หลังจากวันนั้นที่รั้วบ้าน ขุน และ เดือน ก็เริ่มมีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น ขุนมักจะเดินผ่านมาทางบ้านของเดือนในช่วงเช้าหรือบ่าย และบางครั้งเดือนก็จะเห็นขุนนั่งอยู่ใต้ต้นลำไยใหญ่ที่ใกล้กับแนวรั้ว ทั้งคู่จะเริ่มบทสนทนาเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับสภาพอากาศ การทำไร่ หรือเรื่องราวทั่ว ๆ ไปในหมู่บ้าน
บทสนทนาของพวกเขาไม่ได้ลึกซึ้งเหมือนเมื่อก่อน แต่เต็มไปด้วยความพยายามที่จะเชื่อมโยงกันอีกครั้ง เดือนจะเล่าเรื่องชีวิตในไร่ของเธอให้ขุนฟัง ส่วนขุนก็จะตอบด้วยประโยคสั้น ๆ เกี่ยวกับงานที่เขาช่วยพี่เข้มทำในไร่ “พี่ขุนไม่ชอบในเมืองเหรอคะ” เดือนเคยถามในวันหนึ่ง ขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่บนม้านั่งไม้เก่า ๆ ใกล้รั้ว ขุนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ก็…ไม่เชิงไม่ชอบ มันแค่…ไม่เหมือนที่นี่” เดือนพยักหน้า เธอเข้าใจความรู้สึกนั้นดี “ที่นี่เงียบกว่าใช่ไหมคะ” “อืม…เงียบกว่าเยอะ” ขุนตอบ แต่แววตาของเขากลับดูหม่นลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงความเงียบนั้น พวกเขาต่างเติบโตขึ้นมาก เดือนไม่ใช่เด็กหญิงที่ไร้เดียงสาคนเดิมอีกแล้ว เธอเป็นหญิงสาวที่รู้จักเก็บซ่อนความรู้สึก และมีความเข้าใจในโลกมากขึ้น ส่วนขุนเองก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เคยสดใสและร่าเริง เขาผ่านประสบการณ์ที่ยากลำบากมามากมาย ทำให้เขากลายเป็นคนสุขุม เก็บตัว และไม่ค่อยแสดงออกถึงความรู้สึกภายใน คำพูดที่อยู่ในใจ ของแต่ละคนจึงยังคงถูกเก็บงำไว้ ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการถามถึงเหตุผลที่แท้จริงของการจากไปของขุน และไม่มีการทวงถามถึงคำสัญญาในวัยเด็กของเดือน ความสัมพันธ์ของพวกเขากลับมาเริ่มต้นใหม่บนพื้นฐานของความเงียบ และความเกรงใจที่เกิดขึ้นพร้อมกับระยะเวลาที่ห่างหายไปนาน มันเป็น ระยะห่างที่มองไม่เห็น ด้วยตาเปล่า แต่รับรู้ได้ด้วยหัวใจ เดือนสังเกตเห็นว่าขุนเปลี่ยนไปมาก เขามักจะใช้เวลาอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ไม่ได้ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ยังคงมีอยู่ในตัวเขา ยิ่งขุนเงียบมากเท่าไหร่ เดือนก็ยิ่งอยากรู้เรื่องราวของเขามากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ขุนเองก็สังเกตเห็นว่าเดือนเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่สวยงามและมีความมั่นคงในตัวเอง เขาชื่นชมในความสดใสที่ไม่เคยจางหายไปจากเธอ แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังคงมีกำแพงบางอย่างที่กั้นขวางเขาจากการเปิดเผยความรู้สึกทั้งหมด พวกเขาต่างวนเวียนอยู่ใกล้กัน คุยกันในเรื่องที่ไม่สำคัญ และมองหากันในยามที่อีกฝ่ายเผลอไผล ราวกับจะพยายามหาสะพานเชื่อมโยงความรู้สึกที่ซับซ้อนภายในใจของแต่ละคน คืนนั้น ท้องฟ้าเหนือไร่ลำไยดูจะมืดเป็นพิเศษ เมฆหนาทึบบดบังแสงจันทร์ ทำให้คืนนี้เงียบสงัดกว่าที่เคย แต่สำหรับ ขุน และ เดือน แล้ว มันเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและความรู้สึกที่ซับซ้อนจนยากจะหลับตาลง ขุน นอนอยู่บนเตียงในห้องของเขา พลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าจากการช่วยพี่เข้มทำงานมาทั้งวัน แต่จิตใจกลับไม่สงบ เขานึกถึงบทสนทนาเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเดือนเมื่อช่วงบ่าย และภาพของเธอที่โตเป็นสาวงดงาม แล้วภาพในวัยเด็กก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด เดือนตัวเล็ก ๆ ในชุดเปื้อนดิน ดวงตากลมโตเป็นประกาย เมื่อเธอยื่นดอกเข็มให้เขา แล้วพูดเสียงใสซื่อว่า "โตขึ้นหนูจะแต่งงานกับพี่ขุน!" คำสัญญานั้นที่เขาคิดว่าคงเป็นเพียงความไร้เดียงสาของเด็กตัวเล็ก ๆ กลับยังคงก้องอยู่ในหูของเขา แม้เวลาจะผ่านไปนานถึงเจ็ดปี เขายังจำรอยยิ้มสดใส และความมุ่งมั่นในแววตาของเดือนในวันนั้นได้ดี ขุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่รู้ว่าเดือนยังจำคำสัญญานั้นได้หรือไม่ หรือถ้าจำได้ เธอจะยังรู้สึกเหมือนเดิมหรือเปล่า หลังจากที่เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งเธอไว้ข้างหลังพร้อมกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียแม่ ความรู้สึกผิดเข้าจู่โจมหัวใจของขุน เขาไม่รู้ว่าเขาจะคู่ควรกับความรู้สึกบริสุทธิ์ของเดือนอีกต่อไปหรือไม่ ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง เดือน เองก็กำลังนอนมองเพดานห้องของเธออย่างเหม่อลอย แสงไฟสลัว ๆ จากโคมไฟข้างเตียงส่องให้เห็นเงาความคิดที่พาดผ่านใบหน้าของเธอ เธอคิดถึงรอยยิ้มบาง ๆ ของขุนในตอนกลางวัน คิดถึงเสียงทุ้มต่ำของเขาที่เรียกชื่อเธอ และแววตาที่เต็มไปด้วยความสุขุมอันยากจะหยั่งถึง แล้วความทรงจำในวัยเด็กก็ย้อนกลับมาเช่นกัน เดือนยังจำได้ดีถึงคำสัญญาที่เธอเคยให้ไว้กับเขาใต้ต้นลำไยใหญ่ เธอจำความรู้สึกมั่นใจในตอนนั้นได้ดีว่าเธออยากอยู่กับพี่ขุนตลอดไป เธอรู้ดีว่าขุนเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นแววตาที่ดูเหนื่อยล้า และความเงียบที่ปกคลุมรอบตัวเขา เดือนสัมผัสได้ถึงบาดแผลบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในใจของเขา และมันทำให้เธออยากจะเข้าไปปลอบโยน อยากจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เขาเผชิญมา คำสัญญาในวัยเด็กนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเดือนเสมอ มันเป็นเหมือนหลักยึดที่ทำให้เธอรอคอยเขามาตลอดเจ็ดปี เธอสงสัยว่าขุนยังจำมันได้ไหม หรือเขาจะลืมไปแล้ว คืนนั้น เดือนหลับตาลง ปล่อยให้ความคิดถึงและความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ไหลวนอยู่ในใจ เธอภาวนาให้พรุ่งนี้เช้า ความกล้าหาญจะเข้ามาหาเธอ เพื่อที่เธอจะได้บอกกับเขาว่าเธอไม่เคยลืมคำสัญญานั้นเลยบรรยากาศในบ้านของ พี่เข้ม เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองให้กับ บัณฑิตใหม่ อย่าง ขุนพอล และ ลินดา เดินทางมาร่วมงานด้วย พวกเขานำไวน์ชั้นดีและขนมเค้กมาเป็นของขวัญ ข้าวหอมช่วยจัดเตรียมอาหารเย็นชุดใหญ่ มีทั้งอาหารพื้นบ้านและอาหารที่ขุนชอบเป็นพิเศษโต๊ะอาหารถูกจัดวางไว้นอกชานบ้าน ใต้แสงไฟสลัว ๆ ที่ห้อยระย้าจากต้นไม้ใหญ่ เสียงดนตรีเบา ๆ คลอเคล้าไปกับเสียงพูดคุยและเสียงแก้วกระทบกันเดือน มาถึงพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เธอสวมชุดที่เรียบง่ายแต่ดูสง่างาม ดวงตาเป็นประกายเมื่อมองมาที่ขุน“ยินดีด้วยอีกครั้งนะคะพี่ขุน” เดือนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่จริงใจขุนยิ้มตอบ “ขอบคุณนะเดือน” เขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดเมื่อได้เห็นเธออยู่ตรงนี้ทุกคนนั่งล้อมวงกันที่โต๊ะอาหาร พี่เข้มรินไวน์ให้ทุกคน พอลยกแก้วขึ้น“ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ของเราด้วยนะขุน” พอลกล่าว “นายเก่งมากจริง ๆ”ทุกคนยกแก้วขึ้นชนกัน เสียง “ไชโย!” ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงลินดายิ้มให้ขุน “ดีใจด้วยนะคะขุน ที่ดิน 50 ไร่ที่พี่เข้มให้…อยู่ติดกับไร่ดอกไม้ของลินดาเลยนะ” เธอเอ่ยขึ้น “ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกได้เลยนะ”ขุนพยั
หลังจากวันนั้นที่คาเฟ่ ขุน ตัดสินใจที่จะกลับไปเรียนต่อในเมืองตามคำแนะนำของ พี่เข้ม แม้ในใจลึก ๆ จะมีความรู้สึกบางอย่างที่อยากจะอยู่ใกล้ เดือน และไร่ลำไย แต่เขาก็รู้ว่าการเรียนคือโอกาสสำคัญที่พี่ชายมอบให้ และเป็นสิ่งที่เขาเคยใฝ่ฝันมาตลอดขุนเดินทางกลับเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เขาทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนัก ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุดและห้องปฏิบัติการ ความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้รับทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขามองเห็นอนาคตที่สดใสขึ้นเรื่อย ๆ และตั้งใจว่าจะนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนา "บ้านไร่ในฝัน" ของเขาให้เป็นจริงตลอดช่วงเวลาที่ขุนเรียนอยู่ในเมือง เขาจะโทรศัพท์กลับมาคุยกับพี่เข้มและข้าวหอมเป็นประจำ เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบและข่าวคราวของไร่ลำไย และแน่นอนว่าเขามักจะแอบถามถึง เดือน เสมอเดือนเองก็ใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งและมีความสุขกับการทำงานที่คาเฟ่ดอกไม้ของ ลินดา เธอเติบโตเป็นหญิงสาวที่มั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังคงเฝ้ารอคอยการกลับมาของขุนเสมอเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว…ในที่สุด วันที่ ขุน รอคอยก็มาถึง วันรับปริญญา ของเขาพี่เข้มและข้าวหอมพร้อมด้วย ต้นฝัน ลูกสา
เสียงเรียกชื่อของ เดือน แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกทั้งใบของ ขุน หยุดนิ่ง ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ขุนเห็นความตกใจและแปลกใจในแววตาของเดือน ส่วนเดือนก็เห็นความรู้สึกบางอย่างที่เธออ่านไม่ออกในดวงตาของเขาลูกค้าหนุ่ม ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างก็หันมามองขุนด้วยความสงสัยเล็กน้อย เดือนที่ตั้งสติได้ก่อน รีบส่งยิ้มให้ลูกค้าพร้อมรับออเดอร์อย่างเป็นธรรมชาติ“พี่ขุนมาเมื่อไหร่คะ” เดือนถามขณะที่เธอกำลังชงกาแฟให้ลูกค้า มือของเธอดูคล่องแคล่ว แต่ขุนก็สังเกตเห็นว่ามันสั่นไหวเล็กน้อย“เมื่อวาน” ขุนตอบสั้น ๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เดือน ไม่ได้สนใจลูกค้าคนอื่น ๆ เลยเมื่อเดือนชงกาแฟเสร็จและส่งให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันมาเผชิญหน้ากับขุนอย่างเต็มที่“มาเที่ยวคาเฟ่เหรอคะ” เดือนพยายามยิ้มให้เขาอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นยังคงสวยงาม แต่ดูต่างไปจากรอยยิ้มสดใสในวัยเด็กอย่างสิ้นเชิง มันคือรอยยิ้มของหญิงสาวที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย“มาเยี่ยมหลาน” ขุนตอบ และในที่สุดเขาก็เดินเข้าไปยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ “พี่เข้มมีลูกสาวแล้ว ชื่อต้นฝัน”ดวงตาของเดือนเป็นประกายด้วยความยินดี “จริงเหรอคะ! ดีใจด้วยจังเล
หลังจากวันที่ ขุน จากไปอีกครั้งพร้อมกับคำสัญญาที่ยังค้างคา เดือน ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ เธอปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาจนหมดสิ้น ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดือนรู้ดีว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป และเธอจะต้องเข้มแข็งให้ได้เวลาผ่านไป เดือนเริ่มเติบโตเป็นสาวเต็มตัว ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นความคิดและจิตใจ เธอตัดสินใจที่จะไม่จมอยู่กับความเศร้า แต่จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เพื่อรอคอยวันที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ด้วยความช่วยเหลือของ พี่เข้ม และ ข้าวหอม เดือนได้มีโอกาสเข้าไปทำงานใน ไร่ดอกไม้เรือนกระจกของลินดา ซึ่งอยู่ทางเหนือของไร่ลำไย เธอเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เรียนรู้การดูแลดอกไม้ การจัดดอกไม้ และการบริหารจัดการคาเฟ่ดอกไม้ที่สวยงามลินดา มองเห็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นในตัวเดือน เธอเอ็นดูเดือนเหมือนน้องสาวคนเล็ก คอยสอนงาน ให้คำแนะนำ และเป็นที่ปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง ลินดาไม่ได้สอนแค่เรื่องงาน แต่ยังสอนเรื่องการใช้ชีวิต การจัดการกับอารมณ์ และการมองโลกในแง่บวก“ดอกไม้ก็เหมือนใจคนนะเดือน” ลินดาเคยพูดขึ้นในวันหนึ่งขณะที่ทั้งคู่กำลังจัดดอกไม้อยู่ในเรือนกระจก “ถ้าเราดูแลมันดี
วันเดินทางมาถึง ท้องฟ้าแจ่มใสผิดกับคืนก่อน ๆ ที่มืดครึ้ม ขุน ตื่นแต่เช้า จัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดลงในกระเป๋าเดินทางใบเก่า ความรู้สึกตื่นเต้นระคนสับสนยังคงวนเวียนอยู่ในใจหลังจากทานอาหารเช้าที่ ข้าวหอม เตรียมไว้ให้ ขุนก็เดินออกมาที่หน้าบ้าน พี่เข้ม ยืนรออยู่แล้ว ข้าง ๆ เขาคือรถกระบะคันเก่าของไร่ สีซีดจางไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังดูดีและใช้งานได้“รถคันนี้…พี่ให้แกเอาไปใช้ในเมือง” พี่เข้มพูดขึ้น น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “มันอาจจะเก่าหน่อย แต่ก็ยังวิ่งได้ดี ดูแลมันดี ๆ นะ”ขุนมองรถคันนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ เขาไม่คิดว่าพี่เข้มจะให้รถเขาไปใช้ในเมือง “ขอบคุณครับพี่”พี่เข้มวางมือบนไหล่น้องชาย “ไปถึงแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”ขุนพยักหน้า เขารับกุญแจรถมาจากพี่เข้ม ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ เตรียมตัวที่จะก้าวเข้าไปก่อนที่จะสตาร์ทรถ ขุนเหลือบมองไปยัง บ้านของเดือน ที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ แต่ในใจก็อดคิดถึงเธอไม่ได้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเสียบกุญแจและบิดสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์เก่า ๆ ดังกระหึ่มขึ้นมาใน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความคิดคำนึงถึงคำสัญญาในวัยเด็ก ขุน ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยังหนักอึ้ง แต่เขาก็พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมาช่วยงานในไร่ลำไยเหมือนเช่นเคยขณะที่ขุนกำลังช่วย พี่เข้ม ตัดแต่งกิ่งลำไยอยู่กลางไร่ พี่เข้มก็วางกรรไกรลง เขามองไปยังขุนด้วยแววตาที่จริงจังกว่าปกติ“ขุน…แกอยากกลับไปเรียนไหม” พี่เข้มเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันขุนชะงักมือที่กำลังตัดกิ่งไม้ เขาเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าพี่เข้มจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา“เรียนเหรอครับพี่” ขุนทวนคำถามพี่เข้มพยักหน้า “ใช่…พี่รู้ว่าแกอยากเรียนมาตลอด พี่…พี่ขอโทษนะที่วันนั้นพี่พูดไม่ดี” น้ำเสียงของพี่เข้มแผ่วลงเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เก็บงำมานาน “พี่อยากจะชดเชยให้แก”ขุนยืนนิ่ง เขามองพี่ชายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งแปลกใจ ตื้นตัน และสับสน เขาไม่เคยคิดว่าพี่เข้มจะพูดคำว่าขอโทษ และไม่เคยคิดว่าพี่ชายจะยังจำความฝันเรื่องการเรียนของเขาได้“พี่ได้คุยกับ อาจารย์สมศักดิ์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ท่านเป็นเพื่อนเก่าของพ่อเรา ท่านบอกว่าถ้าแกสนใจ ท่านจะช่วยดูเรื่องทุนการศึกษาให้