สายลมอุ่นของปลายฤดูใบไม้ผลิยังคงพัดเอื่อยเหนือลานหน้าโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น กลีบดอกไม้ยังร่วงหล่นประปราย เฉินอี้เพิ่งจัดเสื้อคลุมของตนกลับเข้าที่ อู๋เป่ยเดินเข้ามาใกล้บ่าวหนุ่ม ในมือของเขาถือซองผ้ากำมะหยี่สีเทาปักลายดาบไขว้สีเงินที่ด้านหน้า“เฉินอี้” อู๋เป่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มแน่น “ข้ามาที่นี่ นอกจากจะมาสังเกตการณ์และชี้ขาดการประลองแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ตั้งใจนำมาให้เจ้าโดยเฉพาะ” “หรือว่า...” เฉินอี้พยายามถามกลับ พร้อมเลิกคิ้วเล็กน้อยอู๋เป่ยไม่ตอบทันที แต่คลี่ซองผ้าออก เผยให้เห็นตราทองคำรูปดาบคู่ไขว้บนโล่หกเหลี่ยมซึ่งประทับตราสำนักคุ้มภัยเอาไว้ ชิ้นส่วนโลหะนั้นไม่ใหญ่นัก แต่วาววามและหนักแน่นจนสัมผัสได้ถึงอำนาจในสัญลักษณ์“นี่คือตราสัญลักษณ์พันธมิตรกิตติมศักดิ์แห่ง สำนักคุ้มภัยเทียนอวิ๋น” อู๋เป่ยกล่าวพลางส่งมันให้กับบ่าวหนุ่ม เขาวางตราลงในฝ่ามือของเฉินอี้อย่างช้า ๆ“มิใช่ทุกคนจะได้รับมัน มันเป็นสิ่งที่แสดงว่า เจ้าคือมิตรผู้สำนักเรายอมรับ ด้วยการกระทำ คุณธรรมน้ำมิตร ไม่ใช่ด้วยคำพูดหรือเงินทอง”“จากนี้ หากเจ้าหรือคนในโรงเตี๊ยมของเจ้าเดือดร้อนประการใด ให้นำตรานี้ไปยังสำนักคุ้มภัยเท
เสียงลมยามสายพัดเอื่อยไปทั่วลานเบื้องหน้าโรงเตี๊ยม กลีบดอกไม้บางหลุดร่วงลงจากกิ่งไม้ ดั่งรับรู้ว่าศึกสำคัญอีกฉากกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเฉินอี้ยืนนิ่ง สายตาสงบ เผชิญหน้ากับเถียนจั่วผู้เกร็งนิ้วเรียวยาวเป็นกรงเล็บ พลังสีเหลืองทองจากลมปราณจากสาหุบเขาเฉินหง แผ่ออกจากฝ่ามือของเขาแปรปรวนดั่งกรงเล็บอินทรีขยุ้มเหยื่อขณะนี้เสียงฝีเท้าของคนรอบข้างเงียบลงหมด แม้แต่เสียงลมหายใจของเสี่ยวซุ่ยที่ยืนอยู่ใกล้รั้วก็แผ่วเบาราวกับไม่กล้ารบกวนบรรยากาศ“เตรียมใจไว้ให้ดี เจ้าหนุ่ม!” เถียนจั่วตะโกนก่อนจะพุ่งเข้าใส่เฉินอี้ด้วยความเร็วราวสายฟ้า กรงเล็บอินทรีแหวกอากาศจนสายลมยังเสียงหวีดทว่าเฉินอี้ไม่ถอยหนี เขาหายใจอย่างสงบ ย่างก้าวเบาและนุ่มนวล ร่างหมุนออกด้านข้างเป็นเสี้ยววงกลม ซึ่งเป็นการก้าวเท้าอย่างวิชา “ปทุมยาตรา” ท่วงท่าที่เคยใช้เบี่ยงแรงปะทะได้ในครั้งก่อน ๆ นั่นทำให้กรงเล็บที่แทงเข้ามาต้องพลาดเป้าทว่าเถียนจั่วเคยโดนเล่นงานด้วยการก้าวเท้าแบบนี้มาก่อน เมื่อเขาแทงแนวตรงพลาด เขาก็หมุนตัวพร้อมฟาดข้อมือทแยงลง เปลี่ยนทิศทางเป็นตะปบแนวเฉียง จะเล่นงานเฉินอี้ให้ได้แต่เฉินอี้กลับยิ้มบาง ๆ แล้วพลิกฝ่ามือขวา รับข้อม
เสียงฝีเท้าหนักแน่นของเฉินอี้ดังขึ้นเมื่อเขาก้าวเข้าไปในโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยความเงียบงันที่แฝงแรงกดดัน ทั้งแขกประจำและบ่าวในร้านต่างก็แอบมองเขาด้วยสายตาเป็นกังวล ขณะที่ชายหนุ่มชุดดำสามคนกำลังนั่งอยู่ใกล้ประตู ส่งสายตาคมเข้มจ้องมาอย่างไม่ปิดบังเจตนาเมื่อเฉินอี้หยุดยืนอยู่ตรงกลางห้อง วางตะกร้าสัมภาระลง เถียนจั่วก็ลุกขึ้นยืนตรง ฝ่ามือของเขาทาบที่ด้ามกระบี่ตรงเอวตามสัญชาตญาณ แม้รู้ว่าห้ามใช้ เพราะอู๋เป่ยที่นั่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลคงไม่ยินยอม“ในที่สุดเจ้าก็กลับมา” เถียนจั่วเอ่ยเสียงเย็น “วันนี้ข้ามาเพื่อสะสางเรื่องวันก่อน ที่เจ้าบังเอิญทำข้าซวนเซ ให้มันรู้ไปว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น ดูสิว่าเจ้าจะแน่ได้แค่ไหน หากต้องเจอกับเราสามคนพร้อมกัน”“ถ้าพวกท่านคิดว่าจำเป็นต้องต่อสู้ ข้าก็จะรับคำท้า...” เฉินอี้พูดพลางมองเขานิ่ง ๆ ไม่ได้แสดงความหวั่นไหวแม้แต่น้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ ๆ “แต่ไม่ว่าข้าจะชนะหรือพ่าย ขอให้ท่านทราบว่า โรงเตี๊ยมของเราไม่ใช่พื้นที่สำหรับการวิวาท โปรดอย่ามาต่อตีกันในโรงเตี๊ยมอีก จะได้หรือไม่” “ก็ได้! ด้วยเกียรติของหุบเขาเฉินหง ไม่ว่าข้
แสงแดดยามสายเริ่มทอลงมาปกคลุมลานหน้าโรงเตี๊ยมอย่างอ่อนโยน สายลมเอื่อยพัดให้เศษใบไม้แห้งปลิววนรอลานกว้างที่เคยเป็นเวทีประลองชั่วคราวของเฉินอี้ เสี่ยวซุ่ยนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีรอยแตกจากท่าฝ่ามือคลื่นสวรรค์ไปวันก่อน มือทั้งสองของเสี่ยวซุ่ยกำชายเสื้อแน่น ใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำจนกระทั่งเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากทางเดิน เงาของบุรุษผู้หนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้นเบื้องหน้านาง ก่อนร่างจริงจะตามมา“อ้าว เสี่ยวซุ่ย มาทำอะไรตรงนี้?” เฉินอี้ร้องขึ้นเบา ๆ เมื่อเห็นนางนั่งดักรออยู่หน้าร้าน แทนที่จะเป็นในร้าน ตอนนี้ชายหนุ่มสะพายตะกร้าใบโตที่มีของที่ได้จากการจ่ายตลาดไว้ข้างหลัง ใบหน้าเปื้อนเหงื่อเล็กน้อยจากแดดอ่อน แต่สายตายังเต็มไปด้วยความอาทร“ท่านกลับมาแล้ว…” เสี่ยวซุ่ยลุกขึ้นยืน มือกำชายเสื้อแน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะพูดอย่างรีบ ๆ “ข้ามีอะไรจะให้ดูเจ้าค่ะ... ก่อนที่ท่านจะเข้าไปในโรงเตี๊ยม”“อะไรหรือ?” เฉินอี้เอียงคอเล็กน้อย มองนางอย่างสงสัย เสี่ยวซุ่ยไม่ตอบ แต่ถอยออกไปยืนกลางลาน หายใจเข้าเงียบ ๆ แล้วเริ่มขยับร่างกายฝ่ามือซ้ายของเสี่ยวซุ่ยเหยียดออกเบื้องหน้า ฝ่ามือขวากางป้องปลายคาง เท้าซ้ายก้าวไปด้านหน
รุ่งเช้าหลังเจ้านายทั้งสองออกเดินทางไปประมาณห้าวัน ท้องฟ้ายังเจือสีหมอกอ่อน เสียงไก่ขันแว่วจากท้ายหมู่บ้าน เสี่ยวซุ่ยตื่นขึ้นแต่เช้าเช่นเคย ล้างหน้าที่บ่อน้ำด้านหลังโรงเตี๊ยม ก่อนจะเข้าไปช่วยเตรียมของในครัวหลังจากสามีภรรยาเจ้าของกิจการได้สั่งงานแจกแจงแก่บ่าวทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว โรงเตี๊ยมตอนนี้ก็อยู่ภายใต้ความดูแลขอ พี่หลิน หญิงวัยกลางคนผู้เคยทำงานในจวนใหญ่มาก่อน นางเป็นใหญ่รองเพียงสามีภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยมเท่านั้น อีกทั้งยังได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการงานครัวหลักในยามที่เจ้านายไม่อยู่“เสี่ยวซุ่ย ไปเรียกเจ้าหนุ่มเฉินอี้ให้ไปจ่ายตลาดที ข้าจะเตรียมของไว้ทำซุปเงาะเห็ดหลินจือตามที่คุณชายอวี้ชอบเสียหน่อยก่อนเขากลับมา” พี่หลินบอกขณะจัดเตรียมเครื่องปรุงในห้องครัว พลางส่งกระดาษจดรายการให้เสี่ยวซุ่ยบ่าวหญิงผู้เคยเป็นเซียนพยักหน้ารับคำ แล้วเดินออกไปยังเรือนเล็กด้านหลังที่เป็นที่พักพวกบ่าว เพื่อจะไปตามเฉินอี้ แต่ก็พบเขาที่ลานหลังโรงเตี๊ยม กำลังกวาดลานไป ก้าวหมุนท้าวทบทวนวิชนยุทธ์ไป นางก็กล่าวขึ้นอย่างประหม่า“พี่หลินเรียกท่านให้ไปตลาดเจ้าค่ะ...” เสี่ยวซุ่ยร้องบอก เฉินอี้ก็หันมามอง พร้อมยิ้มบ
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นนอกห้องหนังสือในยามสาย ขณะซูหรงยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะ กลิ่นหมึกจาง ๆ จากพู่กันยังคงอวลอยู่ในอากาศ แต่ก็ต้องจางลงไปเมื่อบานประตูไม้เลื่อนออกอย่างนุ่มนวล จากนั้นชายหนุ่มผู้สวมชุดผ้าฝ้ายเรียบสีเทาเดินเข้ามาอย่างเงียบงัน“เจ้าคงกำลังครุ่นคิดอยู่ล่ะสิ”เสียงทุ้มนุ่มของอวี้ไป๋เฉินที่เปิดประตูเข้ามาเอ่ยขึ้น ทำให้ซูหรงเงยหน้าขึ้นจากสมุดตรงหน้า“ใช่ ข้ากำลังครุ่นคิดตรึกตรองอะไรหลายอย่าง” นางตอบเบา ๆ “โดยเฉพาะเรื่องที่ข้าคิดว่าข้าเข้าใจมันดีแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า... ไม่ใช่เลย”อวี้ไป๋เฉินยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม เขาก้าวเข้ามานั่งฝั่งตรงข้าม หยิบถ้วยชาเปล่ามารินน้ำร้อนอย่างคุ้นเคย“ส่วนข้าก็มีเรื่องหนึ่งที่คิดอยู่ ตอนนี้ข้าว่าเฉินอี้เก่งขึ้นมาก ในด้านการต่อสู้ เขาเอาชนะคนจากสำนักคุ้มภัยที่เป็นระดับหัวหน้าหน่วยได้ ฝีมือไม่ธรรมดาเลย ต่อไปคงฝากร้านได้ถ้ามีใครจะมาก่อเรื่อง” เขาเอ่ยขณะมองน้ำชาอู่หลงที่หมุนวนในถ้วยซูหรงได้ฟังก็เงียบไปอึดใจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าบ่าวหนุ่มผู้นั้น จะสามารถใช้ท่วงท่าระดับนั้นในการต่อสู้ได้อย่างไร ทั้