“ในเมื่อเทพธิดาบาดเจ็บ อีกทั้งยังใช้พลังเรียนฝนฟ้ามาพิสูจน์ให้พวกเราได้เป็นที่ประจักษ์ คงจะเหนื่อยมากแล้ว เช่นนั้นจงไปพักก่อนเถิด ข้าจะให้คนจัดเตรียมห้องไว้ให้”
ฮ่องเต้เอ่ยเช่นนั้น ลึกไปในแววตาของเขากลับดูไม่น่าไว้วางใจ ราวกับตั้งใจวางแผนวางสิ่ง และหยวนซีซวนก็พอจะรู้ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะออกตัว
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” บุรุษเอ่ยพลางโค้งศีรษะ ก่อนจะขยับตัวพาหนิงอวี้เฟยออกจากห้องโถง เดินตามนางกำนัลนางหนึ่งมายังห้องว่างไม่ไกลกันนัก
เขาวางร่างของนางลงบนเก้าอี้ยาว ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“รอข้าอยู่ที่นี่”
บุรุษเอ่ยก่อนจะเดินจากไปทว่ากลับต้องหยุดกึก ดวงตาคมกริบเหลือบลงมองมือของนางที่กำชายอาภรณ์ของเขาไว้ ก่อนจะเลื่อนสายตามองใบหน้าของนาง
“เจ้าจะไปไหน?” นางถามเสียงเบา ดวงตาจับจ้องเขาอย่างไม่สบายใจ
หยวนซีซวนปรายตามองนางครู่หนึ่ง ก่อนตอบเสียงเรียบนิ่ง
“ข้าต้องไปร่วมประชุม นอกจากพาเจ้ามาแนะนำต่อฝ่าบาทแล้ว ยังมีเรื่องบ้านเมืองที่ต้องรายงาน”
หนิงอวี้เฟยเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ตลอดทางมีหยวนซีซวนคอยดูแลนางตลอด แม้เขาจะดูแข็งกระด้าง เย็นชา แต่สายตาและการกระทำกลับไม่ใช่ ดูเอาใจใส่นางไม่น้อย ตัวนางเองก็พึ่งพาหยวนซีซวนอย่างไม่รู้ตัว จึงรู้สึกไม่ปลอดภัยหากไม่มีเขา
“รีบกลับมานะ…” นางเอ่ยเสียงเบาก่อนจะคลายมือที่กำชายอาภรณ์เอาไว้ ในตอนนั้นเองหมอหลวงก็มาเพื่อตรวจอาการของนาง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีบุรุษก็เดินออกไปเสียแล้ว
ภายในห้องโถงหลวง ขุนนางในชุดเต็มยศเรียงรายอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของทางเดินทอดยาว ม่านผ้าไหมที่ประดับมังกรสวรรค์ต้องแสงเทียนสลัว เมื่อหยวนซีซวนมาถึงก็เริ่มรายงานทันที
“กระหม่อมขอถวายรายงานเกี่ยวกับแคว้นต้าจวิน…”
เขาอธิบายถึงการพัฒนาที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือน ทั้งความพยายามฟื้นฟูแผ่นดินให้สามารถทำเกษตรกรรมได้ การปรับปรุงระบบชลประทาน รวมถึงการส่งเสบียงไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
“ผลลัพธ์ยังมีขึ้นลงตามสภาพอากาศ บ้างก็ดีขึ้น บ้างก็ยังต้องแก้ไข แต่บัดนี้ฝนตกแล้ว คาดว่าการฟื้นฟูน่าจะดีขึ้นในเร็ววัน”
ขุนนางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เสียงพึมพำดังขึ้นเบาๆ
กระทั่งหนึ่งในขุนนางก้าวออกมาถวายบังคมต่อฝ่าบาท ก่อนจะเอ่ย
“ฝ่าบาท ขณะนี้กลุ่มโจรป่าที่สร้างความวุ่นวายให้ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนยังไม่คลี่คลาย ตามจับไม่ได้ ประชาชนร้องเรียนมาเป็นจำนวนมาก นับเป็นเรื่องที่สมควรจัดการให้เร็วที่สุด” เขาเหลือบสายตามองหยวนซีซวนก่อนเอ่ยต่อ “บัดนี้ซวนอ๋องอยู่ที่นี่พอดี ข้าน้อยคิดว่าหากให้เขาจัดการเรื่องนี้ ย่อมเป็นการดี”
เสียงขุนนางคนอื่นพยักหน้ารับ ต่างเห็นด้วยกับข้อเสนอ ฮ่องเต้มองหยวนซีซวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า
“เช่นนั้น ข้าจะมอบหมายงานนี้ให้แก่เจ้า”
“น้อบรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
ฝนหยุดตกแล้ว บรรยากาศในเมืองหลวงยังคงเต็มไปด้วยเสียงสรรเสริญ 'เทพธิดา' ของชาวเมือง แต่สำหรับหนิงอวี้เฟยนางไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น
ภายในจวนมีของขวัญมากมายถูกส่งมาถึง นับตั้งแต่ผ้าไหมชั้นดี น้ำหอมชั้นสูง ยันสมุนไพรหายากจากดินแดนไกล ทุกอย่างถูกจัดเรียงเป็นระเบียบ โดยมีสาวใช้คอยตรวจสอบ
แต่เจ้าของของขวัญเหล่านั้นกลับไม่แม้แต่จะเหลียวมอง หนิงอวี้เฟยเดินตรงไปที่เตียง ก่อนจะล้มตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เฮ้อ ได้พักสักที…” นางพึมพำเพียงเท่านั้น ก่อนที่ลมหายใจจะสม่ำเสมอ ร่างบางจมหายไปในผ้าห่มสีขาวด้วยความเหนื่อยล้า
ช่วงดึกสงัดของวันนั้น หยวนซีซันนั่งอยู่ภายในห้องทำงาน เมื่อได้รับรายงานว่าหนิงอวี้เฟยนอนหลับยังไม่ตื่น ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ อ่านเอกสารเกี่ยวกับคดี ‘โจรป่า’ อย่างตั้งอกตั้งใจร่วมกับหวังจางเหว่ย ทั้งสองเคยผ่านสนามรบร่วมกัน เลือดสาดกระจายใต้คมดาบ พวกเขาเคยยืนอยู่เคียงข้างกันในวันที่เป็นเพียงทหารยศต่ำสุด เมื่อหยวนซีซวนได้รับตำแหน่งอ๋อง เขาก็ดึงเพื่อนผู้นี้มาเป็นองครักษ์คนสนิท
“พวกมันไม่โจมตีคนแก่ แต่เลือกโจมตีคนหนุ่มสาว”
“แล้วหลังจากนั้น พวกเขาหายตัวไป ไม่มีร่องรอยให้ติดตาม” หยวนซีซวนขมวดคิ้ว ดวงตาคมมองเอกสารรายงานที่วางอยู่บนโต๊ะไม้โบราณ
“ใช่ ไม่มีศพ ไม่มีหลักฐาน พวกเขาถูกพาตัวไป ไม่ใช่ฆ่าทิ้ง”
บุรุษเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งเสียงเย็น
“ให้พวกเหยียนอู่กระจายกำลังอย่างเงียบๆ ส่วนพวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อมรับมือทุกเมื่อ จะต้องตามจับให้ได้โดยเร็ว!”
“ขอรับ!”
หลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว หยวนซีซวนก็วกคิดไปถึงเรื่องของหนิงอวี้เฟย สายตาของฮ่องเต้เห็นได้ชัดว่าสนใจนาง
“ไม่มีทางที่ฝ่าบาทจะปล่อยนางไปง่ายๆ ยิ่งนางแสดงปรากฏการณ์เช่นนี้ ฝ่าบาทต้องมีแผนบางอย่างแน่นอน”
“เป็นไปได้ว่า พระองค์จะหาทางรั้งตัวนางเอาไว้… หรือไม่ก็จับนางเป็นสนม”
นั่นเป็นสิ่งที่หยวนซีซวนกังวลที่สุด สำหรับบุรุษแล้วนางไม่ใช่เพียงเทพธิดา แต่เป็นสตรีในคำทำนายว่าจะเป็นคู่ครองของตน เขาไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ อันที่จริงบุรุษก็มีแผนแล้วเพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
หวังจางเหว่ยมองใบหน้าของหยวนซีซวน เขาเองก็ร้อนใจไม่น้อยเพราะเชื่อว่าหนิงอวี้เฟยคือเทพธิดาจริงๆ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมิอาจอธิบายได้ นางคือสัญลักษณ์แห่งโชคของพวกเขา!
หลายวันต่อมาเรื่องราวเป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ฮ่องเต้เรียกหยวนซีซวนและหนิงอวี้เฟยไปเข้าเฝ้า แล้วเอ่ยถึงการเตรียมการแต่งตั้งหนิงอวี้เฟยเป็นกุ้ยเฟย[1] นี่ไม่ใช่เรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ หยวนซีซวนคิดเอาไว้แล้ว แต่ไม่ได้ปฏิเสธได้แต่น้อมรับทำเอาหนิงอวี้เฟยเดือดดาล
…ไหนนายบอกว่าจะแต่งงานกับฉัน ให้เวลาฉันคิดจนกว่าจะกลับบ้านไง ไอ้คนโกหก!!...
“ไม่! ข้าไม่แต่ง ข้าไม่เป็นกุ้ยฟง กุ้ยเฟยอะไรทั้งนั้น!” นางตะโกนออกมาอย่างเหลืออด
ไม่ว่าจะที่ต้าจวินหรือที่นี่นางล้วนแล้วแต่ถูกบังคับ ถูกบังให้ให้เป็นเทพธิดาบ้างแหละ แต่งงานบ้างแหละ ทำราวกับนางเป็นเพียงสิ่งของ ยามนี้นางจะไม่ยอมแล้ว
“เทพธิดาโปรดฟังก่อน...”
“ข้าไม่ฟัง!” นางเอ่ยเสียงดัง ก่อนจะหันไปหาหยวนซีซวนที่ประหลาดใจไม่น้อยกับท่าทีไร้มารยาทของนาง ไม่คิดว่านางจะตะโกนออกมาเช่นนี้ อีกทั้งในยามนี้ยังน้ำตาคลอมองเขาอย่างโกรธเคือง “เจ้า! หยวนซีซวน คนโกหก!”
ครืน!!
ยามนั้นเอง ท้องฟ้าด้านนอกที่เคยสว่างสดใส กลับถูกเมฆดำลอยปกคลุมเหนือพระราชวัง ราวกับบดบังแสงแห่งสุริยัน ลมพายุกรูเกรียว กระแทกม่านผ้าแพรที่ห้อยอยู่ตามเสาหลักของตำหนัก ขุนนางที่ยืนอยู่สองฟากทางพากันหันมองไปรอบตัวด้วยความตกตะลึง จากนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงมาราวกับเป็นความโกรธจากเบื้องบน
เปรี้ยง!
“กรี๊ด!”
เสียงสายฟ้าฟาดลงมาอย่างเกรี้ยวกราด บางคนสะดุ้งเฮือก บางคนก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
สตรีตัวน้อยตกใจเสียงฟ้าร้อง นางยกมือขึ้นกุมศีรษะตนเองแล้วนั่งลงกับพื้น หยวนซีซวนรีบเข้าไปโอบนางเข้าสู่อ้อมกอด ฝ่ามือหนาลูบหลังปลอบประโลมนางเบาๆ
ในขณะเดียวกันนั้น บริวารต่างพากันเอ่ยว่าเป็นเพราะไปบังคับให้เทพธิดาทำสิ่งที่นางไม่อยากทำ สวรรค์จึงพิโรธ
“อา…! นี่มัน!”
ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาสั่นไหว ราวกับเพิ่งตระหนักถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
“นี่เป็นโทษทัณฑ์จากสวรรค์!”
“เราบีบบังคับเทพธิดาเกินไป สวรรค์พิโรธแล้ว!”
เสียงกระซิบดังระงม หลายคนพากันจับชายแขนเสื้อแน่น บางคนถึงกับโค้งคำนับลงพลางพึมพำวิงวอน
“เทพธิดาโปรดเมตตา ขอพระองค์โปรดระงับโทษทัณฑ์นี้!”
ลมแรงกระแทกเข้ามาจากหน้าต่าง วังหลวงที่เคยสง่างามราวกับถูกพายุแห่งสวรรค์ถาโถม ในขณะเดียวกันนั้นหยวนซีซวนยังคงโอบกอดเพื่อปลอบประโลมสตรีตัวน้อยให้หายตกใจ
“ชู่ว! ไม่เป็นไรแล้ว แค่เสียงฟ้าร้อง”
นางเงยหน้าขึ้นมองหยวนซีซวนก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น
“คนโกหก”
“ข้าหรือ?”
“คุณบอกว่าจะแต่งงานกับฉัน ให้เวลาฉันคิดจนกว่าจะกลับบ้านนี่”
“อ่า นั่น...”
...ข้าไม่ได้จะปล่อยให้เจ้าแต่งไปเป็นกุ้ยเฟยจริงๆ เสียเมื่อใด นี่ก็แค่... ส่วนหนึ่งของแผน ทว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน...
“ในเมื่อเป็นรับสั่งจากฝ่าบาท ผู้ใดจะขัดได้ นอกเสียจากเทพธิดา...” บุรุษเงยหน้าขึ้น มองออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนที่เทกระหน่ำมาพร้อมกับลมพายุทำเอาปบริวารด้านนอกต่างร้อนรนใจ “...เช่นนั้นหากเทพธิดาให้คำตอบกับข้า... สวรรค์อาจจะไม่พิโรธก็เป็นได้ ถึงจะพิโรธหากเจ้าตอบตกลง ข้าก็จะพาตัวเจ้ากลับต้าจวินพร้อมกับข้า”
สำหรับหนิงอวี้เฟยแล้ว หยวนซีซวนคือคนแรกที่นางเปิดใจ เป็นคนแรกที่พูดคุยด้วย และยังเป็นคนที่ดูแลนางอย่างดีมาตลอด แม้จะเพิ่งเจอกันแค่เกือบหนึ่งเดือนนั้น แต่ถ้าหากต้องเลือกแต่งงานแล้วล่ะก็ นางขอแต่งกับเขายังดีกว่า!
“ฉันจะแต่งกับคุณ!”
“เป็นเกียรติยิ่งนัก” หยวนซีซวนเอ่ยพลางเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก ทำเอาหนิงอวี้เฟยรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ราวกับพลาดสิ่งใดไป ทว่าจะกลับใจตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว “ต่อจากนี้เจ้าแค่อยู่นิ่งๆ ก็พอ”
หยวนซีซวนขยับกายออกห่างจากนาง ก่อนจะคำนับจนศีรษะจรดพื้น
“เป็นข้าที่ผิดเอง เทพธิดาโปรดระงับโทสะด้วย”
[1] กุ้ยเฟย = กุ้ยเฟย (贵妃, Guìfēi) เป็นตำแหน่งพระสนมที่มีอำนาจมากที่สุดรองจากจักรพรรดิ
บทที่ 30ความรู้สึกที่พรั่งพรูบุรุษไม่ได้ขอให้นางรับรัก เพียงขอให้เขารักนางต่อไป“ข้าไม่ขอให้เจ้ารับรัก ข้าไม่ขอให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้าไปตลอด” หยวนซีซวนเอ่ยเสียงแผ่วเบา แต่ด้วยความใกล้ชิดในยามนี้ ทำให้หนิงอวี้เฟยได้ยินมันชัดเจนเหลือเกิน “หากถึงเวลา หากเจ้ามีทางกลับไป… ข้าจะไม่รั้งเจ้า”หูของนางที่แนบไปกับอกกว้างทำให้ได้ยินเสียงหัวใจของบุรุษชัดเจนยิ่งขึ้น ราวกับพร่ำเอ่ยถ้อยคำหวานซึ้ง“แต่ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ที่นี่ อยู่ ณ ที่แห่งนี้...ให้ข้าได้รักเจ้าด้วยเถิด… เฟยเอ๋อร์”หัวใจของหนิงอวี้เฟยเต้นระรัว ราวกับจะหลุดออกจากอกอ้อมกอดอบอุ่นนี้…ความอ่อนโยนที่แผ่ซ่าน…ถ้อยคำหวานซึ้งที่ตราตรึงใจ…เช่นนี้นางจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร!?“ขะ… ข้า... ข้าเองก็รักท่าน ฮือ…”นางร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้จ
บทที่ 29ข้าต้องกลับไปโม่โฉ่วเดินเข้ามา สายตาคมกริบของเขาตวัดมองชายชราอย่างไม่เป็นไม่มิตร“โม่โฉว?”แต่เมื่อได้ยินเสียงหวานๆ เรียกเขา บุรุษก็เก็บสายตานั่น ก่อนจะสบตากับหนิงอวี้เฟยอย่างอ่อนโยน“คำนับพระชายา ซวนอ๋องจะออกไปข้างนอก จึงให้ข้ามาถามพระชายาว่าอยากไปด้วยกันหรือไม่ขอรับ”“ไปสิ! ไปตอนนี้เลย!”เมื่อได้ยินว่าจะได้ออกไปข้างนอกนางก็ตาลุกวาว ก่อนจะรีบลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกไปราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสาโม่โฉวมองตามนางอย่างเอ็นดู นางอยู่แต่ในจวนคงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย แม้จวนอ๋องแห่งนี้จะกว้างขวางโอ่อ่ามากเพียงใด แต่ก็มีแต่สิ่งเดิมๆด้วยเหตุนั้นเมื่อหยวนซีซวนรับรู้ว่าหนิงอวี้เฟยแอบใช้ทางลับออกไปเที่ยวเล่นอยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่ส่งคนไปอารักขานางอย่างรัดกุมเท่านั้น เพราะหากปล่อยปละละเลยจนเกินไปหากเกิดสิ่งใดขึ้นเขาต้องคลั่งตายแน่ๆนึกถึงเมื่อครั้งนางมาอยู่ที่นี่แรกๆ นางดูหวาดระแวงแล้วหวาดกลัวทุก
บทที่ 28ตามใจนางปากหนางับยอดอกของนางดูดเข้าปาก ส่วนนิ้วแกร่งก็ปรนเปรอช่วงล่างให้นาง จนร่างบอบบางอ่อนระทวย“ทะ ท่านพี่ อื้อ!”สตรีตัวน้อยโอบกอดบุรุษแนบแน่น ร่างของนางสั่นระริกพร้อมทั้งหอบหายใจยังยากลำบาก ทั้งเด้งสะโพกรับนิ้วแกร่งและถอนออกเมื่อพบกับความเสียวซ่านยากเกินรับมือไหว เป็นเช่นนั้นอยู่ไม่นาน หยวนซีซวนก็ดังรั้งเอวของนางแล้วสอดใส่แก่นกายเข้าไปทันที“อื้อ!!”ใบหน้าคมคายโน้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูของนางเสียงแผ่วเบา“ข้าเปลี่ยนโต๊ะทำงานแล้ว ให้ข้าได้ลองเสียหน่อยว่าโต๊ะตัวนี้แข็งแรงมากเพียงใด”ถ้อยคำแฝงความนัย ทำเอาดวงหน้าหวานแดงระเรื่อ นางเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความเขินอาย กระนั้นก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธไป จากนั้นบุรุษก็เริ่มขับเคลื่อนแก่นกายอย่างหนักหน่วง“อื้อ!” เสียงหวานครางกระเส่า นางเม้มริมฝีปากกลั้นเสียงน่าอาย ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนลำคอแกร่งแล้วออกแรงกัดเบาๆร่างกายที่ถาโถมเข้ามาหานาง มัน
บทที่ 27น้ำมันหอมระเหย“ข้ารู้สึกถูกชะตากับท่าน… ท่านเป็นคนใจดี ข้าอยากรับใช้ท่าน ข้าไม่ต้องการอะไร เพียงข้าวครบสามมื้อ หรือแค่วันละมื้อก็ยังดี…”เขาเอ่ยรวดเดียวราวกับกำลังนำเสนอตนเอวว่ามีประโยชน์ต่อนางมากเพียงใด หนิงอวี้เฟยมองด้วยความลังเล อันที่จริงนางสามารถช่วยชายชราผู้นี้ได้ แต่ถ้านางพากลับไป หยวนซีซวนจะต้องรู้ว่านางแอบหนีมาเที่ยว อีกทั้งนางยังหนีมาเที่ยวไม่ใช่ครั้งแรกเสียด้วย ไม่ต่างจากคนมีความผิดตั้งใจปิดบังเช่นนั้นก็มีเพียงวิธีเดียว..."พรุ่งนี้ไปขอทำงานที่จวนอ๋อง ข้าจะช่วยเจ้าเอง!" เสียงของนางหนักแน่น ดวงตาฉายแววจริงใจเมื่อชายชราที่ได้ยินคำพูดนั้น กลับตกใจเสียยิ่งกว่าที่คาดคิด ดวงตาของเขาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงสั่นๆ"ทะ ท่าน ท่านคือ… เทพธิดาหรือ!?"สตรีตัวน้อยชะงัก ก่อนยกนิ้วขึ้นจรดริมฝีปากส่งสัญญาณให้เงียบเสียงทันที“ชู่ว!” หนิงอวี้เฟยกระซิบเสียงเบา ดวงตาวาววับด้วยความร
บทที่ 26ยอมจำนนกลับกันหากมีวิธีกลับไปยังโลกของนาง กลับไปหาอาม่าและอากงที่นางรักยิ่ง…ถึงตอนนั้นการตัดสินใจของนางคงลำบากแล้ว เพราะตัวนางเองก็รู้ตัวว่าหัวใจดวงน้อยไม่ใช่ของตนเองแล้วทั้งหมด“ข้า...”ใบหน้าคมคายโน้มลงมาแล้วประกบปากจูบกับนางอย่างดูดดื่ม ดูดกลืนถ้อยคำใดก็ตามที่นางจะเอื้อนเอ่ยออกมา ราวกับว่าหวาดกลัวถ้อยคำนั้นๆ ของนาง หวาดกลัวว่านาง... จะเอ่ยถ้อยคำที่กรีดลึกลงกลางใจสุดท้ายนางก็ยอมจำนนอยู่ภายใต้อ้อมแขนของเขาจูบนี้ดูดดื่มและหอมหวานเหลือเกิน ราวกับต้องการใช้จูบนี้เพื่อเปลี่ยนความตั้งใจแรกของนาง เลือดลมสูบฉีดไปทั่วร่าง พร้อมกับความปรารถนาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆหนิงอวี้เฟยถูกกอดจนแทบจมอยู่อ้อมอของเขา เรียวลิ้นสากกวาดวนทั่วโพรงปาก เมื่อถอนริมฝีปากออกเพื่อให้นางหายใจ เขาก็บดเคล้าริมฝีปากลงมาอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลีบปากอวบอิ่มแดงก่ำ“ท่านพี่ ข้าเจ็บปากแล้ว อ๊ะ!” นางเอ่ยเสียงเบา ก่อนที่ใบหน้าคมคายจะกดเข้าที่ลำค
บทที่ 25อย่ากลับไปเลยแสงแดดยามเที่ยงวันส่องผ่านหน้าต่างเรือน ขับให้บรรยากาศภายในอบอุ่น หนิงอวี้เฟยจัดบุปผาที่เก็บมาใส่แจกันวางไว้ที่หน้าต่าง แต่บุปผาดอกหนึ่งก็ตกลงพื้นนางจึงก้มลงเก็บมันขึ้นมาแต่แล้ว… นางสังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติพื้นไม่สม่ำเสมอเมื่อมองผ่านๆ ย่อมไม่สังเกตเห็น สตรีตัวน้อยตัดสินใจลากตู้ออกมาดูด้วยกลัวว่าพื้นตรงนี้อาจจะกำลังสึกกร่อน ทว่าเมื่อเลื่อนโต๊ะตัวนี้ออกกลับพบสิ่งที่ไม่คาดคิด นางค่อยๆ ใช้แรงตนเองงัดพื้นขึ้นมาแล้วก็พบว่ามันคือประตูลับที่ถูกซ่อนไว้บานประตูเปิดออกเผยให้เห็นทางเดินลับทอดยาวเข้าสู่เงามืดนางมองซ้ายมองขวา ก่อนตัดสินใจก้าวเข้าไปอย่างซุกซน เดินตามเส้นทางลับเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองมาไกลแค่ไหน กระทั่งบานประตูสุดทางปรากฏตรงหน้า เมื่อผลักออกไปนางกลับพบว่าตนเองมาโผล่ที่ตีนเขาเสียแล้ว นางมองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินออกมา ใต้เส้นทางลับมีต้นไม้ใหญ่ ลำต้นมากกว่าสิบคนโอบ เบื้องล่างคือหมู่บ้านที่มีผู้คนเดินกันอย่างคึกคัก นางเบิกตาก