Share

บทที่ 5

Author: อิงเซี่ย
ภายในห้อง

เดิมทีซูมั่วหลับสนิทไปแล้ว ทว่าถูกเสียงทุบประตูและเสียงตะโกนโหวกเหวกปลุกให้ตื่น เธอขมวดคิ้ว พลางลุกขึ้นไปเปิดไฟ เดินกะเผลกไปทางประตู

“ซู...” ด้านนอกประตู ฟู่อี้ชวนตบประตูอย่างแรงอีกครั้ง สุดท้ายมือก็ทุบลงบนความว่างเปล่า

“นายกลับมาทำไม เป็นบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้มาทุบประตูตอนดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้” ซูมั่วพูดน้ำเสียงไม่เป็นมิตร ทั้งยังแฝงความรำคาญไว้ด้วย

ฟู่อี้ชวนมองท่าทีแบบนี้ของเธอแล้ว ก็ยิ่งพาลโมโห เขายื่นมือออกไปคว้าแขนของเธอไว้ในทันที พลางพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฉันกลับมาทำไมน่ะเหรอ? ฉันกลับมาบ้านตัวเองมันผิดปกติตรงไหน?”

ไฟที่เกิดจากความหงุดหงิดของซูมั่วเมื่อครู่นี้หายวับไปทันที เธอก้มหน้าพลางขมวดคิ้ว เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา

ฟู่อี้ชวนคิดว่าเพราะเขาตะคอกใส่ เธอจึงมีท่าทางว่าง่ายขึ้นมาแบบนั้น ทว่าสุดท้ายเมื่อมืออีกข้างหนึ่งของอีกฝ่ายกลับจับข้อมือของเขาออก ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ในตอนนี้เองว่าความรู้สึกจากกลางฝ่ามือของเธอดูไม่ปกติ

เขาเป็นฝ่ายปล่อยมือออกเอง แล้วมองฝ่ามือ...

เลือด?

ฟู่อี้ชวนบีบแรง บาดแผลของซูมั่วถูกบีบจนเจ็บไปหมด หยาดน้ำตาร่วงหล่น เธอถลึงตาจดจ้องผู้ชายที่ทำตัวบ้าคลั่งกลางดึกแบบนี้

“เธอบาดเจ็บเหรอ?” ฟู่อี้ชวนอยากเข้าไปดูแขนของเธอ แต่อีกฝ่ายกลับหลบเขาด้วยท่าทีเย็นชา

“นายถามฉัน? นี่ไม่ใช่ฝีมือนายหรือไง?” ซูมั่วถามกลับ

ฟู่อี้ชวนชะงักไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตัวเขาเองโยนเธอลงข้างทาง

เคลื่อนสายตาไปอีกทาง บนข้อศอกของซูมั่วผิวถลอกเป็นปื้นใหญ่ และเพราะแรงบีบของเขา เลือดถึงได้เริ่มไหลออกมาอีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้น ฟู่อี้ชวนเลื่อนสายตามองลงไป นอกจากตุ่มน้ำบนหลังเท้าแล้ว ที่ข้อเท้าของซูมั่วก็ถูกพันเอาไว้ ซึ่งด้านบนมีเลือดซึมอยู่ด้วย

ริมฝีปากสั่นไหว เขาอยากพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ซูมั่วกลับหมุนตัวและจะปิดประตู

“ปล่อย” ซูมั่วปิดประตูไม่ได้ จึงขมวดคิ้วพลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

สุดท้ายแล้วฟู่อี้ชวนก็พูดคำว่าขอโทษไม่ออก ทว่ากลับโพล่งออกมาว่า

“ทำไมไม่รับสายฉัน? เธอรู้ไหมว่าฉัน...”

ซูมั่วได้ยินแบบนั้นก็กระตุกมุมปาก เหอะ ๆ ที่แท้ที่เขาเกิดบ้ามาทุบประตูห้องกลางดึกแบบนี้เพราะไม่รับสายเขา?

ช่างเป็นเหตุผลที่แสนจะสำคัญเหลือเกิน

เธอกะเผลก ๆ ไปทางหัวเตียง ฟู่อี้ชวนมองแผ่นหลังของเธอ พลันเกิดความอึดอัดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“โทรศัพท์ตกพื้นจนหน้าจอแตกยับ มันพังจนเปิดเครื่องไม่ได้ เหตุผลนี้นายพอใจหรือยัง?” ซูมั่วคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาพลางทำทียื่นให้ฟู่อี้ชวน

มองหน้าจอที่แตกละเอียด ฟู่อี้ชวนก็ไม่มีคำใดจะพูดออกมาได้แล้ว

“ซูมั่ว...” เขาเอ่ยปาก ทว่าประตูห้องกลับปิดลงดังปังในทันที เขาถูกกันไว้ด้านนอกประตูทั้งอย่างนั้น

สุดท้ายหลังยืนนิ่งอยู่หน้าประตูนานหลายวินาที ฟู่อี้ชวนถึงได้ค่อย ๆ หมุนตัวเดินจากไป

ภายในห้อง ซูมั่วที่ถูกปลุกให้ตื่นรู้สึกหงุดหงิดมาก เธอนึกถึงที่ฟู่อี้ชวนบอกว่าโทรศัพท์มาหาเธอจึงเปิดเครื่องโทรศัพท์ดู ซึ่งก็มีการโทรศัพท์เข้ามาสามสิบสี่สิบสายจริงๆ

บ้าชัด ๆ ในเมื่อโยนเธอทิ้งแล้วไปอยู่กับเย่ซินหย่าแล้วแท้ ๆ จะโทรศัพท์เข้ามาหลายสายแบบนี้ทำไม?

เธอปิดเครื่องอีกครั้ง แล้วล้มตัวนอนโดยไม่คิดอะไรให้มากความอีก

ห้องนอนหลัก

ฟู่อี้ชวนอาบน้ำอย่างลวก ๆ แล้วขึ้นเตียงนอน

หน้าจอโทรศัพท์พลันสว่างวาบ เป็นข้อความที่เย่ซินหย่าส่งมาหาเขา เธอถามว่าซูมั่วเป็นอะไรหรือเปล่า เขากลับถึงบ้านปลอดภัยดีไหม และขอให้เขาไม่ทำให้ซูมั่วลำบากใจ

เมื่อฟู่อี้ชวนอ่านจบ ความรู้สึกผิดเล็ก ๆ ต่อซูมั่วที่เดิมทีเกิดขึ้นในใจนั้นมลายหายไปไม่หลงเหลือแม้แต่น้อยในยามนี้ นึกขึ้นได้ว่าถ้าไม่ใช่ซูมั่วที่จงใจจะให้น้ำซุปลวกเย่ซินหย่าก่อน ก็คงไม่เกิดเรื่องพวกนี้ตามมา

[จะไปสนใจเขาทำไม เธอรีบนอนเถอะ กู๊ดไนท์]

ภายในโรงแรม หลังส่งข้อความออกไป

เย่ซินหย่ากระตุกยิ้มมุมปาก เห็นท่าทีเอือมระอาที่ฟู่อี้ชวนมีให้ซูมั่วแล้ว เธอทั้งดีใจทั้งพอใจมาก

ตอนนี้เลยเที่ยงคืนมาแล้ว พรุ่งนี้ฟู่อี้ชวนยังต้องไปทำงาน เขาจึงปิดไฟนอน ทว่าผ่านไปไม่นาน ความแสบร้อนจากกระเพาะก็ทำให้เขาจำเป็นต้องลุกขึ้นมา

เขาเริ่มเป็นโรคกระเพาะตั้งแต่ช่วงมัธยมปลายแล้ว ตอนนั้นมีซินหย่าคอยกำชับให้เขากินข้าวทุกวัน คอยมอบความเป็นห่วงเป็นใยแก่เขาทุกอย่าง

ต่อมาเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย โรคกระเพาะก็ไม่มีอาการกำเริบใด ๆ อีก ทว่าพอได้ทำงานก็มีงานเลี้ยงให้เข้าร่วม ทำให้อาการกลับมากำเริบอีกครั้ง ซึ่งซูมั่วจะคอยเตรียมซุปสร่างเมาและบำรุงกระเพาะไว้ให้เขาทุกวัน ถึงได้นอนหลับสบายจนถึงเช้า

เขาไปถึงห้องครัว เดิมทีคิดว่าซูมั่วจะเก็บไว้อีกสักชุด ทว่าบนเตากับในตู้เย็นกลับว่างเปล่า

ครั้นนึกถึงน้ำซุปร้อน ๆ ที่หกรดอยู่หน้าประตูห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวแล้ว เขาพลันนึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็โมโหซูมั่วอีกครั้งที่ไม่รู้จักเตรียมไว้ให้มากหน่อย

เขาคิดจะไปปลุกให้เจ้าตัวลุกขึ้นมาทำให้ใหม่อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ทว่าทันใดนั้นเขาก็ชะงักฝีเท้าอีกครั้ง

เม้มปากเงียบไปเล็กน้อย ฟู่อี้ชวนจะไปเปิดกล่องปฐมพยาบาลควานหายามากิน แต่ก็ต้องมาเจอว่ากล่องปฐมพยาบาลหายไป

ขณะที่กำลังขมวดคิ้วนั้น เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่าตอนอยู่หน้าประตูห้องเขาเหลือบไปเห็นหัวเตียงของเธอ กล่องปฐมพยาบาลอยู่ที่นั่น

อาจจะเป็นเพราะมโนธรรมที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด เขาจึงไม่ได้ทุบประตูอีก แต่ไปหากุญแจห้องสำรองมา พอหาเจอก็เอาไปไขเปิดประตู

ลูกบิดประตูขยับเบา ๆ เสียง “แกร๊ก” ทำเอาฟู่อี้ชวนอดสูดลมหายใจไม่ได้ เขาวางฝีเท้าเบา ๆ

สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าตัวเองช่างน่าขันเหลือเกิน บ้านของเขาแท้ ๆ แต่กลับต้องทำตัวเหมือนขโมย

ภายในห้องมืดสลัว กลิ่นน้ำหอลอยอบอวลจาง ๆ ขณะเดียวกันก็พ่วงมาด้วยกลิ่นยา

คนบนเตียงกำลังนอนตะแคงข้าง คลุมตัวไว้ด้วยมุมผ้าห่มบาง ๆ เพียงมุมเดียว ฟู่อี้ชวนไม่ได้มองนานนัก เขาเตรียมหยิบกล่องปฐมพยาบาลแล้วก็ออกไป

ทว่ายามยืดตัวขึ้นนั้น หางตาพลันเหลือไปเห็นบริเวณหลังเอวของคนบนเตียงที่ถูกแสงไฟที่ลอดมาจากทางประตูส่องเข้ามาพอดิบพอดี

ปลายเสื้อม้วนขึ้นมาเล็กน้อย รอยช้ำสีม่วงปื้นใหญ่ปรากฏอยู่บนผิว แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางแสงสลัว ๆ แต่ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

การเคลื่อนไหวของฟู่อี้ชวนหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาหยุดอยู่ที่เดิมสองวินาที ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังยืดตัวขึ้นเดินออกไป และปิดประตูห้องเบา ๆ

มันก็แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น ไม่ได้ถึงแก่ชีวิตอะไรสักหน่อย

และถ้าเธอไม่ได้อิจฉาซินหย่า ไม่ทำให้หลังเท้าของตัวเองบาดเจ็บจากการถูกลวกแบบนั้น แล้วเขาจะไปอุ้มเธอทำไม? แล้วเธอจะล้มลงไปจนบาดเจ็บแบบนั้นได้ที่ไหน?
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 460

    แต่เมื่อดูจากผลแพ้ชนะคืนนี้แล้ว ดูเหมือนเธอจะกังวลมากเกินไปนอกจากเพื่อนสนิทจะถูกเอาเปรียบไปบ้าง ก็ถือเป็นว่าทำผลงานได้ดีที่สุดในงานซูมั่วคุยเป็นเพื่อนเธอ จนกระทั่งเธอกลับถึงบ้าน จึงเพิ่งวางสายหลีโย่วเข้าบ้าน สีหน้าที่โกรธเกรี้ยวทั้งหมดถูกเก็บไว้ หลังจากตอบแม่แบบส่ง ๆ ก็ขึ้นไปชั้นบนหลีเชินโผล่มาตรงหน้า ถือแก้วน้ำอยู่ แล้วถาม“เป็นยังไงบ้าง? คืนนี้มีแขกผู้ชายที่ถูกใจไหม?”หลีโย่วตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พี่ พี่รู้ไหมว่าพี่เหมือนอะไร?”หลีเชิน “?”“เหมือนแม่เล้าที่คอยเรียกลูกค้าให้พวกสาว ๆ ในสมัยโบราณมากเลย” หลีโย่วพูดด้วยรอยยิ้มหลีเชิน “...”“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ฉันเป็นห่วงเธอ และคิดถึงอนาคตที่มีความสุขของเธออยู่นะ” หลีเชินพูด“เธอคิดว่าถ้าเธอชอบใครแล้วฉันจะยอมให้เธอแต่งงานเลยเหรอ? ฉันยังต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ผ่านด่านฉันก็ไม่ได้”หลีโย่วเบะปาก ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ขณะที่กำลังจะเดินจากไป ก็ได้ยินพี่ชายเธอถามอีกครั้ง“คืนนี้เจิ้งเซวียนก็ไปงานเลี้ยงเรือสำราญนั่นด้วย พวกเธอเจอกันไหม?”“เจอกัน” หลีโย่วตอบ“ไม่ได้เจอกันหกปี เลยคุยกันเรื่อยเปื่อย หลังจากฉันกลับมาเขาก

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 459

    ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องแกล้งเขา และเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเธอด้วยคิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าทุกการกระทำ และทุกคำพูดของหลีโย่วก็ล้วนไม่ได้มีปัญหาความแปลกใจตอนที่เห็นตนปรากฏตัว ก็เพราะว่าจำเขาได้ จึงเดินตามเขาออกไปทันทีตนยื่นน้ำผลไม้ให้เธอ เธอก็รับไปดื่มอย่างไม่มีความระแวดระวัง เพราะรู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายเธอบอกว่าไม่ได้คบใคร บอกว่ามีพี่ชายที่เข้มงวด แล้วยังบอกว่าเขาอายุเท่า ๆ กับพี่ชายของเธอ ทุกอย่างก็สอดคล้องกันหมดเจิ้งเซวียน ‘...เพราะงั้นเป็นเขาเองที่มีปัญหา ใครใช้ให้ไม่ถามชื่ออีกฝ่ายก่อนล่ะ? กลับตั้งใจหว่านเสน่ห์แล้วค่อยถามอีกที’ที่ผ่านมาจีบหญิงไม่เคยพลาด ในที่สุดวันนี้ก็พลาด เหมือนคนเดินอยู่ริมน้ำ รองเท้าจะไม่เปียกได้ยังไง?เจิ้งเซวียนปิดหน้าอย่างหมดแรง สุดท้ายผ่านไปสิบนาทีเต็ม ๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็สตาร์ตรถเตรียมตัวกลับบ้านสิ่งเดียวที่ทำให้เขาสบายใจได้ก็คือหลีโย่วจะไม่บอกพี่ชายของเธอ และเขาก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทตัวต่อตัวแล้วถูกจัดการขณะเดียวกัน บนถนนที่กว้างขวางรถเฟอร์รารีเปิดประทุนขับเร็วมาก ทับเส้นจำกัดความเร็วเสียงลมหวีดหวิวข้างหู ก็ยังไ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 458

    “ไปให้พ้นเลย เอาแต่พูดเรื่องไม่ดีอยู่ได้” หวังคุนด่าพลางยิ้มเจิ้งเซวียนมองหลีโย่ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแบบพี่ชายพูด“เสี่ยวโย่วจื่อก็อยู่เล่นที่นี่ต่อเถอะ ฉันไปก่อนนะ วันหลังจะนัดรวมตัวกับพี่ชายเธอด้วย”“ฉันก็จะไปเหมือนกันค่ะ อยู่นานพอสมควรแล้ว ไปรายงานพี่ชายได้แล้วค่ะ” หลีโย่วยิ้มอย่างซุกซนเจิ้งเซวียนเข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร สรุปคือวันนี้หลีเชินบังคับให้เธอมางานนี้นึกถึงตอนที่เธอบอกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ออกไปข้างนอกคนเดียวไม่ได้ พี่ชายเธอเข้มงวดมาก ซึ่งก็ตรงกับนิสัยของหลีเชินจริง ๆ เพราะงั้น...ทำไมเขาถึงนึกเชื่อมโยงไม่ได้ตั้งแต่แรกกันนะ?ในใจเจิ้งเซวียนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย รู้สึกว่าวันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูฤกษ์ดูยาม เขาไม่ได้ขายหน้าขนาดนี้มานานแล้วจริง ๆ แถมยังเป็นต่อหน้าน้องสาวอีก...“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับบ้านนะ” เจิ้งเซวียนเก็บความคิด และพูดด้วยรอยยิ้มบาง“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันขับรถมาเอง แต่เราออกไปพร้อมกันก็ได้ค่ะ” หลีโย่วพูดทั้งสองคนเดินคู่กันออกมาจากงาน ลงจากเรือสำราญ จากนั้นก็ไปที่ลานจอดรถในช่วงเวลานี้ มีแค่เสียงพื้นรองเท้าที่ก้าวเดินของทั้งคู่เท่านั้น

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 457

    เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับ...หลีเชินเขาหันคอที่แข็งทื่อไปช้า ๆ มองใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มหวานจาง ๆ ของหญิงสาวกระแสเวลาที่ยาวนานหกปีเหมือนย่อลงในชั่วขณะนี้ ภาพของหญิงสาวที่สดใสมีเสน่ห์ตรงหน้า ซ้อนทับกับเด็กสาวที่สวมแว่นกรอบดำทั้งยังอวบเล็กน้อยเมื่อสมัยมัธยมปลายเขาก็ว่าอยู่ว่าทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกคุ้นตานัก ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้...“หลี...หลีโย่ว” จ้องมองอย่างนิ่งงันไปหลายวินาที เจิ้งเซวียนจึงเพิ่งพูดอ้ำอึ้งอย่างตกตะลึงเห็นเพียงหญิงสาวพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าที่ยิ่งหวานและจริงใจ กลับทำให้หัวใจของเจิ้งเซวียนกระตุก ต้องฝืนรักษารอยยิ้มไว้อย่างยากลำบาก ไม่ให้กระอักเลือดออกมาการจีบสาวในวันนี้ไม่ใช่แค่ล้มเหลว แต่โคตรจะล้มเหลวเพราะเหตุไม่คาดฝันหลีโย่ว เสี่ยวโย่วจื่อ เด็กสาวคนนั้นที่เขามองว่าเป็นน้องสาวมาตลอด ผลคือเขากลับ...หยอดเธอ อยากจีบเธอมาเป็นแฟนจิตสำนึกถูกประณาม เขาถูกตอกตรึงไว้บนเสาแห่งความอับอายทางศีลธรรมแต่เขารู้สึกว่าตนคงไม่ต้องรอให้ถูกจิตสำนึกของตัวเองฆ่าตายหรอก เพราะถ้าหลีเชินรู้ว่าเขาจะจีบน้องสาวของอีกฝ่าย คงฟันตนตายก่อนในมีดเดียวแน่“เสี่ยวโย่วจื่อ...” เจิ้งเซ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 456

    “เธอเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอ? รู้จักการเต้นหลายประเภทแถมยังเชี่ยวชาญหมดเลยด้วย เหมือนเป็นนักเต้นมาตั้งแต่เกิดเลย”“ฉันเคยเต้นกับคู่เต้นผู้หญิงคนอื่นนะ แต่ท่วงท่าของพวกเธอไม่คล่องแคล่วเท่าเธอ และยิ่งไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเธอด้วย”“ตอนเพลงเร็วจังหวะเธอก็ดีมาก เข้าถึงอารมณ์เพลงได้เร็ว รอยยิ้มก็สดใสเปล่งประกาย เหมือนสาวน้อยชาวทิเบตที่มีความกระตือรือร้นใต้ภูเขาหิมะเลย”......เขาชม แต่หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับ รู้ว่าอีกฝ่ายอาย เขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดโปงในฐานะนักล่าฝ่ายรุกคนหนึ่ง เมื่อบรรยากาศค่อย ๆ คืบหน้า มือซ้ายของเขาก็ขยับเล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายจับมือที่นุ่มนิ่มของอีกฝ่ายในขณะเดียวกันมืออีกข้างที่โอบหลังเอวไว้หลวม ๆ ก็วางลงไปอย่างแผ่วเบา พร้อมพาเธอหมุนวงใหญ่รอบหนึ่งเมื่อเพลงวอลซ์จบลง ทั้งสองคนเข้าขากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ รับลมทะเล และพูดคุยเรื่อยเปื่อย ตอนนี้คืบหน้าไปอีกก้าวแล้ว“อายุเท่าไรแล้ว?” เจิ้งเซวียนถาม “ยังเรียนอยู่หรือเปล่า?”“ยี่สิบสี่แล้ว” หญิงสาวตอบเจิ้งเซวียนแปลกใจเล็กน้อย แล้วพูด“ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ฉันนึกว่าเธอเพิ่งบรรลุนิติภาวะ ยังเป็นนักศึกษาอยู่ซะอีก”ประโยคน

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 455

    “ดื่มเถอะ ฉันเป็นคนซื่อตรง ไม่ใช้วิธีต่ำทรามแบบนั้นหรอก”หญิงสาวได้ยินแบบนี้ก็จิบสองอึกจนชุ่มคอ จากนั้นก็นั่งลงเงียบ ๆ“เมื่อกี้มองออกว่าเธอเหนื่อยกับการรับมือ ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้นัดแนะกันมาก่อน แต่กลับร่วมมือกันได้ดีทีเดียว” เจิ้งเซวียนพิงราวกั้นพลางมองเธอแล้วพูด“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงของเธอแผ่วลงเล็กน้อย เจิ้งเซวียนที่ฟังความผิดปกติไม่ออก ยิ้มบางและพูด“แค่ช่วยเหลือเล็กน้อย ช่วยเธอได้ฉันก็ดีใจ”บทสนทนาดูเหมือนจะจบลงตรงนี้ แต่เจิ้งเซวียนเป็นใคร เขาสร้างหัวข้อสนทนาได้ง่ายเหมือนจับวางอยู่แล้ว“ฉันเห็นการเต้นเพลงแรกของเธอ จังหวะแปดนับที่สาม ถ้าหมุนเพิ่มอีกครึ่งรอบอาจจะสวยกว่านี้นะ” เขาพูดเขาไม่ได้ใช้ถ้อยคำสวยหรูเพื่อชมเอาใจเธอ และยิ่งไม่ได้บอกว่าท่าเต้นของเธอได้มาตรฐานแค่ไหน และรูปร่างของเธอเย้ายวนแค่ไหนแต่ชี้ให้เห็นถึง ‘ปัญหา’ ราวกับกำลังพูดเรื่องการเต้นรำอย่างบริสุทธิ์ใจเพราะวิธีจีบผู้หญิงที่ไม่เคยมีความรักกับผู้หญิงที่เคยมีความรักนั้นแตกต่างกันมาก การชมอย่างผลีผลามและเจตนาที่ชัดเจนเกินไปมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายตกใจจนหนีไปกลับกันการชี้แนะอย่างจริงใจ และรุกอย่างช้า ๆ จ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status