LOGIN"แต่งให้ศัตรู...เพื่อปกป้องพ่อ หรือเพื่อเดินเข้าสู่กับดัก?" ราชโองการที่ประกาศกลางท้องพระโรง ทำให้ ซูหนิงหนิง บุตรีหมอหลวงผู้บริสุทธิ์ ต้องหมั้นหมายกับ แม่ทัพใหญ่หลีเหวินเจีย—ชายผู้เย็นชาและเป็นคนเดียวกับที่กำลังสืบสวนบิดาของนางในข้อหากบฏ! สำหรับนาง การแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของหัวใจ แต่คือเดิมพันชีวิตและเกียรติยศของครอบครัว ทว่าในสนามรบและยามเผชิญภัย หลีเหวินเจียกลับเป็นคนที่ยื่นมือช่วย… ความใกล้ชิดทำให้หัวใจเริ่มสั่นไหว แต่ยิ่งหวั่นไหว ยิ่งอันตราย ท่ามกลางไฟสงคราม กลิ่นคาวเลือด และสายตาเฝ้าจับผิดจากผู้คนรอบข้าง ทั้งสองต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น — ศัตรูที่อาจซ่อนอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผย… หนิงหนิงจะเลือกอะไร ระหว่าง “หัวใจ” ที่เพิ่งเริ่มเต้นแรงให้เขา หรือ “หน้าที่” ที่อาจต้องแลกด้วยเลือด?
View Moreเสียงแตกกิ่งไม้เพียะ! ดังฝ่าอากาศ ทำลายความเงียบของยามรุ่งสางราวคมดาบเฉือนเนื้อ ความฝันร้ายของซูหนิงหนิงขาดสะบั้น นางลืมตาขึ้นอย่างตื่นตระหนก แสงสลัวลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่า เสียง
เกราะเหล็กกระทบกันดังเป็นจังหวะน่าหวาดหวั่น
นางค่อย ๆ เคลื่อนสายตาไปทางต้นเสียง…ทหารราชสำนักในชุดเกราะดำยืนเรียงแถวล้อมเรือนไว้ราวกรงเหล็ก ขานคำสั่งเคลื่อนไหวเป็นระเบียบ แต่กลิ่นคาวเหล็กจากชุดเกราะและดาบทำให้หัวใจ
เต้นถี่ เกิดสิ่งใดขึ้น?
“คุณหนูซู! ออกมาพบในบัดดล!” เสียงหัวหน้าทหาร หนักและเย็นเยียบ ราวคำตัดสินชะตา
ซูหนิงหนิงรีบสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีขาวบาง เปิดบานประตูไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดออกไป กลิ่นไอหมอกเช้าปะทะใบหน้า ภาพแรกที่เห็นคือบิดา—หมอหลวงซูอัน—กำลังยืนขวางหน้าทหาร ใบหน้าที่เคยสงบเยือกเย็นกลับซีดเผือด ดวงตาแฝงความวิตก มือที่ถือกระดาษตำรับยาสั่นไหวจนแผ่นกระดาษร่วงลงพื้น ลมเช้าพัดปลิวไปใต้เกราะของนายทหารคนหนึ่ง
“คำสั่งจากท่านแม่ทัพใหญ่หลี่เหวินเจี๋ย” หัวหน้าทหารกล่าวเสียงเรียบแต่น่ากลัว “คุณหนูซูต้องเข้าวังในทันที…มิอาจปฏิเสธ”
หนิงหนิงยื่นมือไปจับมือบิดาแน่น ความเย็นจากปลายนิ้วของเขาทำให้หัวใจนางหดเกร็ง “ท่านพ่อ…เกิดอันใดขึ้นกันแน่?”
หมอหลวงซูอันก้มตัวโอบลูกสาวไว้ในอ้อมแขนแน่น เสียงเขาแผ่วเบาราวลมหายใจสุดท้าย “ลูกเอ๋ย…ไม่ว่าอย่างไร จงจำไว้…สกุลซูของเราไม่เคยทำผิดต่อแผ่นดิน”
วินาทีนั้น ซูหนิงหนิงสัมผัสได้ว่า กลิ่นสมุนไพรที่ติดกายบิดา…กลับแฝงกลิ่นคาวสนิมจางๆ ที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อน และนั่น -- คือครั้งสุดท้ายที่นางได้อยู่ในอ้อมกอดของเขา
ณ ท้องพระโรงในพระราชวังหลัก เสียงประกาศิตจากเบื้องบนดังก้องไปทั่วท้องพระโรง ราวกับฟ้าร้องกลางวันแสกๆ
“...แม่ทัพใหญ่หลี่เหวินเจี๋ย วีรบุรุษแห่งแผ่นดิน ผู้ปรีชาสามารถในการศึก ทั้งยังซื่อสัตย์ภักดีต่อราชสำนัก ควรแก่การเชิดชู! และซูหนิงหนิง บุตรีท่านหมอหลวงซูอัน ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและสติปัญญา บัดนี้ถึงคราวที่ชะตาของเจ้าทั้งสองจักผูกพันกัน ด้วยราชโองการหมั้นหมาย!”
คำประกาศนี้สร้างความตกตะลึงแก่ผู้คนในท้องพระโรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อ หลี่เหวินเจี๋ย และ ซูหนิงหนิง สองบุคคลผู้ซึ่งไม่เคยคาดคิดว่าเส้นทางชีวิตของตนจะต้องมาบรรจบกันด้วยเหตุผลอันใด นอกเสียจากเพื่อ “แผ่นดิน”
ซูหนิงหนิงยังคงคุกเข่าก้มหน้าลง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เสียงเต้นหัวใจของนางดังก้องในหู ท่ามกลางเสียงซุบซิบของขุนนางน้อยใหญ่
"ท่านแม่ทัพผู้ไม่เคยชายตามองสตรีใด เหตุใดจึงต้องเป็นบุตรีของหมอหลวงซูอัน?"
"นาง...บุตรีหมอหลวง เหตุใดถึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณถึงเพียงนี้?"
หลี่เหวินเจี๋ย ยืนนิ่งดุจขุนเขา ไม่แสดงอารมณ์ใดบนใบหน้าคมสัน ดวงตาเหยี่ยวคู่คมกริบเหลือบมองไปยังร่างอรชรเบื้องหน้า ที่กำลังคุกเข่าก้มหน้าลงต่ำจนปลายคางจรดแผงอก เสื้อผ้าอาภรณ์สีครามเรียบง่ายของนางตัดกับความวิจิตรของท้องพระโรง เขาได้ยินเสียงซุบซิบนินทา เสียงสะท้อนของความประหลาดใจจากขุนนางน้อยใหญ่
มือของหนิงหนิงกำแน่นจนเล็บฝังเนื้อ เลือดซึมออกมาเล็กน้อย
หลี่เหวินเจี๋ย...ชื่อนี้มิใช่หรือคือแม่ทัพผู้ที่กำลังสืบสวนบิดาของนาง?
ขณะที่ความคิดของนางปั่นป่วน การเคลื่อนไหวเล็กๆ ทำให้นางเสียการทรงตัว
แรงโน้มถ่วงจะดึงร่างบอบบางของนางลงพื้นหินเย็น
แต่แล้ว...มือใหญ่แกร่งจับข้อมือนางไว้ ดึงร่างเธอให้ตั้งตรง
ซูหนิงหนิงเงยหน้าขึ้นในความตกใจ สบตากับดวงตาคู่คมกริบที่เย็นชาราวน้ำแข็ง แต่กลับมีแววอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในส่วนลึก
หลี่เหวินเจี๋ยถอนมือออกในทันที ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ความรู้สึกอบอุ่นจากมือของเขายังคงติดอยู่ที่ข้อมือนาง
ทำไม...ทำไมเขาถึงช่วยนาง?
ความคิดในหัวของหลี่เหวินเจี๋ยปั่นป่วนยิ่งกว่าพายุทะเลทราย หมอหลวงซูอัน บิดาของซูหนิงหนิง...ชายผู้นั้นคือหนึ่งในผู้ที่ต้องสงสัยว่าพัวพันกับขุนนางกบฏที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เขาเองก็เพิ่งสืบสวนเรื่องนี้ได้ไม่นาน การที่ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการให้หมั้นหมายบุตรีของหมอหลวงกับตนเช่นนี้ มิใช่ว่ากำลังจะผลักนางเข้ามาเป็น “สายลับ” ของขุนนางกบฏดอกหรือ? หรือนี่คือการโยนหินถามทาง? หรืออาจเป็นแผนการที่ลึกซึ้งกว่านั้น? ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เขาย่อมต้องระมัดระวังเป็นทวีคูณ
“นางผู้นั้น…จะไว้ใจได้จริงหรือ?” เสียงกระซิบของ หลิวหรง สหายรักและรองแม่ทัพคนสนิท ดังขึ้นข้างกาย
“เจ้าคิดเช่นไร?” หลี่เหวินเจี๋ยตอบสั้นๆ ไม่หันมอง
หลิวหรงขมวดคิ้ว "ข้ามิอาจล่วงรู้พระทัยฮ่องเต้ แต่การที่ทรงเลือกนางในช่วงเวลาเช่นนี้...ชวนให้สงสัยยิ่งนัก ท่านแม่ทัพพึงระวัง"
ขณะเดียวกัน ซูหนิงหนิง ผู้นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์องค์ฮ่องเต้ ราวกับถูกก้อนหินขนาดยักษ์ทับร่าง ความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ แม้นฤดูร้อนจะมาเยือนแล้วก็ตาม นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในวังวนแห่งสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และความอิจฉาริษยาจากขุนนางน้อยใหญ่ นางไม่ได้ยินคำซุบซิบใดๆ เพราะหัวใจนางเองกำลังโกลาหลยิ่งกว่า ฮ่องเต้ผู้ซึ่งบิดานางเคยเอ่ยถึงด้วยความภักดี ฮ่องเต้ผู้ซึ่งบิดานางทุ่มเทรักษาไข้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่เหตุใด...เหตุใดจึงต้องเป็นแม่ทัพใหญ่หลี่เหวินเจี๋ยผู้นี้?
หลี่เหวินเจี๋ย...ชื่อนี้มิใช่หรือคือแม่ทัพผู้ที่กำลังสืบสวนบิดาของนาง? แม่ทัพผู้ที่เคยมีข่าวลือว่าพยายามโค่นล้มผู้ไม่เห็นด้วยกับราชสำนักอย่างเด็ดขาด? แม้ข่าวลือเหล่านั้นจะเลือนราง แต่สำหรับซูหนิงหนิงแล้ว ชายผู้นี้คือศัตรูของบิดาตนอย่างไม่ต้องสงสัย หรือว่า...การหมั้นหมายครั้งนี้คือแผนการที่แยบยลของฮ่องเต้ เพื่อกำจัดบิดาของนางโดยใช้สายสัมพันธ์? นางได้แต่กัดฟันแน่น บังคับให้ใบหน้าเรียบเฉยที่สุด นางจะไม่มีวันยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายบิดาของนางได้
ข้างกายนาง มู่หลัน สหายรักผู้เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัย ใบหน้าของนางซีดเผือด นางเข้าใจดีว่าการหมั้นหมายครั้งนี้มิใช่เรื่องธรรมดาสำหรับซูหนิงหนิง "หนิงหนิง...เจ้าไม่เป็นไรหรือ?" มู่หลันกระซิบถามเบาๆ
ซูหนิงหนิงพยักหน้ารับอย่างยากเย็น "ข้ามิเป็นไร...แต่บิดาของข้าต่างหากที่ข้าเป็นห่วง"
หลังจากการประกาศิตสิ้นสุดลง หลี่เหวินเจี๋ยไม่แม้แต่จะชายตามองซูหนิงหนิงแม้แต่น้อย เขาก้าวจากท้องพระโรงไปอย่างสง่างาม ทิ้งไว้เพียงเงาของบุรุษผู้เย็นชาและไร้หัวใจในสายตาของหญิงสาว
ซูหนิงหนิงเองก็เดินจากไปอย่างเงียบเชียบ ใบหน้างดงามบัดนี้ถูกฉาบด้วยความมืดมิด ดวงตากลมโตที่ปกติจะสดใส บัดนี้กลับมีแววแห่งความกังวลและเด็ดเดี่ยวปะปนอยู่
“หนิงหนิง...เจ้าจะทำเช่นไร?” มู่หลันถามด้วยความเป็นห่วง ขณะที่ทั้งสองเดินอยู่ในสวนหลวงที่เงียบสงบ ต้นไม้สูงใหญ่แผ่ร่มเงาลงมา ปกคลุมความมืดมิดให้แก่ความคิดของทั้งคู่
“ข้าจะทำเช่นไรได้เล่ามู่หลัน? นี่คือราชโองการ...ขัดมิได้” ซูหนิงหนิงตอบเสียงเรียบ แต่แววตาของนางแสดงออกถึงความมุ่งมั่น "แต่ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนี้มาทำร้ายท่านพ่อของข้าเป็นอันขาด"
“แต่แม่ทัพหลี่ผู้นั้น...ข่าวลือเรื่องความเหี้ยมโหดของเขายามออกศึก เจ้าก็รู้ดี” มู่หลันเอ่ยเตือน
“ข้ารู้...และข้ารู้ดีว่าเขาเป็นคนของราชสำนัก ผู้ซึ่งพร้อมจะกำจัดทุกคนที่ขวางทาง” ซูหนิงหนิงหยุดเดิน หันหน้าเผชิญหน้ากับสหายรัก "แต่มู่หลัน เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่?"
มู่หลันจับมือซูหนิงหนิงแน่น "แน่นอน! เจ้าก็รู้ว่าข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจเช่นไร"
"ดี...ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงช่วยข้าสืบเรื่องราวของท่านแม่ทัพหลี่ผู้นั้นให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้" ซูหนิงหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง "และข้าเองก็จะเฝ้าระวังตัวข้าเองให้ดีที่สุด"
ในขณะเดียวกัน หลี่เหวินเจี๋ยกำลังปรึกษาหารือกับหลิวหรงในห้องทำงานส่วนตัว แผนที่ทางทหารแผ่กว้างเต็มโต๊ะ แต่สายตาของหลี่เหวินเจี๋ยไม่ได้อยู่ที่แผนที่ เขากำลังจดจ่ออยู่กับข้อมูลเกี่ยวกับหมอหลวงซูอัน และซูหนิงหนิง
“นางผู้นั้น...ซูหนิงหนิง” หลี่เหวินเจี๋ยเอ่ยขึ้น “เจ้าเคยพบพานนางหรือไม่?”
“เพียงไม่กี่ครั้งขอรับ” หลิวหรงตอบ “นางเป็นบุตรีของหมอหลวงซูอัน มีชื่อเสียงในด้านความเฉลียวฉลาดและการแพทย์ นอกจากนี้ยังเป็นคนเรียบร้อย ไม่ค่อยออกงานสังคมเท่าใดนัก”
“แล้วความสัมพันธ์ของหมอหลวงซูอันกับขุนนางกบฏ...เจ้าสืบได้ถึงไหนแล้ว?” หลี่เหวินเจี๋ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ยังคงคลุมเครือขอรับ ท่านแม่ทัพ” หลิวหรงถอนหายใจ “หมอหลวงซูอันเป็นที่เคารพของประชาชน มีลูกศิษย์มากมาย แม้แต่ในวังหลวงเองก็มีคนมากมายที่เชื่อใจเขา การจะหาหลักฐานที่แน่ชัดนั้นยากยิ่งนัก”
“นั่นสินะ” หลี่เหวินเจี๋ยพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาหลับพริ้มครุ่นคิด “หากนางเป็นเพียงเครื่องมือ...เราก็ต้องรู้ให้ได้ว่านางกำลังถูกใช้เพื่อสิ่งใด”
“ท่านแม่ทัพจะทำเช่นไร?” หลิวหรงถาม
หลี่เหวินเจี๋ยลืมตาขึ้น ดวงตาคู่คมกริบฉายแววแน่วแน่ “เราจะเฝ้าดูนางอย่างใกล้ชิด และใช้โอกาสนี้สืบสาวเรื่องราวของหมอหลวงซูอันให้กระจ่าง”
“แต่หากนางเป็นผู้บริสุทธิ์เล่าขอรับ?” หลิวหรงถามอย่างกังวล
“นั่นคือสิ่งที่เราต้องพิสูจน์” หลี่เหวินเจี๋ยตอบเสียงเย็นชา “ในยามสงครามเช่นนี้...ความไว้ใจคือสิ่งอันตรายที่สุด เราไม่อาจปล่อยให้สิ่งใดมาบั่นทอนความมั่นคงของแผ่นดินได้”
ไม่กี่วันต่อมา ข่าวการหมั้นหมายของแม่ทัพใหญ่หลี่เหวินเจี๋ยและซูหนิงหนิงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ผู้คนต่างซุบซิบนินทาถึงความเหมาะสม บ้างก็ชื่นชมในพระปรีชาสามารถของฮ่องเต้ที่ทรงเลือกคู่ครองให้กับแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่ง บ้างก็รู้สึกแปลกใจกับการจับคู่ที่ไม่คาดฝันนี้
ซูหนิงหนิงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เรือนของตน ศึกษาตำราแพทย์และฝึกฝนวิชาการรักษา นางพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและความมุ่งมั่นที่จะปกป้องบิดาให้พ้นจากอันตราย
วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังเดินสำรวจสมุนไพรในสวน ได้พบกับหลิวหรงโดยบังเอิญ หลิวหรงเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม ใบหน้ามีรอยยิ้มอยู่เสมอ ต่างจากหลี่เหวินเจี๋ยราวฟ้ากับเหว เขายิ้มทักทายซูหนิงหนิงอย่างสุภาพ
“คารวะคุณหนูซู” หลิวหรงกล่าว “มิคาดว่าจะได้พบท่านที่นี่”
“คารวะท่านรองแม่ทัพหลิว” ซูหนิงหนิงตอบกลับอย่างสุภาพเช่นกัน
“คุณหนูซูดูจะสนอกสนใจเรื่องสมุนไพรยิ่งนัก” หลิวหรงเอ่ยขึ้นขณะมองไปยังต้นสมุนไพรที่ซูหนิงหนิงกำลังพิจารณา
“เจ้าค่ะ บิดาของข้าสอนให้ข้ารู้จักสมุนไพรมาตั้งแต่เยาว์วัย” ซูหนิงหนิงตอบ ก่อนจะลองหยั่งเชิง “ท่านรองแม่ทัพ ดูเหมือนจะสนิทสนมกับท่านแม่ทัพหลี่มากนะเจ้าคะ”
หลิวหรงยิ้มเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพและข้าเป็นสหายร่วมรบกันมานานหลายปี ความสนิทสนมย่อมมีมากเป็นธรรมดา” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ท่านแม่ทัพอาจจะดูเย็นชา แต่แท้จริงแล้ว...เขามีหัวใจที่เปี่ยมด้วยความภักดีต่อแผ่นดินและประชาชน”
ซูหนิงหนิงเงยหน้าขึ้นมองหลิวหรง ดวงตานางฉายแววครุ่นคิด “ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
หลิวหรงสังเกตเห็นแววตาของซูหนิงหนิง เขาเดาได้ว่านางอาจจะกำลังสงสัยในตัวหลี่เหวินเจี๋ยไม่ต่างจากที่หลี่เหวินเจี๋ยสงสัยในตัวนาง “คุณหนูซูไม่ต้องเป็นกังวลไป” เขากล่าว “ยามใดที่เกิดเรื่องราวอันใด ท่านแม่ทัพย่อมปกป้องผู้บริสุทธิ์เสมอ”
คำกล่าวของหลิวหรงไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจซูหนิงหนิงลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย นางเพียงยิ้มบางๆ ก่อนจะขอตัวจากไป ปล่อยให้หลิวหรงยืนมองตามหลังด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
ในอีกด้านหนึ่ง กงซุนหมิง สหายรักของมู่หลัน ผู้เป็นบุตรชายของขุนนางใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล เขาหลงรักมู่หลันมานานแล้ว และมักจะหาโอกาสมาเยี่ยมเยียนนางอยู่เสมอ
“มู่หลัน...ข้าได้ยินข่าวว่าคุณหนูซูหมั้นหมายกับแม่ทัพใหญ่หลี่” กงซุนหมิงเอ่ยขึ้นขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเล่นในตลาด “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
มู่หลันถอนหายใจ “ข้ามิรู้จะคิดอย่างไรดีหมิงเอ๋อร์” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล “หนิงหนิงกำลังกังวลใจยิ่งนัก”
“ข้าก็กังวลเช่นกัน” กงซุนหมิงกล่าว “แม่ทัพหลี่ผู้นั้น...ข่าวลือของเขาน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก”
“ท่านพ่อของข้าบอกว่า การหมั้นหมายครั้งนี้อาจจะเป็นชนวนแห่งความไม่สงบ” มู่หลันกล่าวอย่างวิตก “ท่านพ่อเกรงว่าเรื่องนี้จะนำมาซึ่งภัยพิบัติแก่สกุลซู”
กงซุนหมิงจับมือมู่หลันเบาๆ “อย่ากังวลไปเลยมู่หลัน หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าและคุณหนูซูเสมอ”
สายตาของกงซุนหมิงที่มองมู่หลันเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย มู่หลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นางรู้ดีว่ากงซุนหมิงจริงใจกับนางเสมอมา ความรักของทั้งคู่เบ่งบานอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความวุ่นวายของราชสำนัก
หลังจากการปราบปราม เสนาบดีซ่ง ผู้บงการที่แท้จริงเบื้องหลังการกบฏได้สำเร็จ แผ่นดินต้าเหลียงก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ทว่าบาดแผลจากสงครามยังคงฝากฝังไว้ในจิตใจของผู้คน และบาดแผลจากคมมีดของนักฆ่าที่ซูหนิงหนิงได้รับก็ยังคงต้องใช้เวลาในการเยียวยาแต่สิ่งที่ยังคงตราตรึงในใจของ ซูหนิงหนิง ยิ่งกว่าสิ่งใด คือจูบของ หลี่เหวินเจี๋ย ที่มอบให้นางกลางท้องพระโรง จูบแห่งคำมั่นสัญญาที่ผูกมัดหัวใจของทั้งสองไว้ด้วยกันอย่างไม่อาจแยกจากทว่าความสุขนั้นช่างสั้นนัก ความสงบสุขที่ได้มานั้นเปรียบดั่งความเงียบสงบก่อนพายุโหมกระหน่ำ เพราะข่าวสารจากชายแดนได้นำมาซึ่งความหวาดหวั่นครั้งใหม่... กองทัพของแคว้นอริทางเหนือกำลังรวมพลครั้งใหญ่ หมายบุกเข้ายึดครองต้าเหลียง สงครามครั้งใหญ่ที่สุดกำลังจะเริ่มต้นขึ้นภายในห้องทำงานส่วนตัวของหลี่เหวินเจี๋ย แสงเทียนสลัวๆ ส่องต้องแผนที่ยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ที่แผ่กว้างเต็มโต๊ะ ใบหน้าคมคายของเขาเคร่งเครียดกว่าครั้งใดๆ หลี่เหวินเจี๋ย จมอยู่กับการวางแผนการรบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขารู้ดีว่าศึกครั้งนี้เป็นศึกชี้เป็นชี้ตายของแผ่นดิน“ท่
รัตติกาลอันเงียบสงบในเมืองหลวงต้าเหลียงถูกปกคลุมด้วยความวิตกกังวล แม้ชัยชนะเหนือ เฉินกวง จะนำความสงบสุขกลับคืนมาได้ชั่วคราว แต่บาดแผลจากคมมีดของนักฆ่าปริศนาที่ปักเข้าสู่ร่างของ ซูหนิงหนิง และความจริงที่ยังซ่อนเร้นเกี่ยวกับผู้บงการที่แท้จริง ก็ยังคงเป็นเงาตามหลอกหลอนจิตใจของ หลี่เหวินเจี๋ยภายในเรือนพักรับรองในค่ายทหาร แสงเทียนสลัวๆ ส่องต้องใบหน้าซีดเซียวของซูหนิงหนิงที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง บาดแผลที่สีข้างยังคงสร้างความเจ็บปวด แต่พิษร้ายได้ถูกขับออกไปแล้วจากยาของหลี่เหวินเจี๋ยหลี่เหวินเจี๋ย นั่งเฝ้านางอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง ใบหน้าคมคายของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ดวงตาคู่คมกริบยังคงจับจ้องนางไม่วาง ราวกับกลัวว่านางจะหายไปจากสายตาของเขา เขาลูบไล้เส้นผมของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่อ่อนโยนนั้นทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างประหลาด เขานึกย้อนถึงภาพเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ที่นางยอมเอาตัวเข้าขวางคมมีดเพื่อปกป้องเขา เลือดสีแดงฉานที่ไหลซึมออกมาจากร่างของนางยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงความคิดของเขา“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเจ็บอีกแล้วซูหนิงหนิง” หลี่เหวินเจี๋ยพึมพำกับตั
แสงจันทร์สลัวๆ สาดส่องเข้ามาในเรือนพักรับรองในค่ายทหาร บ่งบอกถึงความเงียบสงัดหลังจากการปะทะกับกลุ่มนักฆ่าลึกลับ ผู้บงการที่แท้จริงยังคงแฝงกายอยู่ในเงามืด แต่ หลี่เหวินเจี๋ย และ ซูหนิงหนิง กลับได้เรียนรู้ถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นท่ามกลางคมดาบและห่าธนูซูหนิงหนิงนั่งอยู่ข้างเตียงไม้ชั่วคราว มือเรียวสวยกำลังดูแลบาดแผลที่สีข้างของ หลี่เหวินเจี๋ย ใบหน้าของเขายังคงซีดเซียวด้วยความเจ็บปวดจากคมมีด แต่ดวงตาคู่คมกริบยังคงจับจ้องนางไม่วาง ส่วนแขนของนางเองก็มีผ้าพันแผลสีขาวพันอยู่ บ่งบอกถึงบาดแผลที่ได้รับจากการปกป้องหลี่เหวินเจี๋ยเมื่อครู่“ท่านแม่ทัพ…ท่านต้องอดทนนะเจ้าคะ” ซูหนิงหนิงกล่าวเสียงแผ่ว นางค่อยๆ เช็ดคราบเลือดรอบบาดแผลอย่างเบามือ และพยายามใช้สมุนไพรบดละเอียดพอกลงไป เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดและห้ามเลือดหลี่เหวินเจี๋ยกัดฟันแน่น เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่บาดลึก แต่ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและห่วงใยจากปลายนิ้วของนาง“เจ้า…เองก็บาดเจ็บมิใช่หรือ” หลี่เหวินเจี๋ยเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “ทำไมถึงไม่ทำแผลให้ตั
แสงเทียนสลัวๆ ส่องต้องใบหน้าซีดเซียวของ หมอหลวงซูอัน ที่นอนอยู่บนเตียงภายในจวน บาดแผลที่สีข้างของเขายังคงสร้างความเจ็บปวด แต่เขาก็พ้นขีดอันตรายแล้วจากการดูแลอย่างใกล้ชิดของ ซูหนิงหนิง และการคุ้มกันอย่างเข้มงวดของ หลี่เหวินเจี๋ย ที่เลือกทิ้งราชกิจสำคัญเพื่อมาอยู่เคียงข้างนางซูหนิงหนิงนั่งอยู่ข้างเตียงบิดา กุมมือที่เหี่ยวย่นของท่านไว้ ดวงตาแดงก่ำจากการอดนอนและความกังวล แต่ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งและอบอุ่นที่หลี่เหวินเจี๋ยเลือกที่จะอยู่ข้างนาง“หนิงหนิง…เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” หมอหลวงซูอันเอ่ยเสียงแผ่ว “พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว”“ข้ายังพักไม่ได้เจ้าค่ะท่านพ่อ” ซูหนิงหนิงตอบ “ข้าต้องอยู่ดูแลท่าน”หลี่เหวินเจี๋ย ยืนพิงวงกบประตู มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่อนโยนขึ้นอย่างประหลาด เขาเฝ้ามองซูหนิงหนิงที่ดูแลบิดาด้วยความรักและความทุ่มเท แผลที่แผ่นหลังของเขายังคงปวดร้าว แต่ความเจ็บปวดเหล่านั้นไม่อาจเทียบได้กับความสุขที่ได้เห็นนางปลอดภัย“ท่านหมอหลวง…ท่านฟื้นแล้วก็ดีแล้วขอรับ” หลี่เหวินเจี
แสงอรุณยามเช้าสาดส่องต้องผืนฟ้าเมืองหลวงต้าเหลียงอย่างอบอุ่น ข่าวการปราบปราม เฉินกวง ได้สร้างความสงบสุขกลับคืนสู่แผ่นดินแต่เบื้องหลังความสงบนั้น แผลใจและปมปริศนาของ ตระกูลหลิน ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ในจิตใจของ หลี่เหวินเจี๋ย และ ซูหนิงหนิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเผชิญหน้ากับหญิงสาวลึกลับผู้มีป้ายหยกตระกูลหลินในยามเช้าที่ท้องพระโรงหลวง บรรยากาศกลับมาคึกคักอีกครั้ง เหล่าเสนาบดีและขุนนางน้อยใหญ่ต่างมารวมตัวกันเพื่อเข้าเฝ้า องค์ฮ่องเต้ สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังทางเข้าท้องพระโรงอย่างกระหายใคร่รู้ เพราะลือกันว่าวันนี้จะมีการประกาศราชโองการสำคัญหลี่เหวินเจี๋ย ในชุดขุนนางเต็มยศดูสง่างามและน่าเกรงขาม ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว แต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงเรื่องสำคัญยิ่งกว่าราชกิจใดๆ นั่นคือเรื่องของ ซูหนิงหนิง และความลับดำมืดที่กำลังจะถูกเปิดเผย“ท่านแม่ทัพ วันนี้เหล่าเสนาบดีสำคัญจากทั้งหกกรมล้วนมากันครบขอรับ”ห
ท้องพระโรงหลวงที่เคยเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด บัดนี้กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง หลังจากการปราบปราม เฉินกวง สำเร็จ แสงอรุณยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทองคำ ต้ององค์ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลี่เหวินเจี๋ย ยืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ แม้บาดแผลที่แผ่นหลังยังคงสร้างความเจ็บปวด แต่ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววความมุ่งมั่นและชัยชนะ การปราบปรามกบฏครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าเหลียง“หลี่เหวินเจี๋ย! เจ้าทำได้ดีมาก!” องค์ฮ่องเต้ตรัสด้วยพระสุรเสียงก้องกังวาน “เจ้าได้ปกป้องราชบัลลังก์และแผ่นดินต้าเหลียงไว้จากภัยร้าย! สมควรได้รับบำเหน็จอย่างงาม!”หลี่เหวินเจี๋ยคุกเข่าลง “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“และซูหนิงหนิง…บุตรีของหมอหลวงซูอัน นางก็มีความชอบเช่นกัน!”องค์ฮ่องเต้ตรัสต่อ “นางผู้เป็นหมอหญิงที่หาตัวจับยาก ทั้งยังช่วยเจ้าเปิดโปงไส้ศึก สมควรได้รับการเชิดชู!”ซูหนิงหนิ






Comments