เสียงหัวเราะของพอลดังขึ้นในบ้านพี่เข้ม คลอไปกับเสียงพูดคุยของลินดาและข้าวหอมที่กำลังช่วยกันจัดเตรียมอาหารเย็น พี่เข้มเองก็ดูผ่อนคลายกว่าที่เคย ขุนมองดูทุกคนด้วยความรู้สึกที่ยังปรับตัวไม่ทัน เขาคุ้นชินกับการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมานาน การได้เห็นบรรยากาศอบอุ่นแบบนี้ทำให้ใจเขาเบาลง แต่ก็ยังมีความรู้สึกแปลกแยกอยู่บ้าง
ในขณะที่ข้าวหอมกำลังจะเดินไปหยิบจานเพิ่ม สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ตรงหน้าต่างบานหนึ่ง เธออมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครมาแอบมอง “เดือน!” ข้าวหอมเอ่ยเรียกชื่อขึ้นเบา ๆ พร้อมส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นและเป็นกันเองให้ เดือน สะดุ้งเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าข้าวหอมจะเห็น เธอทำท่าจะหันหลังกลับ แต่ก็เปลี่ยนใจ เมื่อถูกจับได้แล้วก็ไม่มีเหตุผลจะต้องหลบอีก เธอค่อย ๆ เดินออกมาจากเงาต้นไม้แล้วมายืนอยู่หน้าต่าง ส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้ข้าวหอม ลินดา ที่กำลังช่วยจัดจานอยู่เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกของข้าวหอม เธอเห็นเดือนยืนอยู่ตรงนั้น ก็เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ เพราะเธอไม่เคยเห็นเด็กสาวคนนี้มาก่อนเลย “ใครเหรอข้าวหอม” ลินดาถามด้วยความสงสัย ข้าวหอมยิ้มกว้าง “อ๋อ นี่น้องเดือนค่ะ บ้านอยู่ติดกับไร่เรานี่เอง” เธอหันไปทางเดือน “นี่ลินดาเพื่อนพี่เข้มกับพอลค่ะ” เดือนยกมือไหว้อย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะพี่ลินดา” ลินดายิ้มรับ “สวัสดีจ้ะ ไม่เคยเห็นเลยนะ” ในขณะที่ข้าวหอมกำลังจะแนะนำเดือนให้รู้จักกับคนอื่น ๆ ในห้อง พอล ก็หันมาพอดี เขามองเดือนด้วยความสงสัยไม่ต่างจากลินดา เพราะเขาเองก็เพิ่งรู้จักกับพี่เข้มและลินดาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ตอนที่เข้มเริ่มขยายกิจการลำไยและร่วมมือกับไร่ดอกไม้ เขาไม่ได้รู้จักคนในระแวกนี้มาก่อน และเพิ่งเคยเห็นเดือนเป็นครั้งแรก “สวัสดีครับ” พอลเอ่ยทักอย่างสุภาพ จู่ ๆ เสียงทุ้มต่ำของ พี่เข้ม ที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็ดังขึ้น เขาหันไปมองเดือนที่ยืนอยู่หน้าต่าง แล้วเอ่ยกับข้าวหอมด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่พอให้ทุกคนได้ยิน “เดือนโตเป็นสาวแล้วนะข้าวหอม” คำพูดของพี่เข้มไม่ได้เป็นการแซวเสียงดัง แต่เป็นข้อสังเกตที่ทำให้ทุกคนหันมามองเดือนอีกครั้ง เดือนถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย เธอเหลือบมองไปที่ ขุน อย่างรวดเร็ว ขุนที่นั่งนิ่งมาตลอดจู่ ๆ ก็ชะงักไปเล็กน้อย รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนใบหน้าเมื่อครู่จางหายไปเล็กน้อย แววตาของเขาดูซับซ้อนขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของพี่เข้ม เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ก้มหน้าลงมองจานข้าวในมือ แต่หูของเขากลับตั้งใจฟังทุกบทสนทนา ลินดาที่ได้ยินคำพูดของพี่เข้มก็หันมามองเดือนด้วยรอยยิ้มที่แฝงความสนใจ เธอดูแปลกใจเล็กน้อยกับข้อมูลที่ได้ยินว่าเดือนโตขึ้นมาก แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ “หนูขอตัวก่อนนะคะ” เดือนรีบพูดตัดบท เธอรู้สึกเขินจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่บ้านของเธอเองอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เสียงพูดคุยยังคงดังแว่วมาตามลม ขุนรู้สึกถึงสายตาของ เดือน ที่แอบมองมาจากหน้าต่างบ้านของเธอตอนที่ข้าวหอมทัก และเขาก็เห็นแววตาเขินอายของเธอเมื่อพี่เข้มพูดถึงเรื่องที่เธอโตเป็นสาว แต่ขุนเลือกที่จะนิ่งเฉย เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับเดือนอย่างไรดี หลังจากที่เขาหายไปนานถึงเจ็ดปี คืนนั้น หลังจากพอลและลินดากลับไป บ้านของพี่เข้มก็กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ขุนช่วยพี่เข้มเก็บของเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวกลับไปพักผ่อนในห้องนอนของตัวเอง เขานอนไม่หลับ ความคิดถึงเดือนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว รุ่งเช้า ขุนตื่นขึ้นมาด้วยความตั้งใจบางอย่าง หลังจากทานอาหารเช้ากับพี่เข้มและข้าวหอมอย่างเงียบ ๆ ขุนก็ขอตัวออกไปเดินเล่นในไร่ลำไย เขาเดินเลียบไปตามแนวต้นลำไยที่คุ้นเคย จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่เป็นแนวรั้วติดกับบ้านของเดือน เขาเห็นเดือนกำลังรดน้ำต้นไม้เล็ก ๆ หน้าบ้านอย่างเพลิน ๆ แสงแดดยามเช้าสาดส่องต้องร่างเธอ ทำให้เดือนดูงดงามราวกับภาพวาด ขุนสูดหายใจเข้าลึก เขาตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะต้องเข้าไปคุยกับเธอ “เดือน…” ขุนเอ่ยเรียกชื่อเธอเบา ๆ เดือนสะดุ้งสุดตัว เธอหันขวับมามองขุนด้วยความตกใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว น้ำที่รดต้นไม้อยู่หกเลอะพื้นเล็กน้อย “พี่…พี่ขุน” เดือนเรียกชื่อเขาเสียงแผ่ว ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย ขุนก้าวเท้าเข้ามาใกล้รั้วอีกนิด “พี่…มาคุยด้วยได้ไหม” น้ำเสียงของเขาดูประหม่าเล็กน้อย ไม่ต่างจากเธอ เดือนพยักหน้ารับช้า ๆ เธอดับก๊อกน้ำ แล้ววางบัวรดน้ำลงข้างตัว ก่อนจะเดินเข้ามาหารั้วอย่างช้า ๆ หัวใจของเธอเต้นระรัว ไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไร ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างคนทั้งสอง มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้เบา ๆ และเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว “สบายดีไหม” ขุนเริ่มต้นประโยคด้วยคำถามง่าย ๆ คำถามที่เขาอยากถามมานานแสนนาน เดือนพยักหน้า “สบายดีค่ะ พี่ขุนล่ะคะ…สบายดีไหม” ขุนพยักหน้าเช่นกัน “ก็…สบายดี” เขาหลบสายตาไปเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาเดือนตรง ๆ “พี่…ขอโทษนะที่หายไปนาน” คำขอโทษที่หลุดออกมาจากปากของขุนอย่างกะทันหัน ทำให้เดือนรู้สึกจุกในอก น้ำตาเริ่มเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง เธอส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ…เดือนเข้าใจ” “เข้าใจเหรอ” ขุนถามเสียงแผ่ว แววตาของเขาดูเจ็บปวด “เข้าใจอะไร” เดือนเงยหน้าขึ้นสบตาขุน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งคิดถึง เสียใจ และเข้าใจ “เดือนเข้าใจว่าพี่ขุนคงมีเหตุผลของพี่ขุน…ที่ต้องไป” ขุนมองเดือนนิ่งนาน เขาเห็นความเข้าใจและความบริสุทธิ์ใจในแววตาของเธอ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก “แล้ว…ทำไมพี่ขุนถึงกลับมาคะ” เดือนถามต่อ คำถามนี้เป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่เธอรอคอยคำตอบมาตลอดเจ็ดปี ขุนหลับตาลงชั่วครู่ ภาพอดีตมากมายผุดขึ้นมาในหัว ทั้งชีวิตที่โดดเดี่ยวในกรุงเทพฯ เรื่องราวที่โดนหลอกให้กู้เงิน และคืนที่เขายืนอยู่ริมต้นลำไย มองดูแม่จากไป “พี่…” ขุนเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง สบตาเดือนตรง ๆ “พี่แค่…อยากกลับมาที่นี่” คำตอบนั้นไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่านั้น แต่แววตาที่เจ็บปวดของขุนกลับทำให้เดือนรู้สึกถึงบางอย่างที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายได้ “เดือนดีใจนะคะ…ที่พี่ขุนกลับมา” เดือนพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ไร่ลำไยดูเหงามากเลยค่ะ…ถ้าไม่มีพี่ขุน” รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของขุนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่เขากลับมาถึงไร่ลำไย รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนและอบอุ่น เหมือนรอยยิ้มที่เดือนเคยจำได้เมื่อครั้งยังเด็กเสียงฝนพรำเบา ๆ ในวันนั้นถูกกลบด้วยเสียงฝีเท้าร้อนรนของขุน เขาวิ่งเข้าออกหน้าห้องคลอดด้วยใบหน้าเครียดจัด มือที่เคยมั่นคงสั่นน้อย ๆ อย่างห้ามไม่ได้ “ใจเย็นนะขุน…” พี่ลินดาวางมือบนไหล่ พยายามปลอบ แต่ดวงตาคมก็ยังจับจ้องประตูบานนั้นอย่างไม่กะพริบ ชั่วเวลาที่เหมือนเป็นนิรันดร์ ในที่สุดเสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจนก็ดังลอดออกมา เสียงร้องแหลมเล็กของทารกแรกเกิด น้ำตาที่ขุนไม่เคยคิดว่าจะหลั่งง่าย ๆ กลับเอ่อคลอทันทีที่หมอเปิดประตูออกมา “ยินดีด้วยครับ… คุณพ่อ” เขาแทบไม่รอคำอธิบาย รีบก้าวเข้าไป เห็นเดือนนอนอ่อนแรงอยู่บนเตียง ผมเปียกชื้นด้วยเหงื่อ แต่รอยยิ้มบาง ๆ ที่มอบให้เขากลับงดงามที่สุดในชีวิต “พี่ขุน… เรามีลูกแล้วนะคะ” เสียงเธอเบาจนแทบเป็นกระซิบ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปจับมือเธอแน่น ก่อนจะก้มลงจุมพิตหน้าผากด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรัก “เก่งที่สุดแล้วเดือน… ขอบคุณนะที่ให้พี่ได้เป็นพ่อ” พยาบาลอุ้มก้อนน้อยห่อผ้าเข้ามา เด็กน้อยตัวแดงจิ๋วส่งเสียงร้องแผ่ว ๆ เมื่อถูกวางลงบนอกแม่ เดือนหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ขุนนั่งข้าง ๆ มองภาพนั้นด้วยแววตาสั่นระริก เหมือนได้เห็น ความฝันของทั้งชีวิต กลายเป็นจริง
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ้าม่านไม้ไผ่เข้ามาในห้องพักเล็ก เดือนขยับตัวจะลุกขึ้นตามปกติ แต่ทันทีที่ยืนขึ้น ร่างบางก็เซไปเล็กน้อย ความเวียนศีรษะแล่นเข้ามาอย่างกะทันหัน“อ๊ะ…” เธอเผลอร้องเบา ๆ มือคว้าขอบเตียงไว้แน่นขุนที่เพิ่งสวมเสื้อเชิ้ตพอดี รีบเข้ามาประคองทันที “เดือน! เป็นอะไรครับ ทำไมหน้าซีดแบบนี้”หญิงสาวยิ้มจาง ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่เวียนหัวนิดหน่อย”ในครัว พี่ไหมกำลังตั้งหม้อข้าวต้มอ่อน ๆ ไว้สำหรับแขกที่เพิ่งตื่น เสียงน้ำเดือดเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นหอมอบอวลของข้าวสุกใหม่ แต่สำหรับเดือน กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพียงแค่กลิ่นลอยมาแตะจมูก เธอรีบเอามือปิดปาก สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที“พี่ขุน… หนูเหม็นกลิ่นข้าวต้มจังเลย”ขุนตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ความตกใจแล่นวาบผ่านใบหน้าคม “หรือว่า…” เขาเอื้อมมากุมมือเธอแน่นขึ้น สายตาเต็มไปด้วยทั้งห่วงใยและความตื่นเต้นที่ยังไม่กล้าพูดออกมาเสียงพี่ไหมดังแทรกขึ้นจากครัว “หนูเดือน ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ เดี๋ยวพี่ตักข้าวต้มให้นะ กินอุ่น ๆ จะได้ไม่เวียนหัว”แต่เดือนเพียงส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปซบอกขุนด้วยความอ่อนแรง ขุนกอดร่างบางไว้แน่น พลางมองออกไปนอกหน้าต่
หนึ่งเดือนหลังงานแต่ง บ้านไร่ในฝันโฮมสเตย์ยังคงอบอวลด้วยความสุข แขกที่แวะมาพักทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พี่ไหมกับพี่นิ่มก็ทำงานได้ดี รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเธอทำให้ไร่เล็ก ๆ แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นเช้าวันนั้น ขุนลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางอ้อมกอดอุ่น ร่างเล็กของเดือนซุกแนบอยู่ข้าง ๆ ราวกับยังไม่อยากลุกจากเตียงไม้ที่ทั้งคู่ช่วยกันจัดแต่งเมื่อคราวเริ่มเปิดบ้านพักใหม่ ขุนก้มลงหอมแก้มภรรยาเบา ๆ จนเธอสะดุ้งยิ้มเขิน ๆ“พี่ขุน แกล้งหนูแต่เช้าเลยนะคะ”“ก็เมียพี่น่ารักนี่นา” เขาตอบเรียบ ๆ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความรักทั้งคู่ลุกขึ้นมาช่วยกันทำอาหารเช้าง่าย ๆ ข้าวต้มหม้อเล็กกับผักสดที่เด็ดมาจากสวนหลังบ้าน เสียงหัวเราะดังเบา ๆ เมื่อเดือนทำขิงหั่นบางเกินไป ขุนเลยแอบแซวว่า “นี่เมียพี่ตั้งใจหั่นให้พี่กินทั้งแปลงหรือเปล่า”หลังมื้อเช้า ขุนกับเดือนเดินเล่นรอบไร่ ลมเช้าพัดกลิ่นดอกไม้จากไร่เรือนกระจกของพี่ลินดามาแตะจมูก ขณะที่ด้านไกลเห็นแขกกลุ่มหนึ่งนั่งจิบกาแฟอย่างสบายใจ“พี่ขุน…” เดือนเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ถ้าวันหนึ่งมีเสียงเด็กวิ่งเล่นในไร่ คงจะดีไม่น้อยนะคะ”ขุนหยุดเดิน หันมามองใบหน้าของภรรยาที่แดงระเ
แสงอรุณสาดลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ ขุนลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมสัมผัสอุ่นจากร่างเล็กที่ยังซุกอยู่ในอ้อมกอด รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าคมเมื่อได้เห็นเดือนหลับตาพริ้ม แก้มแดงระเรื่อจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืน“ตื่นได้แล้วคนสวย…เช้านี้เราต้องรีบกลับบ้าน เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะเอาใหญ่” ขุนก้มลงกระซิบเบา ๆ พลางกดจูบหน้าผากเธอเดือนขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย พอได้สติ สีหน้าก็แดงจัด รีบคว้าผ้าห่มมาคลุมกายพลางเบือนหน้าหนี“อายจังเลยพี่ขุน…เมื่อคืนเรา…”“เมื่อคืนเดือนชอบนี่นา” เขายิ้มอบอุ่น ก่อนจะช่วยประคองเธอลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยทั้งคู่รีบเก็บสิ่งของและเดินกลับบ้านด้วยหัวใจเต้นแรง ยิ่งใกล้ถึงเรือนหลังเล็กของแม่เดือน ความเขินก็ยิ่งทวีขึ้น เพราะรู้ดีว่าไม่นานนัก ทุกคนในไร่จะมาหาคู่แต่งงานหมาด ๆ ในเช้าวันนี้เดือนกระซิบเบา ๆ พลางจับมือเขาแน่น “พี่ขุน…อย่าปล่อยมือหนูนะ”ขุนหันมายิ้ม ดึงมือเธอมากุมแน่นกว่าเดิม “ไม่มีวันปล่อย…เราจะกลับไปเริ่มต้นบ้านของเรา…ด้วยกัน”ทั้งสองเดินเคียงกันไปใต้แสงเช้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข แม้ยังมีความเขินอาย แต่ก็อบอุ่นเหลือเกินไม่นานหลังจากทั้งคู่กลั
ใต้แสงจันทร์นวล เสื่อผืนบางถูกปูลงบนพื้นหญ้านุ่ม ๆ ข้างลำต้นไม้ใหญ่ที่คุ้นตา ลมกลางคืนพัดเอื่อย เสียงจักจั่นดังเป็นจังหวะคล้ายเสียงขับกล่อม เดือนค่อย ๆ นั่งลงบนตักพี่ขุน แขนเล็กโอบรอบต้นคออย่างเคยชิน แก้มกลมซบอยู่ใกล้ใบหน้าคมที่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ “เหนื่อยมั้ยพี่ขุน…ทั้งวันเลยนะ” เดือนเอ่ยเบา ๆ พลางเอียงหน้ามองตาเขา ขุนส่ายหัวช้า ๆ แขนใหญ่โอบกอดร่างเล็กไว้แน่น “ไม่เหนื่อยเลย…แค่ได้กอดหนูแบบนี้ ทุกอย่างก็หายไปหมดแล้ว” คำพูดเรียบง่ายทำให้หัวใจเดือนเต้นแรงขึ้นทันที เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างเขินอาย แต่ยังคงซุกตัวเข้าหาอ้อมแขนนั้นมากกว่าเดิม ขุนก้มลงหอมแก้มขาวเนียนอย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากผิวและเส้นผมของเธอลอยแตะปลายจมูกจนหัวใจเขาอุ่นวาบ เดือนยกมือแตะอกเขาเบา ๆ สบตาพร้อมรอยยิ้มละมุน “คืนนี้…ดีจังเลยพี่ ข้างนอกอาจจะเงียบ แต่หนูรู้สึกว่าหัวใจมันเต็มไปด้วยเสียงเพลง” ขุนหัวเราะในลำคอ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ริมฝีปากแตะขมับเธออย่างแผ่วเบา เดือนเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ขุน ดวงตากลมส่องประกายวาววับในเงาจันทร์ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาประกบริมฝีปากกับเขาอย่างแผ่วเบา รสจูบอุ่นร้อนค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้น
เวลาล่วงเลยจนเกือบบ่าย แสงแดดอ่อนคล้อยลงสาดผ่านต้นไม้ใหญ่ ลานไร่ที่เมื่อเช้ายังเต็มไปด้วยเสียงกลองยาวและความคึกคัก บัดนี้กลับอบอวลด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบา ๆ หลังพิธีเสร็จสิ้นขุนกับเดือนนั่งเคียงกัน มือทั้งคู่ยังคงกุมไว้แน่นบนตั่งที่ปูผ้าพื้นเมือง ข้อมือขาวมีสายด้ายผูกข้อมือที่ญาติผู้ใหญ่และเพื่อนบ้านร่วมอวยพร กลิ่นน้ำอบคละคลุ้งผสมกลิ่นดอกไม้สดรอบกายเสียงแซว เสียงอวยพรยังดังไม่ขาดสาย แต่สำหรับคนสองคนตรงกลางพิธีนั้น ราวกับโลกหมุนช้าลง เหลือเพียงความสุขเรียบง่ายที่เอ่อท่วมในหัวใจลินดายืนมองภาพนั้นอยู่ด้านข้าง รอยยิ้มสวยค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เธอรีบยกมือเช็ด แต่ก็ไม่อาจหยุดได้ พอลที่ยืนข้าง ๆ เห็นเข้าก็เอื้อมมือมากุมไหล่ พลางเอ่ยเสียงนุ่ม “ร้องทำไมกัน…วันนี้มันเป็นวันดีนะ”ลินดาส่ายหน้าเบา ๆ หัวเราะทั้งน้ำตา “ก็เพราะมันดีไงพอล…ฉันเลยอดไม่ได้…เห็นเดือนกับขุนแล้วมันเหมือนฝันที่เป็นจริง เหมือนเราเองก็ได้ย้อนกลับมารู้ว่าความรักที่แท้จริงมันเป็นยังไง”แสงแดดบ่ายคล้อยลอดผ่านม่านใบไม้ลงมาส่องให้ภาพทั้งหมดเปล่งประกายราวกับถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่น งานวิวาห์กลางไร่ในฝัน ที่