เข้าสู่ระบบจ้าวหมิงอวี่ปรายตามองฟ่านเจิ้งอย่างเย็นชา ทำเอาฟ่านเจิ้งตกใจ เขารีบพูดแก้ “นางคงไม่ได้มอง ข้าคิดไปเอง”ฝ่ายจ้าวหมิงอวี่ เขาจิบชานิ่งๆ ท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจ ทว่าในแววตากังขาเผยความหงุดหงิดไม่ชอบใจออกมาชายหนุ่มหันไปสั่งเสียงต่ำเย็นชา “ฟ่านเจิน”“เพคะ”“ไปจับตาดูพวกเขา ไม่แน่คืนนี้อาจติดต่อกัน”ราตรีเย็นเยียบ รอบด้านเงียบสงัด ภายในเรือนหงซิ่ว ตะเกียงในห้องถูกดับไปนานแล้ว เสี่ยวปานอนหลับลึกเสมือนซ้อมตายนานแล้วเช่นกันหลิ่งหลินเองก็กำลังหลับสบาย คล้ายซ้อมตายอีกคน นางกำลังดำดิ่งห้วงฝันอันลึกล้ำ ในฝัน หลิ่งหลินกำลังยืนประจันหน้ากับสวีหลิงเยี่ยนใช่! เป็นสวีหลิงเยี่ยนตัวจริง ทว่าไม่นาน อีกฝ่ายก็กลายเป็นหลิ่งหลินและหลิ่งหลินก็กลายเป็นสวีหลิงเยี่ยนพวกเราสลับร่างกัน! หลิ่งหลินบอกไม่ถูกว่าควรโล่งใจหรือกังวลใจดีที่แท้ร่างของนางยามนี้ไม่ใช่เจียเย่ลูกน้องทรยศ ทว่าเป็นสวีหลิงเยี่ยนที่สัตย์ซื่อแต่อ่อนแอแทนจากนั้นภาพก็ตัดมาที่หลิ่งหลินกำลังห้อตะบึงม้าคู่ใจ ชุดสีแดงสดบนหลังม้าทำให้นางองอาจผึ่งผายเกินบรรยาย นางง้างธนูสุดสาย ยิงนกเหยี่ยวตัวใหญ่ยักษ์บนฟ้าตายตกทีละสิบตัว เลือดสดๆ สาดกระจาย สัตว์ปีก
เมื่อถึงเวลาเรียน ทุกคนก็นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ละคนกลายร่างเป็นบัณฑิตตัวน้อยผู้รอคอยเพียงศึกษาเล่าเรียนหาความรู้เท่านั้นบรรยากาศในชั้นเรียนกลายเป็นเคร่งเครียดจริงจัง ไม่มีแล้วกิริยาไม่สำรวมเฉกเช่นเมื่อวันก่อน กระนั้นเมื่ออาจารย์หนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาปรากฏตัว บรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนไปอีกครา ดวงตาบรรดาสตรีเต็มไปด้วยแววแช่มชื่นมีชีวิตชีวา พวกนางต่างพากันจับจ้องเจ้าของร่างสูงสง่านั้นไม่วางตา ไม่เว้นแม้แต่หลิ่งหลิน เพียงแต่สาเหตุที่นางมองมิใช่ต้องการชื่นชม หากแต่เป็นพินิจพิจารณา หาจุดเชื่อมโยงกับผู้มาเยือนถึงเรือนของสวีจงสือในราตรีนั้นท่านอาจารย์ผู้ที่เข้ามาคือไป๋มู่เจ๋อ บุรุษผู้หล่อเหลา มีรอยยิ้มละมุนประดับใบหน้าตลอดเวลา เขาสวมชุดสีขาวปักลายเมฆสีเงินแลดูสุขุมเรียบง่าย สง่างามสมเป็นสุภาพชน ศิษย์หญิงแทบทุกคนในชั้นเรียนรู้สึกชมชอบเขามากกว่าองค์ชายสี่ ควรต้องทราบว่าจ้าวหมิงอวี่รูปงามกว่าแต่กลับไม่น่าเข้าหาสักเท่าใด มิใช่เพราะเขาสูงศักดิ์จึงทำให้มิกล้าเข้าใกล้ แต่เป็นเพราะเขาเย่อหยิ่งเย็นชาแผ่กลิ่นอายชวนเหน็บหนาวออกตลอดเวลาปานนั้น ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีท่วงท่าน่าเกรงขาม ต
พ้นหุบเขาซับซ้อนคือหมู่บ้านจินซานเป็นทางผ่านก่อนเข้าตัวเมืองเซียนหยาง ระหว่างทางเป็นป่าเขารกร้าง ห่างจากเมืองหลวงมากโขขบวนเดินทางขององค์ชายรองจ้าวจื่อหวนมิใหญ่โต ทว่ากลับทำตัวยิ่งใหญ่คับแผ่นดิน กระทั่งงูเจ้าถิ่นยังอยู่มิได้ “หัวหน้าหมู่บ้านถูกฆ่าตัดคอไปแล้ว ทำอย่างไรดี” ชาวบ้านคนนั้นถามเสียงเครือ อกสั่นขวัญแขวนไม่หาย“เหตุใดต้องฆ่ากันด้วยเล่า” คนฟังถามกลับร้อนรนคนเดิมเล่าทั้งน้ำตา “เพราะหัวหน้าหมู่บ้านขัดขวางขบวนเดินทางของผู้สูงศักดิ์ปริศนามิให้เข้าหมู่บ้านเราปะไร”ไม่มีใครรู้ว่าขบวนผู้มาเยือนเพียงผ่านทางคือใคร และเหตุใดต้องผ่านโดยการเข้ามาในหมู่บ้านเช่นนี้ พวกเขาทำเพียงสังเกตจากรถม้าคันใหญ่หรูหราดั่งเรือนเคลื่อนที่ได้ แค่คนติดตามยังสวมเสื้อผ้าเนื้อดีราคาสูงลิ่วจึงพากันเรียกว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ปริศนา ทว่าการกระทำช่างกักขฬะต่ำช้ายิ่งนัก พวกมันพากันฉุดคร่าเด็กสาวหน้าตาดี นำไปบำเรอคนสูงศักดิ์ในรถม้านั่นทุกคืน “เมื่อไรจะเคลื่อนขบวนไสหัวผ่านไปเสียที ชั่วร้ายนัก” คำด่าทออันรุนแรงนั้นช่างเบาแสนเบา ไม่กล้าให้ผู้นั้นได้ยินบนรถม้าคันใหญ่ ภายในกว้างขวาง ผนังคล้ายเคลือบทองงามอร่ามอย่างไม่กล
ทว่าเพียงครู่ เขาค่อยๆ คลายมือออก ยกมุมปากยิ้ม กล่าวอย่างสุภาพต่ออีกว่า “พอกระหม่อมได้รับข่าวว่าพระองค์บาดเจ็บกลับมาก็ให้นึกห่วงใยยิ่งนัก จำต้องเร่งเข้าเมืองหลวงมาดูใจ”คำว่าดูใจใช้กับคนใกล้ตายมิใช่หรือไร? ฟ่านเจิ้งมือกระตุกกระชับดาบอีกรอบ แต่พอเห็นสายตานายเหนือหัวก็ได้แต่กัดฟันอีกคราไป๋มู่เจ๋อทำหน้าเหลอหลา ไร้ความเคารพยำเกรง “อ่า...ไม่สิ ไม่ใช่! กระหม่อมพูดผิด กลับมาดูแลต่างหาก เห็นหรือไม่? กระหม่อมถึงขนาดเสนอชื่อตัวเองเข้ามาเป็นอาจารย์สอนวิชาศาสตร์ต่างๆ ให้พระองค์ หวังว่าจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่พิกลพิการเพราะถูกตีซ้ำพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวหมิงอวี่ยังคงสงบเยือกเย็น “รีบมาเถิด ข้ารออยู่”“กระหม่อมจะทุ่มเทสอนสั่งอย่างสุดฝีมือพ่ะย่ะค่ะ”“ตามใจเจ้าเถอะ หวังว่าจะไม่แพ้ภัยตัวเองเสียก่อน”จ้าวหมิงอวี่กล่าวเสียงต่ำ หรี่ตาลงอย่างท้าทาย ในขณะที่ดวงตาไป๋มู่เจ๋อมีประกายหมายมาดดุดันทั้งเย็นชาและอาฆาตไม่ปกปิด ริมฝีปากบางแค่นยิ้มเย็นเชือดเฉือน ทุกกิริยาวาจาของไป๋มู่เจ๋อแสดงออกอย่างผ่าเผยและเถรตรงในความรู้สึกอย่างมิซ่อนเร้นไม่ว่าแค้นเคืองหรือตัดพ้อล้วนเผยออกมาจนสิ้นเขาประสานมือคำนับตามฐานะแล้วสะบัดแ
“นั่นปะไร ทางไปเรือนหมิงอัน พอเห็นตัวจริงแล้ว ยิ่งชัดเจนว่ารูปงามราวกับเซียน” คุณหนูมีความคิดเช่นนั้นในขณะที่คุณชายคิดต่างไป ผู้แซ่เติ้งสงสัย “ไปเรือนหมิงอัน? คงไปทักทายองค์ชายสี่กระมัง”“พวกเขาสนิทสนมกันหรือ?”“แน่นอนอยู่แล้ว” คุณชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ข้ารู้มาว่าบิดาผู้ล่วงลับของอาจารย์ไป๋มู่เคยเป็นแม่ทัพใหญ่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์ชายสี่มาก่อน”“อ้อ...เช่นนี้นี่เอง”หลิ่งหลินเองก็ลุกขึ้นมามอง อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน นางเห็นเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ ผิวขาว ใบหน้าหล่อเหลาพอควร รูปร่างสูงยาวสมส่วน โดยรวมนับว่าสง่างามอยู่มาก แต่หากเทียบกับจ้าวหมิงอวี่ที่อายุน้อยกว่า...อืม คิดว่าภายหน้าเมื่อจ้าวหมิงอวี่อายุมากขึ้นเทียบเท่าไป๋มู่เจ๋อยามนี้ ย่อมรูปงามกว่าถึงห้าส่วน ในสายตาของหลิ่งหลิน ไม่ว่าใครหล่อเหลาปานใด แต่จ้าวหมิงอวี่รูปงามที่สุดเรือนหมิงอันฟ่านเจิ้งลุกขึ้นมายืนขวางทันทีเมื่อเห็นผู้มาเยือนจ้าวหมิงอวี่ที่ยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ริมหน้าต่างปรายตามองนิ่งๆ “ให้เขาเข้ามา”ฟ่านเจิ้งจึงค้อมศีรษะหลบไปยืนด้านข้างอย่างสงบไป๋มู่เจ๋อมิได้ถือสาท่าทางโอหังของฟ่านเจิ้งแม้แต่นิด เพราะเขาจะโอหังยิ
“ข้าอยากอุ่นเตียง”“จ่ะ เจ้า” ฟ่านเจิ้งอึ้ง “ฮึ! ข้าจะไปเผาเตียงซะ”“พี่ใหญ่ใจร้าย”สองพี่น้องเถียงกันไปมาแทบจะตีกันเหมือนทุกวัน ครั้นถึงคราวจริงจังก็กลับมาสุขุม“องค์ชาย มีรายงานเข้ามาว่าไป๋มู่เจ๋อเสนอชื่อเข้ามาประจำในตำหนักหมิงเฟิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจิ้งว่า “บางที สวีหลิงเยี่ยนอาจรอเวลานี้” “ใช่ๆ ขอเพียงฝ่าบาทเห็นชอบ ย่อมเปิดทางให้เสือเข้ามาจับเหยื่อตัวอวบอ้วนถึงที่นี่” ฟ่านเจินเริ่มกังวล “องค์ชาย พวกเราหาวิธียับยั้งได้หรือไม่เพคะ”จ้าวหมิงอวี่ไม่รู้คิดอะไรอยู่ แววตาถึงได้เยือกเย็นนัก เขาเอ่ย “เมื่อเสด็จพ่อทรงรื่นรมย์กับการลับคมมีดให้โอรส ผู้ใดควรมาก็มาเถอะ”ฟ่านเจินว่า “องค์ชาย ให้หม่อมฉันเข้าไปแฝงตัวในเรือนพักของนางเถิด จะได้คอยจับตาดูตลอดเวลา พวกเขาต้องติดต่อกันแน่เพคะ”จ้าวหมิงอวี่โบกมืออนุญาตด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เขาไม่อยากคุยเรื่องสวีหลิงเยี่ยนอีก นางอาจจะเหมือน ...แต่ก็เป็นเพียงบุคลิกนิสัย ถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่คนเดียวกัน...ในชั้นเรียนวันนี้เรียกดวงตาของบรรดาศิษย์หญิงให้กระจ่างพร่างพราวปานนั้นเพราะอะไรน่ะหรือ?“เพราะมีอาจารย์คนใหม่เข้ามาน่ะสิ นามว่าอะไรนะ ไป๋







