Share

บทที่ 4

Author: อิงเซี่ย
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาดึกถึงห้ามทุ่มแล้ว

ซูมั่วไม่ได้เปิดไฟในห้องรับแขกทิ้งไว้ เพราะไม่แน่ว่าคืนนี้ฟู่อี้ชวนอาจจะไปเอาอกเอาใจเย่ซินหย่าอยู่ที่ไหน อาจจะไม่กลับบ้าน

เธอคว้ากล่องปฐมพยายามขึ้น คอยประคองร่างกายที่ปวดร้าวค่อย ๆ เดินไปยังห้องนอนเล็ก ๆ ของตัวเอง

แต่งงานกันมาสองปี มันไม่ต่างอะไรกับการแต่งงานแค่ในนามเลย ฟู่อี้ชวนหวงครองตัวบริสุทธิ์เพื่อเย่ซินหย่าไม่ยอมให้เธอเข้าไปกล้องห้องนอนใหญ่แม้แต่ครึ่งก้าว

ดีแล้วละ ซูมั่วมาคิดในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นพอนึกถึงว่าตัวเองเคยถูกแตะต้องมาก่อน ตอนนี้คงมีแต่ความสะอิดสะเอียนอย่างเป็นที่สุดแน่

หลังทำความสะอาดและทายาที่บริเวณข้อศอกกับหลังเท้าอย่างลวก ๆ ซูมั่วก็ไม่มีแรงแม้แต่เก็บยาใส่กล่องปฐมพยาบาล เธอจึงวางไว้บนหัวเตียงทั้งแบบนั้น คิดว่าพรุ่งนี้เช้าจะเก็บให้เรียบร้อย

เธอเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้วเอนตัวลง ผลก็คือแค่เพียงงอตัวเล็กน้อย ความเจ็บที่ก้นกบก็ทำให้เธอถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เสียแล้ว

เธอขยับตัวให้เบาที่สุด หลับตาแล้วละทิ้งทุกอย่างในหัวสมอง ไม่นานความง่วงก็เข้าครอบงำ

ทางเธอเพิ่งจะเข้าสู่ห้วงฝัน ส่วนอีกทางหนึ่งนั้น ฟู่อี้ชวนกำลังพาเย่ซินหย่ากลับโรงแรม

“ฟู่ชวน เดี๋ยวนายไปส่งฉันที่ห้องนะ?” บริเวณที่นั่งข้างคนขับ เย่ซินหย่าดวงตาระยับ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความออดอ้อนเล็ก ๆ

ฟู่อี้ชวนไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาขับรถพลางเหลือบมองหน้าจอในรถ รู้สึกกระสับกระส่ายบนโมโหอย่างไม่มีสาเหตุ

นี้เขาโทรศัพท์ไปเป็นครั้งที่ยี่สิบแล้ว กลับไม่มีใครรับสายเลยสักครั้ง

เย่ซินหย่าที่อยู่ด้านข้างไม่ได้รับการตอบความนัยที่เธอแฝงไว้จากฟู่อี้ เพียงแต่มองหน้าจอในรถบ่อย ๆ

เธอมองเบอร์นั้น มันไม่มีการใส่ชื่อ ทว่าคุ้นตาอยู่บ้าง

เธอหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา ปัดไปหน้าข้อความ มองข้อความที่เธอส่งไปหาซูมั่ว เบอร์โทรศัพท์นั่น...

เหมือนกันไม่มีผิด

เย่ซินหย่าลอบกัดฟันตัวเอง ความริษยาเกลียดชังปรากฏขึ้นในดวงตา

ตอนนี้มาถึงโรงแรมที่เธอพักแล้ว รถหยุดตัวลง เย่ซินหย่าก็พูดขึ้นอีกว่า

“อี้ชวน พวกเราสองคนไม่ได้เจอกันตั้งสองปีแล้ว นายขึ้นไปส่งฉันที่ห้องได้ไหม?”

ขณะที่พูด เธอก็วางมือลงไปหลังมือของเขา ปลายนิ้วสอดเข้าไปในปลายแขนเสื้อเชิ้ตของเขา แสดงท่าทีที่เปี่ยมล้นไปด้วยความคลุมเครือ

ฟู่อี้ชวนจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? แต่เขามองที่มือนั้นแล้ว ทำเพียงแต่ดึงมือออก จากนั้นก็ลงจากรถไปเปิดประตูให้เย่ซินหย่า พลางว่า

“เธอขึ้นไปก่อนนะ ฉันจะไปหาซูมั่ว โทรหาเธอไม่ติดเลย”

เย่ซินหย่าลุกขึ้น เธอสบตากับอีกฝ่ายตรง ๆ กัดริมฝีปากไว้ บนดวงหน้าเผยสีหน้าเจ็บปวด

“นายหลงรักซูมั่วแล้วเหรอ? ไม่อย่างงั้นจะใส่ใจเธอขนาดนี้ทำไม? ตั้งแต่ฉันรักษาเท้า นายก็เอาแต่โทรศัพท์หาเธอ” ดวงตาของเย่ซินหย่าเคล้าคลอไปด้วยน้ำตา เธอถามอย่างน้อยใจ

ฟู่อี้ชวนได้ยินก็ปฏิเสธทันทีโดยไม่คิด “จะเป็นไปได้ยังไง ฉันไม่มีทางหลงรักคนที่ทำร้ายเธอครั้งแล้วครั้งเล่าหรอก”

“ที่ฉันหาเธอ เพราะกลัวว่าซูมั่วจะฟ้องปู่ ปู่จะต้องมาเอาเรื่องกับเธอแน่” เขาอธิบาย ด้วยคิดว่าเหตุผลนี้สมเหตุสมผลที่สุด

เย่ซินหย่าหยุดร้องไห้แล้วยิ้มออกมา แย้มยิ้มบริเวณมุมปากอีกครั้ง เธอรู้อยู่แล้วว่าอี้ชวนรักเธอเสมอ

“งั้นนายก็จูบก่อนสิ ฉันถึงจะเชื่อ” เธอออดอ้อนอีกครั้ง

ฟู่อี้ชวนมองเธอ พลางเม้มปากเล็กน้อย

เย่ซินหย่าคล้องคอเขาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง เตรียมพร้อมรอจุมพิตดูดดื่มแบบฝรั่งเศสแสนโรแมนติก สุดท้าย...

ฟู่อี้ชวนทำเพียงแค่ประทับจูบลงบนหน้าผากเธออย่างฉาบฉวยเหมือนกับแมลงปอบินระน้ำ

เย่ซินหย่าไม่พอใจกับจูบนี้ เธอเป็นฝ่ายเข้าไปหาเพื่อจะจูบริมฝีปาก ทว่าถูกฟู่อี้ชวนเบี่ยงตัวหลบ

“อี้ชวน นี่นายหมายความว่า...” หยาดน้ำตาคลอเคลียอยู่ในดวงตาของเย่ซินหย่าอีกครั้ง

“นายไม่ได้รักฉันแล้วจริง ๆ หรือว่ายังแค้นฉันที่ตอนนี้ฉันไปจากนาย? แต่นายก็รู้นี่ว่าฉันบริสุทธิ์ คุณปู่ของนาย...” เธออธิบายอย่างน้อยอกน้อยใจ

“คิดมากไปแล้ว ตอนนี้อยู่ด้านนอกโรงแรม เป็นที่สาธารณะ เกิดมีปาปารัซซีแอบถ่ายเข้ามันจะไม่ดีกับเธอ” ฟู่อี้ชวนพูดตัดบท พน้อมผลักเย่ซินหย่าออกจากอ้อมแขน

เย่ซินหย่าพอถูกผลักออก ความผิดหวังพลันฉายอยู่เต็มดวงหน้า เธอจะจับฟู่อี้ชวนไว้ให้มั่นอีกครั้งได้อย่างไร? เขาชอบซูมั่วขึ้นมาจริง ๆ แล้วเหรอ?

ตอนนี้ฟู่อี้ชวนขึ้นไปอยู่บนรถแล้ว เขามองหญิงสาวที่ร้องไห้ปวดใจ แล้วกล่าวว่า

“พรุ่งนี้เที่ยงจะมารับเธอไปกินข้าวด้วยกัน วันนี้เธอลำบากมาไม่น้อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

เย่ซินหย่ายิ้มออกมา พลางกล่าวอย่างเอาใจใส่รู้ความ “ได้ เจอกันพรุ่งนี้นะ ขับรถบนถนนก็ระวังด้วย รักนายนะ”

ฟู่อี้ชวนยิ้มเล็กน้อย ทว่าไม่ได้พูดคำนั้นออกไป ทำเพียงแค่พยักหน้า แล้วขับรถจากไปเท่านั้น

[ฉันก็รักเธอ]

ทั้งที่เมื่อก่อนเขาพูดกับเย่ซินหย่ามาเป็นพันเป็นหมื่นครั้งแล้วแท้ ๆ แต่ตอนนี้อยู่ ๆ ก็รู้สึกกระดากจะเอ่ยปากออกไป เป็นเพราะแยกจากกันมาสองปีเหรอ?

มองรถที่เคลื่อนตัวออกไปไกล เย่ซินหย่าที่ยืนอยู่ที่เดิมได้แต่กำหมัดแน่น ความโหดเหี้ยมและความอยากชนะช่วงชิงมาให้ได้ทอประกายอยู่ในดวงตา

ตอนนี้กำลังขับรถอยู่บนถนน

ฟู่อี้ชวนโทรศัพท์ออกไปหาเบอร์นั้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็กระวนกระวายร้อนใจจนเขาเหยียบคันเร่งอย่างแรง จนความเร็วเกือบเกินกำหนด

ตอนที่ออกมาจากโรงพยาบาล เขากวาดสายตามองไปบริเวณรอบ ๆ แล้ว ทว่าไม่เห็นเงาคน ดังนั้นตอนนี้อาจจะกลับบ้านไปแล้ว

ขับรถเข้าไปจอดในโรงจอดรถ เขาแทบจะวิ่งเหยาะไปขึ้นลิฟต์ สแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดประตู เดิมทีคิดว่าจะเห็นโคมไฟในห้องรับแขก ทว่าคราวนี้กลับมืดสนิท

ทุกครั้ง ไม่ว่าเขาจะกลับมาดึกแค่ไหน ซูมั่วมักจะเปิดไฟทิ้งไว้ให้เขาเสมอ หากง่วงก็จะนอนหลับอยู่บนโซฟา พอเห็นเขากลับมาถึงจะลุกขึ้นไปเตรียมซุปสร่างเมาให้เขา

นี่เป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่ห้องรับแขกมืดสนิท ฟู่อี้ชวนรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ความคิดแรกที่เกิดขึ้นในใจคือ ‘ซูมั่วยังไม่กลับ?’

เขาเปิดไฟ เหลือบตามองไปยังรองเท้าบนพื้นแถวหน้าประตู ฟู่อี้ชวนจำได้ว่านี่เป็นรองเท้าที่ซูมั่วใส่ ขณะเดียวกันสลิปเปอร์ก็หายไปหนึ่งคู่

เธอน่าจะกลับมาแล้ว

แล้วทำไมเธอถึงไม่เปิดไฟทิ้งไว้? ทำไมถึงไม่รับสายเขา?

ฟู่อี้ชวนโมโห เขาพุ่งตัวไปทางห้องนอนแขกโดยไม่เปลี่ยนรองเท้าด้วยซ้ำ จับลูกบิดประตูไว้ เปิดไม่ออก เขาเริ่มทุบประตูพลางตะโกนเรียก

“ซูมั่ว! โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้! ได้เป็นคุณนายฟู่อยู่สองปีจนลืมไปแล้วเหรอว่าตัวเองเป็นใคร? มีสิทธิ์อะไรมาทำตัววางอำนาจ!”
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 460

    แต่เมื่อดูจากผลแพ้ชนะคืนนี้แล้ว ดูเหมือนเธอจะกังวลมากเกินไปนอกจากเพื่อนสนิทจะถูกเอาเปรียบไปบ้าง ก็ถือเป็นว่าทำผลงานได้ดีที่สุดในงานซูมั่วคุยเป็นเพื่อนเธอ จนกระทั่งเธอกลับถึงบ้าน จึงเพิ่งวางสายหลีโย่วเข้าบ้าน สีหน้าที่โกรธเกรี้ยวทั้งหมดถูกเก็บไว้ หลังจากตอบแม่แบบส่ง ๆ ก็ขึ้นไปชั้นบนหลีเชินโผล่มาตรงหน้า ถือแก้วน้ำอยู่ แล้วถาม“เป็นยังไงบ้าง? คืนนี้มีแขกผู้ชายที่ถูกใจไหม?”หลีโย่วตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พี่ พี่รู้ไหมว่าพี่เหมือนอะไร?”หลีเชิน “?”“เหมือนแม่เล้าที่คอยเรียกลูกค้าให้พวกสาว ๆ ในสมัยโบราณมากเลย” หลีโย่วพูดด้วยรอยยิ้มหลีเชิน “...”“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ฉันเป็นห่วงเธอ และคิดถึงอนาคตที่มีความสุขของเธออยู่นะ” หลีเชินพูด“เธอคิดว่าถ้าเธอชอบใครแล้วฉันจะยอมให้เธอแต่งงานเลยเหรอ? ฉันยังต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ผ่านด่านฉันก็ไม่ได้”หลีโย่วเบะปาก ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ขณะที่กำลังจะเดินจากไป ก็ได้ยินพี่ชายเธอถามอีกครั้ง“คืนนี้เจิ้งเซวียนก็ไปงานเลี้ยงเรือสำราญนั่นด้วย พวกเธอเจอกันไหม?”“เจอกัน” หลีโย่วตอบ“ไม่ได้เจอกันหกปี เลยคุยกันเรื่อยเปื่อย หลังจากฉันกลับมาเขาก

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 459

    ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องแกล้งเขา และเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเธอด้วยคิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าทุกการกระทำ และทุกคำพูดของหลีโย่วก็ล้วนไม่ได้มีปัญหาความแปลกใจตอนที่เห็นตนปรากฏตัว ก็เพราะว่าจำเขาได้ จึงเดินตามเขาออกไปทันทีตนยื่นน้ำผลไม้ให้เธอ เธอก็รับไปดื่มอย่างไม่มีความระแวดระวัง เพราะรู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายเธอบอกว่าไม่ได้คบใคร บอกว่ามีพี่ชายที่เข้มงวด แล้วยังบอกว่าเขาอายุเท่า ๆ กับพี่ชายของเธอ ทุกอย่างก็สอดคล้องกันหมดเจิ้งเซวียน ‘...เพราะงั้นเป็นเขาเองที่มีปัญหา ใครใช้ให้ไม่ถามชื่ออีกฝ่ายก่อนล่ะ? กลับตั้งใจหว่านเสน่ห์แล้วค่อยถามอีกที’ที่ผ่านมาจีบหญิงไม่เคยพลาด ในที่สุดวันนี้ก็พลาด เหมือนคนเดินอยู่ริมน้ำ รองเท้าจะไม่เปียกได้ยังไง?เจิ้งเซวียนปิดหน้าอย่างหมดแรง สุดท้ายผ่านไปสิบนาทีเต็ม ๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็สตาร์ตรถเตรียมตัวกลับบ้านสิ่งเดียวที่ทำให้เขาสบายใจได้ก็คือหลีโย่วจะไม่บอกพี่ชายของเธอ และเขาก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทตัวต่อตัวแล้วถูกจัดการขณะเดียวกัน บนถนนที่กว้างขวางรถเฟอร์รารีเปิดประทุนขับเร็วมาก ทับเส้นจำกัดความเร็วเสียงลมหวีดหวิวข้างหู ก็ยังไ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 458

    “ไปให้พ้นเลย เอาแต่พูดเรื่องไม่ดีอยู่ได้” หวังคุนด่าพลางยิ้มเจิ้งเซวียนมองหลีโย่ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแบบพี่ชายพูด“เสี่ยวโย่วจื่อก็อยู่เล่นที่นี่ต่อเถอะ ฉันไปก่อนนะ วันหลังจะนัดรวมตัวกับพี่ชายเธอด้วย”“ฉันก็จะไปเหมือนกันค่ะ อยู่นานพอสมควรแล้ว ไปรายงานพี่ชายได้แล้วค่ะ” หลีโย่วยิ้มอย่างซุกซนเจิ้งเซวียนเข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร สรุปคือวันนี้หลีเชินบังคับให้เธอมางานนี้นึกถึงตอนที่เธอบอกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ออกไปข้างนอกคนเดียวไม่ได้ พี่ชายเธอเข้มงวดมาก ซึ่งก็ตรงกับนิสัยของหลีเชินจริง ๆ เพราะงั้น...ทำไมเขาถึงนึกเชื่อมโยงไม่ได้ตั้งแต่แรกกันนะ?ในใจเจิ้งเซวียนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย รู้สึกว่าวันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูฤกษ์ดูยาม เขาไม่ได้ขายหน้าขนาดนี้มานานแล้วจริง ๆ แถมยังเป็นต่อหน้าน้องสาวอีก...“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับบ้านนะ” เจิ้งเซวียนเก็บความคิด และพูดด้วยรอยยิ้มบาง“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันขับรถมาเอง แต่เราออกไปพร้อมกันก็ได้ค่ะ” หลีโย่วพูดทั้งสองคนเดินคู่กันออกมาจากงาน ลงจากเรือสำราญ จากนั้นก็ไปที่ลานจอดรถในช่วงเวลานี้ มีแค่เสียงพื้นรองเท้าที่ก้าวเดินของทั้งคู่เท่านั้น

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 457

    เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับ...หลีเชินเขาหันคอที่แข็งทื่อไปช้า ๆ มองใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มหวานจาง ๆ ของหญิงสาวกระแสเวลาที่ยาวนานหกปีเหมือนย่อลงในชั่วขณะนี้ ภาพของหญิงสาวที่สดใสมีเสน่ห์ตรงหน้า ซ้อนทับกับเด็กสาวที่สวมแว่นกรอบดำทั้งยังอวบเล็กน้อยเมื่อสมัยมัธยมปลายเขาก็ว่าอยู่ว่าทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกคุ้นตานัก ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้...“หลี...หลีโย่ว” จ้องมองอย่างนิ่งงันไปหลายวินาที เจิ้งเซวียนจึงเพิ่งพูดอ้ำอึ้งอย่างตกตะลึงเห็นเพียงหญิงสาวพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าที่ยิ่งหวานและจริงใจ กลับทำให้หัวใจของเจิ้งเซวียนกระตุก ต้องฝืนรักษารอยยิ้มไว้อย่างยากลำบาก ไม่ให้กระอักเลือดออกมาการจีบสาวในวันนี้ไม่ใช่แค่ล้มเหลว แต่โคตรจะล้มเหลวเพราะเหตุไม่คาดฝันหลีโย่ว เสี่ยวโย่วจื่อ เด็กสาวคนนั้นที่เขามองว่าเป็นน้องสาวมาตลอด ผลคือเขากลับ...หยอดเธอ อยากจีบเธอมาเป็นแฟนจิตสำนึกถูกประณาม เขาถูกตอกตรึงไว้บนเสาแห่งความอับอายทางศีลธรรมแต่เขารู้สึกว่าตนคงไม่ต้องรอให้ถูกจิตสำนึกของตัวเองฆ่าตายหรอก เพราะถ้าหลีเชินรู้ว่าเขาจะจีบน้องสาวของอีกฝ่าย คงฟันตนตายก่อนในมีดเดียวแน่“เสี่ยวโย่วจื่อ...” เจิ้งเซ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 456

    “เธอเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอ? รู้จักการเต้นหลายประเภทแถมยังเชี่ยวชาญหมดเลยด้วย เหมือนเป็นนักเต้นมาตั้งแต่เกิดเลย”“ฉันเคยเต้นกับคู่เต้นผู้หญิงคนอื่นนะ แต่ท่วงท่าของพวกเธอไม่คล่องแคล่วเท่าเธอ และยิ่งไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเธอด้วย”“ตอนเพลงเร็วจังหวะเธอก็ดีมาก เข้าถึงอารมณ์เพลงได้เร็ว รอยยิ้มก็สดใสเปล่งประกาย เหมือนสาวน้อยชาวทิเบตที่มีความกระตือรือร้นใต้ภูเขาหิมะเลย”......เขาชม แต่หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับ รู้ว่าอีกฝ่ายอาย เขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดโปงในฐานะนักล่าฝ่ายรุกคนหนึ่ง เมื่อบรรยากาศค่อย ๆ คืบหน้า มือซ้ายของเขาก็ขยับเล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายจับมือที่นุ่มนิ่มของอีกฝ่ายในขณะเดียวกันมืออีกข้างที่โอบหลังเอวไว้หลวม ๆ ก็วางลงไปอย่างแผ่วเบา พร้อมพาเธอหมุนวงใหญ่รอบหนึ่งเมื่อเพลงวอลซ์จบลง ทั้งสองคนเข้าขากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ รับลมทะเล และพูดคุยเรื่อยเปื่อย ตอนนี้คืบหน้าไปอีกก้าวแล้ว“อายุเท่าไรแล้ว?” เจิ้งเซวียนถาม “ยังเรียนอยู่หรือเปล่า?”“ยี่สิบสี่แล้ว” หญิงสาวตอบเจิ้งเซวียนแปลกใจเล็กน้อย แล้วพูด“ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ฉันนึกว่าเธอเพิ่งบรรลุนิติภาวะ ยังเป็นนักศึกษาอยู่ซะอีก”ประโยคน

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 455

    “ดื่มเถอะ ฉันเป็นคนซื่อตรง ไม่ใช้วิธีต่ำทรามแบบนั้นหรอก”หญิงสาวได้ยินแบบนี้ก็จิบสองอึกจนชุ่มคอ จากนั้นก็นั่งลงเงียบ ๆ“เมื่อกี้มองออกว่าเธอเหนื่อยกับการรับมือ ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้นัดแนะกันมาก่อน แต่กลับร่วมมือกันได้ดีทีเดียว” เจิ้งเซวียนพิงราวกั้นพลางมองเธอแล้วพูด“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงของเธอแผ่วลงเล็กน้อย เจิ้งเซวียนที่ฟังความผิดปกติไม่ออก ยิ้มบางและพูด“แค่ช่วยเหลือเล็กน้อย ช่วยเธอได้ฉันก็ดีใจ”บทสนทนาดูเหมือนจะจบลงตรงนี้ แต่เจิ้งเซวียนเป็นใคร เขาสร้างหัวข้อสนทนาได้ง่ายเหมือนจับวางอยู่แล้ว“ฉันเห็นการเต้นเพลงแรกของเธอ จังหวะแปดนับที่สาม ถ้าหมุนเพิ่มอีกครึ่งรอบอาจจะสวยกว่านี้นะ” เขาพูดเขาไม่ได้ใช้ถ้อยคำสวยหรูเพื่อชมเอาใจเธอ และยิ่งไม่ได้บอกว่าท่าเต้นของเธอได้มาตรฐานแค่ไหน และรูปร่างของเธอเย้ายวนแค่ไหนแต่ชี้ให้เห็นถึง ‘ปัญหา’ ราวกับกำลังพูดเรื่องการเต้นรำอย่างบริสุทธิ์ใจเพราะวิธีจีบผู้หญิงที่ไม่เคยมีความรักกับผู้หญิงที่เคยมีความรักนั้นแตกต่างกันมาก การชมอย่างผลีผลามและเจตนาที่ชัดเจนเกินไปมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายตกใจจนหนีไปกลับกันการชี้แนะอย่างจริงใจ และรุกอย่างช้า ๆ จ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status