บทเรียนของบัณฑิตชายหญิง นอกจากคัมภีร์และตำราคุณธรรมจรรยาแห่งปราชญ์ ยังสอนเกี่ยวกับศาสตราวิญญูชน ตั้งชื่อเสียงไพเราะเสนาะหู ที่แท้ก็เป็นเพียงการเรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัวและการต่อสู้ด้วยอาวุธเช่นธนูโดยไม่จำเป็นต้องฝึกวรยุทธนั่นเองการเรียนการสอนในแคว้นต้าอันนั้น มิใช่เพียงการเขียนอักษร แต่ยังมีการคำนวณ ขี่ม้า ยิงธนู ดนตรีร่ายรำและมารยาทพิธีการ ส่วนเย็บปักล้วนเรียนรู้เองที่บ้านไม่มีสอนในชั้นเรียนวันนี้อากาศค่อนข้างเย็นก็จริงแต่ฟ้าเปิดเห็นตะวัน ไม่มีหิมะโปรยปราย พื้นหญ้าไม่มีหิมะปกคลุม รอบด้านเขียวขจีมีชีวิตชีวา“ดังนั้น ทุกคนวางตำราลงเสีย วันนี้ทั้งวันพวกเราจะแข่งขันทักษะขี่ม้ายิงธนู”ไป๋มู่เจ๋อมีรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนเฉกคนเปี่ยมเมตตาประดับมุมปากตลอดเวลา เขาเอ่ยอีกว่า “ข้าจะช่วยส่งเสริมทักษะให้พวกเจ้าเหล่าศิษย์ด้วยตัวเอง”ศิษย์ชายหญิงได้ยินพลันยิ้มร่าต่างดีใจเป็นล้นพ้น แม้พวกเขาที่เป็นบุตรหลานขุนนางจะขี่ม้าเป็นยิงธนูบ่อย แต่ควรต้องทราบ ไป๋มู่เจ๋อที่เป็นเพียงบัณฑิตหนุ่มหน้าหยก มิได้เก่งกาจวรยุทธเท่าใด แต่การขี่ม้ายิงธนูของเขานั้น เป็นอันดับหนึ่งเสมอ เรียกว่ายิงร้อยครั้งเข้าเป้าร้อยครั้
รุ่งเช้าหิมะตก สีขาวเริ่มปกคลุมเรือนหมิงอัน“เมื่อคืนพวกเขาติดต่อกันจริงๆ เพคะ”ฟ่านเจินเฝ้าจับตาสวีหลิงเยี่ยนกับไป๋มู่เจ๋อทั้งคืน เมื่อได้ความจึงรีบมารายงานทุกอย่างตามที่เห็นและได้ยินอย่างไม่มีตกหล่นแม้ครึ่งคำ “สวีหลิงเยี่ยนเชื่อฟังไป๋มู่เจ๋อยิ่ง ไม่เหมือนถูกบังคับให้จำยอม ดูท่านางคงมีใจให้เขาไม่น้อย ถึงขั้นรับปากยอมเป็นหมากให้ กำลังหาทางใกล้ชิดพระองค์ตามคำสั่งของไป๋มู่เจ๋อเพคะ”จ้าวหมิงอวี่เพียงจิบชารับฟังนิ่งๆ ไม่ว่าอะไรฟ่านเจิ้งถอนหายใจนึกเสียดาย “เป็นดังคาดสินะ” กระนั้นเขาปรับอารมณ์ได้รวดเร็วหันมาหาเจ้านาย “ยินดีกับองค์ชายสี่ ในที่สุดแผนการขั้นแรกก็เป็นดังคาดหมาย”ฟ่านเจินช่วยเสริม “ที่นี้พวกเราก็แค่แสร้งเป็นเหยื่อเพื่อจับเสือตัวน้อย ค่อยๆ สาวไปถึงเสือตัวใหญ่ ภายหน้า ต่อให้องค์ชายรองเป็นที่วางพระทัยปานใดก็ยากแก้ตัวแล้ว”ฟ่านเจิ้งหันมาถามเจ้านาย “องค์ชายสี่ เปลี่ยนชุด ไปเข้าเรียนเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมขาขวาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นถูกจ้าวหมิงอวี่เลิกขึ้นแล้วเขวี้ยงทิ้งอย่างไม่ไยดี“วันนี้ไม่เรียน ยังไม่มีอารมณ์”“อ้าว!?”โรงซักล้างค่อนข้างกว้าง ด้านข้างเชื่อมต่อกับด้
อี้เชี่ยนกอดแขนหลิ่งเฮ่อ ส่งเสียงเหยียดหยันว่า ‘นางแค่เหมือนเท่านั้น แต่ไม่ใช่หลิ่งหลินตัวจริง ไม่เก่งกาจ ไร้วิชามาร ไม่มีฝีมือต่อสู้ ย่อมเป็นเป้านิ่งให้ศัตรูรุมทึ้ง’หลิ่งเฮ่อถามเสียงนิ่ง ‘เจ้ารู้ว่านางไม่ใช่ตัวจริงหรือ?’อี้เชี่ยนหัวเราะเสียงใส ‘ใช่แล้ว! ข้ารู้โลกรู้ หึๆ’‘แล้วสมุนทั้งหมด?’‘สมุนที่ภักดีเพียงหลิ่งหลินเหล่านี้สมควรตายแล้ว.. สำนักไพรีพิฆาตต้องล่มสลาย และท่านพี่หลิ่งย่อมขึ้นเป็นหลงซานปกครองหุบเขาปีศาจ มีข้าเป็นฮูหยินของท่าน’ฝันนั้นทำให้หลิ่งหลินตระหนักอย่างลึกล้ำนางต้องห้ามปากตัวเองไม่ให้พูดออกไปว่าตัวตนแท้จริงเป็นใคร นางจะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด หากข่าวกระจายไปถึงหูศัตรู หุบเขาปีศาจจะเป็นอย่างไร สตรีที่ไม่ใช่หลิ่งหลินตัวจริงย่อมนำพาให้ทุกคนตายกันหมดสำนักไพรีพิฆาตย่อมพินาศย่อยยับล่มสลายเป็นแน่หลิ่งหลินที่กำลังหลับเหมือนตายเริ่มมีใบหน้าเหยเก เหงื่อท่วมโทรมกาย นางลืมตา แต่สติยังติดตรึงแค่นิทรา จู่ๆ นางรู้สึกได้ถึงการมาเยือนของแขกมิได้รับเชิญ ฝ่ามือหนึ่งทั้งใหญ่และอุ่นร้อนกำลังลูบไล้เรียวขาของนาง การกระทำนี้ยั่วยวน คล้ายสามีที่กำลังโปรยเสน่ห์ใส่ภรรยาหลิ่งหลินเอื้อ
จ้าวหมิงอวี่ปรายตามองฟ่านเจิ้งอย่างเย็นชา ทำเอาฟ่านเจิ้งตกใจ เขารีบพูดแก้ “นางคงไม่ได้มอง ข้าคิดไปเอง”ฝ่ายจ้าวหมิงอวี่ เขาจิบชานิ่งๆ ท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจ ทว่าในแววตากังขาเผยความหงุดหงิดไม่ชอบใจออกมาชายหนุ่มหันไปสั่งเสียงต่ำเย็นชา “ฟ่านเจิน”“เพคะ”“ไปจับตาดูพวกเขา ไม่แน่คืนนี้อาจติดต่อกัน”ราตรีเย็นเยียบ รอบด้านเงียบสงัด ภายในเรือนหงซิ่ว ตะเกียงในห้องถูกดับไปนานแล้ว เสี่ยวปานอนหลับลึกเสมือนซ้อมตายนานแล้วเช่นกันหลิ่งหลินเองก็กำลังหลับสบาย คล้ายซ้อมตายอีกคน นางกำลังดำดิ่งห้วงฝันอันลึกล้ำ ในฝัน หลิ่งหลินกำลังยืนประจันหน้ากับสวีหลิงเยี่ยนใช่! เป็นสวีหลิงเยี่ยนตัวจริง ทว่าไม่นาน อีกฝ่ายก็กลายเป็นหลิ่งหลินและหลิ่งหลินก็กลายเป็นสวีหลิงเยี่ยนพวกเราสลับร่างกัน! หลิ่งหลินบอกไม่ถูกว่าควรโล่งใจหรือกังวลใจดีที่แท้ร่างของนางยามนี้ไม่ใช่เจียเย่ลูกน้องทรยศ ทว่าเป็นสวีหลิงเยี่ยนที่สัตย์ซื่อแต่อ่อนแอแทนจากนั้นภาพก็ตัดมาที่หลิ่งหลินกำลังห้อตะบึงม้าคู่ใจ ชุดสีแดงสดบนหลังม้าทำให้นางองอาจผึ่งผายเกินบรรยาย นางง้างธนูสุดสาย ยิงนกเหยี่ยวตัวใหญ่ยักษ์บนฟ้าตายตกทีละสิบตัว เลือดสดๆ สาดกระจาย สัตว์ปีก
เมื่อถึงเวลาเรียน ทุกคนก็นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ละคนกลายร่างเป็นบัณฑิตตัวน้อยผู้รอคอยเพียงศึกษาเล่าเรียนหาความรู้เท่านั้นบรรยากาศในชั้นเรียนกลายเป็นเคร่งเครียดจริงจัง ไม่มีแล้วกิริยาไม่สำรวมเฉกเช่นเมื่อวันก่อน กระนั้นเมื่ออาจารย์หนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาปรากฏตัว บรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนไปอีกครา ดวงตาบรรดาสตรีเต็มไปด้วยแววแช่มชื่นมีชีวิตชีวา พวกนางต่างพากันจับจ้องเจ้าของร่างสูงสง่านั้นไม่วางตา ไม่เว้นแม้แต่หลิ่งหลิน เพียงแต่สาเหตุที่นางมองมิใช่ต้องการชื่นชม หากแต่เป็นพินิจพิจารณา หาจุดเชื่อมโยงกับผู้มาเยือนถึงเรือนของสวีจงสือในราตรีนั้นท่านอาจารย์ผู้ที่เข้ามาคือไป๋มู่เจ๋อ บุรุษผู้หล่อเหลา มีรอยยิ้มละมุนประดับใบหน้าตลอดเวลา เขาสวมชุดสีขาวปักลายเมฆสีเงินแลดูสุขุมเรียบง่าย สง่างามสมเป็นสุภาพชน ศิษย์หญิงแทบทุกคนในชั้นเรียนรู้สึกชมชอบเขามากกว่าองค์ชายสี่ ควรต้องทราบว่าจ้าวหมิงอวี่รูปงามกว่าแต่กลับไม่น่าเข้าหาสักเท่าใด มิใช่เพราะเขาสูงศักดิ์จึงทำให้มิกล้าเข้าใกล้ แต่เป็นเพราะเขาเย่อหยิ่งเย็นชาแผ่กลิ่นอายชวนเหน็บหนาวออกตลอดเวลาปานนั้น ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีท่วงท่าน่าเกรงขาม ต
พ้นหุบเขาซับซ้อนคือหมู่บ้านจินซานเป็นทางผ่านก่อนเข้าตัวเมืองเซียนหยาง ระหว่างทางเป็นป่าเขารกร้าง ห่างจากเมืองหลวงมากโขขบวนเดินทางขององค์ชายรองจ้าวจื่อหวนมิใหญ่โต ทว่ากลับทำตัวยิ่งใหญ่คับแผ่นดิน กระทั่งงูเจ้าถิ่นยังอยู่มิได้ “หัวหน้าหมู่บ้านถูกฆ่าตัดคอไปแล้ว ทำอย่างไรดี” ชาวบ้านคนนั้นถามเสียงเครือ อกสั่นขวัญแขวนไม่หาย“เหตุใดต้องฆ่ากันด้วยเล่า” คนฟังถามกลับร้อนรนคนเดิมเล่าทั้งน้ำตา “เพราะหัวหน้าหมู่บ้านขัดขวางขบวนเดินทางของผู้สูงศักดิ์ปริศนามิให้เข้าหมู่บ้านเราปะไร”ไม่มีใครรู้ว่าขบวนผู้มาเยือนเพียงผ่านทางคือใคร และเหตุใดต้องผ่านโดยการเข้ามาในหมู่บ้านเช่นนี้ พวกเขาทำเพียงสังเกตจากรถม้าคันใหญ่หรูหราดั่งเรือนเคลื่อนที่ได้ แค่คนติดตามยังสวมเสื้อผ้าเนื้อดีราคาสูงลิ่วจึงพากันเรียกว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ปริศนา ทว่าการกระทำช่างกักขฬะต่ำช้ายิ่งนัก พวกมันพากันฉุดคร่าเด็กสาวหน้าตาดี นำไปบำเรอคนสูงศักดิ์ในรถม้านั่นทุกคืน “เมื่อไรจะเคลื่อนขบวนไสหัวผ่านไปเสียที ชั่วร้ายนัก” คำด่าทออันรุนแรงนั้นช่างเบาแสนเบา ไม่กล้าให้ผู้นั้นได้ยินบนรถม้าคันใหญ่ ภายในกว้างขวาง ผนังคล้ายเคลือบทองงามอร่ามอย่างไม่กล