น” แพรพลอยพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเจตนาร้าย กานต์ที่เริ่มรู้สึกไม่สบายใจกับการเล่นเกมนี้เขาแสดงความลังเลออกมา “คุณแพรผมว่าเราเล่นมาพอแล้วนะ ผมเริ่มรู้สึกผิดที่ต้องทำให้น้ำมน
วันต่อมา กานต์เริ่มแสดงออกถึงความใกล้ชิดกับน้ำมนต์มากขึ้นอย่างตั้งใจ เขาใช้ทุกโอกาสในการแสดงออกว่าตัวเองสนใจน้ำมนต์อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการชวนคุยเรื่องส่วนตัว การช่วยเหลือในเรื่องงานที่ไม่จำเป็นต้องทำ หรือแม้กระทั่งการแตะตัวน้ำมนต์ในลักษณะที่ดูเหมือนเป็นความสนิทสนมเกินเพื่อนในช่วงบ่ายหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น กานต์เดินตามน้ำมนต์ออกมาจากห้องประชุมและพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ “น้ำมนต์ วันนี้เราไปทานข้าวเย็นด้วยกันไหม ผมอยากคุยเรื่องโปรเจ็กต์ใหม่ที่จะทำร่วมกัน”น้ำมนต์เริ่มรู้สึกสบายใจกับการทำงานร่วมกับกานต์ก็ตอบรับโดยไม่ได้คิดอะไรมาก “ได้สิครับ”ในขณะเดียวกัน บดินทร์ที่เฝ้ามองอยู่จากมุมหนึ่งก็รู้สึกถึงความหึงหวงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเห็นว่ากานต์พยายามเข้าหาน้ำมนต์มากขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเสียคนที่เขารักไปทีละนิดเมื่อถึงตอนเย็น บดินทร์แอบตามไปที่ร้านอาหารที่น้ำมนต์และกานต์นัดกันไว้ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งที่สามารถมองเห็นทั้งสองคนได้อย่างชัดเจนระหว่างที่ทั้งคู่ทานข้าวกัน กานต์เริ่มใช้แผนการที่แพรพลอยแนะนำ เขาทำตัวใกล้ชิดกับน้ำมนต์มาก
หลังจากที่แพรพลอยรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าที่กำลังถูกบดินทร์ผลักไสให้ออกไปจากชีวิต และดูเหมือนบดินทร์คอยหลบหน้าเธอ ในช่วงพักกลางวันแพรพลอยได้นัดกานต์มาพบที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เธอข้ออ้างว่าอยากปรึกษาเรื่องงาน แต่ความจริงแล้วเธอตั้งใจจะยุยงให้กานต์จีบน้ำมนต์เพื่อสร้างความเข้าใจผิด เพราะเธอรู้สึกว่ากานต์เหมือนจะมีความรู้สึกดีๆ กับน้ำมนต์ “คุณกานต์ เเพรรู้สึกว่าคุณดูเหมือนจะสนิทกับน้ำมนต์มากขึ้นนะ น้ำมนต์เขาเป็นคนน่ารักแล้วก็เป็นที่ปรึกษาที่ดีมาก ถ้าคุณได้ใกล้ชิดกับเขา แพรเชื่อว่าคุณอาจจะมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์มากกว่าการเป็นแค่เพื่อนร่วมงานก็ได้นะคะ” แพรพลอยพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนเป็นมิตร กานต์ยิ้มรับและรู้สึกดีที่แพรพลอยพูดเหมือนจะสนับสนุนเขา “ขอบคุณนะครับคุณแพร ผมก็รู้สึกว่าน้ำมนต์เป็นคนน่าสนใจจริง ๆ ผมเองก็อยากลองสานต่อความสัมพันธ์กับเขาเหมือนกัน แต่ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะเปิดใจให้หรือเปล่าเพราะเขามีคู่หมั้นแล้วนี่ซิครับ” “โอ้ย เรื่องนั้นไม่ยากหรอกค่ะ แพรรู้จักน้ำมนต์ดี เค้าเป็นคนที่ต้องการคนที่มั่นใจและเข้าหาแบบจริงจัง ถ้าคุณกานต์แสดงให้เขาเห็นว่าคุณพร้อมที่จะดูแลและเข้าใจเขา แพรเชื่อว
ร่างสูงของเจ้าของปางไม้นั่งถอนหายใจมองวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ อยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว จนตอนนี้แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ได้ดับมืดลงแล้ว กลายเป็นแสงดาวจันทร์มาแทน การพูดกันกับน้ำมนต์ในวันนี้มันไม่ยังไม่เคลียร์ มันยังมีความค้างคาในใจของเขาอยู่ บดินทร์เลยตัดสินใจเดินไปหาน้ำมนต์ที่บ้านพัก หลังจากที่ตัดสินใจอยู่นาน “น้ำมนต์...” บดินทร์เอ่ยขึ้นเบาๆ “พี่รู้ว่าพี่ทำตัวไม่ดีหลายครั้ง แต่พี่ก็พยายามปรับปรุงตัวเอง พี่แค่อยากให้น้ำมนต์รู้ว่าพี่รู้สึกยังไงจริงๆ” น้ำมนต์หันมามองใบหน้าหล่อเหลาของบดินทร์ด้วยสายตาที่สงสัย “พี่ดินหมายถึงอะไรเหรอครับ” ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองหน้าคนน้อง ก่อนจะหลบสายตาเล็กน้อยและพูดต่อ “พี่รู้ตัวว่าพี่หวงน้ำมนต์มาก จนบางครั้งมันอาจจะดูเหมือนมากเกินไป พี่กลัวว่าจะเสียน้ำมนต์ไป พี่แค่อยากจะบอกให้น้ำมนต์รู้ว่าพี่รักน้ำมนต์จริงๆ นะครับ” ร่างบางนิ่งฟังด้วยความสงบ ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นกับคำบอกรักของบดินทร์ แต่น้ำมนต์ก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนกัน “น้ำมนต์รู้ครับว่าพี่ดินพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่พี่ก็ต้องรู้ว่า ต้องหัดพูดจาดีๆ และเชื่อใจน้ำมนต์บ้าง” บดินทร์พยัก
วันรุ่งขึ้นที่สำนักงานปางไม้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด น้ำมนต์ตัดสินใจไม่พูดอะไรกับบดินทร์เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่กลับโฟกัสไปที่งานของเขา เขาพยายามสร้างกำแพงระหว่างตัวเองกับบดินทร์ ไม่อยากให้ความรู้สึกส่วนตัวมารบกวนอีกบดินทร์เริ่มสังเกตเห็นท่าทีที่ห่างเหินของน้ำมนต์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล เขาตัดสินใจว่าจะต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้ชัดเจน แต่ก่อนที่เขาจะได้เข้าไปพูดคุยกับน้ำมนต์ แพรพลอยก็เข้ามาในห้องทำงานของเขาเสียก่อน“พี่ดิน แพรทำอาหารมาให้ค่ะ” แพรพลอยพูดพร้อมกับยื่นปิ่นโตให้กับบดินทร์บดินทร์จำใจต้องรับมา แต่ในใจกำลังคิดถึงเรื่องน้ำมนต์ “ขอบใจนะ แต่แพรพลอย พี่ว่าเรามีเรื่องที่ต้องคุยกัน”แพรพลอยยิ้มบาง ๆ แต่ในใจรู้สึกถึงสิ่งที่บดินทร์จะพูด เธอจึงรีบพูดแทรก “พี่ดิน อยากพูดเรื่องน้ำมนต์ใช่ไหมคะ แพรเห็นแล้วล่ะว่าเขาอึดอัดเวลาที่เราอยู่ใกล้กัน แต่แพรแค่ไม่อยากให้เขาคิดมาก แพรกับพี่ก็แค่พี่น้องกันเท่านั้นเอง”บดินทร์ส่ายหน้า “มันไม่ใช่แค่นั้น แพรพลอย พี่ว่าน้ำมนต์เริ่มเข้าใจผิดและพี่ไม่อยากให้มันกลายเป็นปัญหาใหญ่ พี่อยากให้เราชัดเจนกันสักที แพรเองก็ควรจะเดินหน้าต่อไปได้แล้ว ไม
ช่วงบ่ายในขณะที่น้ำมนต์กำลังทำงานอยู่ในห้องของสำนักงานปางไม้ บรรยากาศที่เคยสงบเงียบกลับถูกรบกวนด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงที่ดังสะท้อนอยู่ในทางเดินยาวของสำนักงาน เสียงนั้นทำให้น้ำมนต์อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง และภาพที่ปรากฏต่อสายตาเขาที่ได้เห็นก็คือ หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเนียน สวมชุดเดรสสีแดงสด กำลังเดินตรงเข้ามา หล่อนเดินยิ้มเข้ามาหาน้ำมนต์“สวัสดีค่ะ คุณน้ำมนต์ใช่ไหมคะ” สาวเจ้าถามเขาก่อนน้ำมนต์พยักหน้าตอบรับด้วยความสงสัย “ใช่ครับ คุณคือ..”“ฉันชื่อแพรพลอยค่ะ เป็น อึ่ม ยังไงดี แพรเป็นเพื่อนเก่าของพี่ดิน เราเคยสนิทกันมาก่อน” แพรพลอยพูดด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น แต่สายตากลับแฝงความท้าทายน้ำมนต์รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่น่าจะมาทักทายธรรมดา ทำให้เขาไม่สบายใจ เขาพยายามเก็บอารมณ์และตอบกลับอย่างสุภาพ “อ๋อครับ มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แพรแค่ผ่านมาแถวนี้ แล้วก็เลยแวะมาทักทาย อยากรู้จักน้ำมนต์น่ะค่ะ ได้ยินว่าตอนนี้คุณน้ำมนต์กำลังทำงานกับพี่บดินทร์อยู่ใช่ไหมคะ” แพรพลอยถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนเป็นมิตร แต่น้ำมนต์รู้สึกว่ามันมีนัยแฝงอยู่ เธอเห็นใบหน้าของคู่สนทนาของ