“หยางอ๋อง หม่อมฉันไม่ทราบจริง ๆ เพคะ พวกนางเองก็มิได้พูดถึงเรื่องนี้มาก่อน หากหม่อมฉันทราบ หม่อมฉันก็คงไม่…” “ไม่อะไร?” ซ่งรั่วเจินถามกลับ “คำพูดของเจ้าเท่ากับยอมรับแล้วมิใช่หรือว่าจงใจกลั่นแกล้งรังแกเมิ่งชิ่น?” “คิดว่าตนเองมีฐานะเป็นพระชายาอ๋องถึงได้ทำตัวจองหอง ส่วนใครที่ฐานะไม่สูงเท่ากับตนเอง เจ้าก็คิดว่าจะรังแกอย่างไรก็ได้อย่างนั้นสิ?” ฉีชิงอีถึงกับสะอึก อยากจะบีบคอซ่งรั่วเจินให้รู้แล้วรู้รอด ผู้หญิงคนนี้เข้ามาแทรกได้ทุกจังหวะจริง ปิดกั้นคำพูดของนางได้อย่างสิ้นเชิง ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าอย่าเจตนาบิดเบือน!” “ข้าบิดเบือน?” ซ่งรั่วเจินหมุนตัวก่อนจะมองไปยังผู้คนด้านหลัง พร้อมเอ่ยว่า “ทุกท่านล้วนได้เห็นประจักษ์กับสายตาแล้ว ทุกท่านคิดว่าคำพูดนี้ของข้ามีเจตนาบิดเบือนความหมายของนางหรือไม่?” “เมื่อก่อนข้าไม่เคยทราบเลยว่าพระชายาเหลียงอ๋องจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ โชคดีที่คุณหนูเมิ่งกำลังจะสมรสกับหยางอ๋อง มิเช่นนั้นวันนี้ไม่รู้ว่าจะถูกรังแกหนักขนาดไหน” “ทั้งที่พระชายาฉู่อ๋องมีศักดิ์สูงกว่านาง แต่นางก็ยังอาศัยฐานะพระชายาอ๋องรังแกคนอื่น มิน่าสุขภาพร่างก
เสียงที่ดึงขึ้นกะทันหันดึงดูดความสนใจของทุกคนไปทันที ทุกคนหันมองไปตามต้นเสียง เสี้ยวพริบตาที่มองเห็นหยางอ๋อง ต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “หยางอ๋อง?” ฉีชิงอีเห็นหยางอ๋องเข้ามา มิหนำซ้ำสีหน้ายังเต็มไปด้วยความเดือดดาล สืบเท้าขึ้นมาด้านหน้าก่อนจะดึงตัวเมิ่งชิ่นไปปกป้องด้านหลัง ในใจอดนึกสงสัยไม่ได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เมิ่งชิ่นคิดไม่ถึงว่าหยางอ๋องจะกลับมา ขณะที่แววตาเผยความประหลาดใจออกมา ในใจของนางอดนึกย้อนกลับไปไม่ได้ว่า การกระทำเมื่อครู่ของตนเองจะทำให้เขามองว่าตนเองดื้อรั้นเอาแต่ใจหรือไม่? ทว่า หยางอ๋องเพียงสำรวจมองตนเองอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ครั้นเห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ก็คล้ายจะลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “เจ้าปลอดภัยนะ?” เมิ่งชิ่นส่ายหน้า ตอบออกมาโดยไม่รู้ตัว “หม่อมฉันปลอดภัยดี” อูเยว่เอ๋อร์มองหยางอ๋องอีกครั้ง ความรู้สึกในใจยิ่งซับซ้อนจนอธิบายไม่ถูก นางไม่คิดว่าที่หยางอ๋องพูดเรื่องหมั้นจะเป็นเรื่องจริง เพราะเหตุนี้ถึงได้ทำให้เสด็จพี่ต้องไปอับอายขายหน้าในห้องทรงพระอักษร ยิ่งไม่คิดเลยว่าวันนี้จะบังเอิญมาเจอเขาเข้าที่นี่! “นางเหยียบเท้าพระชายาเหลียงอ๋อง คุกเข่
“จะให้ข้าคุกเข่าให้เจ้าหรือ เจ้าฝันกลางวันไปเถิด ไม่มีทางเสียหรอก!” เมิ่งชิ่นตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า “เจ้ากล้าพูดกับข้าด้วยท่าทีเช่นนี้หรือ!” ฉีชิงอีแววตาสะท้อนประกายไม่อยากเชื่อ ซ่งรั่วเจินอวดดื้อถือดีต่อหน้านางยังพอทำเนา แต่เมิ่งชิ่นมีสิทธิ์อะไรมาทำตัวจองหองต่อหน้านาง! “ชัดเจนว่าเจ้าจงใจมาหาเรื่องข้าก่อน ข้าสกุลเมิ่งถึงจะเป็นเพียงจวนแม่ทัพธรรมดา แต่ก็มิใช่ให้ผู้ใดมารังแกง่ายๆ” “หากมีปัญญา เจ้าก็ไปเข้าเฝ้าทูลขอราชโองการริบทรัพย์สินจวนแม่ทัพสกุลเมิ่งของข้าสิ!” เมิ่งชิ่นใบหน้าเขียวซีด คุณูปการของพวกเขาสกุลเมิ่งล้วนแลกมาด้วยการใช้มีดจริงปืนจริงต่อสู้อย่างสุดชีวิตในสมรภูมิรบ! บัดนี้แค่เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่าพระชายาเหลียงอ๋องจะกล้าทำให้เรื่องลุกลามเข้าไปถึงในวัน เพราะต่อให้เรื่องมันจะบานปลายไปถึงวังหลวงจริง พวกเขาสกุลเมิ่งก็ไม่กลัว! ฉีชิงอีเบิกตากว้าง คิดไม่ถึงเลยว่าเมิ่งชิ่นจะกระดูกแข็งได้ถึงเพียงนี้! อูเยว่เอ๋อร์เห็นฉีชิงอีหน้าถอดสี ดูไม่เหลือความมั่นใจเต็มเปี่ยมเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว อดนึกรังเกียจขึ้นมาในใจไม่ได้ ไหนว่าเป็นพระชายาอ๋องผู้สูงส่ง? แค่
สิ้นเสียงของอูเยว่เอ๋อร์ พวกซ่งรั่วเจินสามคนหันกลับมามองทันใด ก็เห็นสีหน้าเย่อหยิ่งจองหองนั้นเข้า อูเยว่เอ๋อร์ยังคงพูดพล่ามไม่หยุด นางเคยถามเรื่องราวจากปากพระชายาเหลียงอ๋องมาก่อน บรรดาสหายคนสนิทข้างกายซ่งรั่วเจินนอกจากองค์หญิงอย่างฉู่มู่เหยาแล้ว ไม่มีผู้ใดฐานะสูงศักดิ์กว่า ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาจากการแต่งกายของสตรีสองคนตรงหน้าแล้ว ถึงจะเป็นทาริกาจากตระกูลเศรษฐี แต่ก็ไม่ใช่คนที่มีเชื้อสายราชวงศ์อะไร ต่อหน้าพวกนางก็เป็นแค่มดปลวกที่สมควรให้เหยียบขยี้ได้ง่ายๆ! ฉีชิงอีครั้นถูกอูเยว่เอ๋อร์เรียกสติเช่นนี้ ก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที ซ่งรั่วเจินมีภูมิหลังแข็งแกร่ง มิใช่คนที่ควรไปยั่วแหย่ ทว่าคนข้างกายนาง ตนเองจะชิงรังแกก่อนก็มิใช่เรื่องยาก! ในเมื่อวันนี้กล้ามาทำให้นางอับอายถึงเพียงนี้ เจ้าสองคนนี้อย่าคิดว่าจะหนีรอดไปได้สักคน! “เมิ่งชิ่น วันนี้เจ้าต้องอธิบายข้า มิเช่นนั้นเจ้าอย่าคิดว่าจะได้ก้าวเท้าออกจากร้านนี้!” “ข้าต้องให้คำอธิบายอะไรท่าน เมื่อครู่ข้าก็ขอโทษไปแล้ว หากท่านยังตามรังควานไม่เลิกแบบนี้ ก็เท่ากับว่าท่านจงใจหาเรื่องกันชัดๆ!” แววตาของเมิ่งชิ่นฉายแววรังเกียจอย่างถึงที่
“พวกเราไปกันเถิด!” เมิ่งชิ่นและอวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้า พวกนางย่อมออกมาอย่างอารมณ์ดี ไม่มีความจำเป็นต้องให้คนน่ารังเกียจพวกนี้มาทำเสียอารมณ์ ทว่าฉีชิงอีกลับเอาตัวเข้าไปขวางทางซ่งรั่วเจินไว้ “ซ่งรั่วเจิน หากวันนี้เจ้าไม่อธิบายให้ชัดเจน เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไป!” “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า?” ซ่งรั่วเจินคิ้วตาเย็นเยียบ นัยน์ตาดั่งหมอกหนาทึบแฝงด้วยไอพยาบาทอันเย็นยะเยือก ฉีชิงอีถูกสายตาเช่นนี้จ้องใส่ก็ตกใจ ครั่นคร้ามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทว่ากวาดสายตามองรอบข้างเห็นคนไม่น้อย ก็ยิ่งรู้สึกว่าหากเรื่องนี้ไม่พูดให้ชัดเจนแล้ว ต่อไปคนอื่นไม่รู้จะมองตนเองว่าอย่างไร “เจ้าต้องขอโทษข้า มิเช่นนั้นเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ!” ซ่งรั่วเจินแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ดวงหน้างดงามกระตุกยิ้มดูแคลนออกมา “ข้าอยากรู้นักว่าจะไม่จบอย่างไร?” “หากเจ้ายังไม่ขอโทษข้าอีก ข้าก็จะนำเรื่องนี้ไปฟ้องถึงในวัง บอกว่าจงใจทำลายเกียรติยศของข้า ทำลายชื่อเสียงของข้า!” ฉีชิงอีตะโกนอย่างเดือดดาล ผู้คนบริเวณรอบด้านเห็นพระชายาสองพระองค์กำลังปะทะกัน โดยเฉพาะตอนได้ยินพระชายาเหลียงอ๋องกล่าวว่า พระชายาฉู่อ๋องกล่าวหาว่านางเป็นตัวซวย สีห
เมิ่งชิ่นทราบดีของขวัญที่รั่วเจินจะมอบให้นางต้องไม่ธรรมดา ทว่าหลังจากนางได้เห็นเครื่องประดับสามชุดเต็ม ๆ ตรงหน้าแล้ว ก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “รั่วเจิน เครื่องประดับแต่ละชุดล้วนพวกนี้มีมูลค่า เจ้าให้ข้าชุดเดียวก็มากเกินพอแล้ว แต่สามชุดแบบนี้มันได้ที่ไหนกัน?” “เหตุใดจึงไม่ได้เล่า? ข้ามอบให้เจ้าแล้ว เจ้าก็ต้องรับมันไว้ทั้งหมดนั่นแหละ!” ซ่งรั่วเจินยิ้มอย่างละมุนละไม ต้องบอกเลยว่า เครื่องประดับศีรษะในยุคโบราณล้วนงดงามประณีตและหรูหรามีราคาแพง นางซื้อให้ตนเองบ้างนิดหน่อย และเลือกให้มารดากับพี่สะใภ้คนละหนึ่งชุด เมื่อคราวพี่สะใภ้รองแต่งเข้าเรือนก็เคยมอบของขวัญแรกพบหน้าซึ่งหรูหรามีมูลค่าให้นาง วันนี้นางจึงตอบแทนน้ำใจนั้นเช่นกัน อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าตาม “บัดนี้ตำแหน่งสตรีที่ผู้มั่งคั่งที่สุดในเมืองหลวงของพวกเรา ตกเป็นของรั่วเจินอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไหนแต่ไรนางแสนดีกับคนใกล้ตัวเป็นที่สุด” “ตั้งแต่ข้ายังเยาว์วัยก็ตระหนักได้แล้วว่า ได้มีพี่สาวน้องสาวที่แสนดีเช่นนี้ คือวาสนาของพวกเราเชียวล่ะ!” เมิ่งชิ่นหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “จริงด้วย ท่านแม่ของข้ายังเคยบอกว่านี่คือวาสนาของข