“วันนี้ข้าจะเลี้ยงนางเอง แต่ตอนนี้ข้าไม่มีได้พกเงินปกติทุกครั้งไปไหนจะมีขันทีกวงซุนคอยจ่ายให้ เจ้าพกเงินมาไหม เอาเงินของเจ้าเลี้ยงนางแต่บอกว่าข้าเลี้ยงจะได้หรือเปล่า”ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆจะบอกว่าไม่ได้ก็จะได้หรือบัญชาฝ่าบาท“พ่ะย่ะค่ะ”“พาไปที่ร้านประจำของข้าที่เมืองหลวง… เจ้ารู้ใช่ไหม ร้านที่อยู่ฝั่งทิศใต้ตรงข้ามโรงเตี๊ยมสกุลหลิน”“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ตงเจี้ยนยิ้มมุมปาก“เจ้าสองคนนี่แปลกจริง ๆ หายไปทีเดียวสองคน นึกว่าจะลุกไปหนีหนี้เสียแล้วหรือว่าแอบไปนินทาข้า” เสี่ยวหนี่ว่าพลางกระดกถ้วยสุรา สองข้างแก้มแดงระเรื่อจากแอลกอฮอล์อ่อน ๆ หยางลี่เดินเข้ามาพลางส่งสายตาขำ ๆ“ถ้าเราจะหนีหนี้ คงไม่ชวนเจ้าไปกินอาหารที่แพงกว่านี้หรอก”ทั้งสองคนอมยิ้มพร้อมกัน“พวกท่านจะเลี้ยงข้าหรือแหมลาภปากใจดีที่สุดสหายร้ากกกกก” เสี่ยวหนี่ทำตาโต “คืนนี้…ร้านที่เราจะไป เป็นร้านที่คนธรรมดายังต้องจองล่วงหน้าหลายวันนะ” ตงเจี้ยนยิ้ม “จริงรึ อย่างนั้นเราก็คนพิเศษสินะ ข้าไป! สุราดี ๆ กับอาหารเลิศรส ข้าไม่เคยปฏิเสธหรอก” เสี่ยวหนี่แทบลุกพรวดทันที “คุณหนูเจ้าขาไหนบอกว่าออกมาไม่นานเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้ท้วง“น่าไม่เป็นไรหรอก ข้าด
“ข้าขอตัว” เดินลงมาด้านล่างสั่งคนลากรถให้กลับไปที่จวนอารักขานำเงินจาก อวี้เฉิงมาเพิ่ม สองคนนั้นกินเหมือนงานเลี้ยงฉลองรับตำแหน่งใหม่ทั้งๆ ที่ผ่านมื้อเย็นมาแล้วไม่ใช่เหรอทำราวกับล้างท้องมากระนั้น…ท่านน้าเหม่ยซูเข้มงวดจนพวกนางต้องอดอยากเพียงนี้เชียวหรือมองภาพฝ่าบาทที่ยกสุราให้เสี่ยวหนี่ตรงหน้า แล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ตงเจี้ยนก็ได้แต่ถอนใจเงียบ ๆ อีกครั้ง ฝ่าบาทผู้ไม่พกเงินพรุ่งนี้เขาจะกล้าไปทวงเงินที่ต้องจ่ายวันนี้ไหม คงต้องคุยกับกรมคลังขอเบิกงบสำหรับสนับสนุนด้านนันทนาการกับฝ่าบาทเสียแล้วอาหารทยอยมาเสิร์ฟบนโต๊ะในถาดไม้ กลิ่นหอมของอาหารจาง ๆ ลอยมาพร้อมกับไอร้อนจากซุปกระดูกไก่ ขนมจีบเป๋าฮื้อถูกวางลงในเข่งไม้ไผ่ร้อน ๆ ด้านบนมีน้ำซุปรสกลมกล่อมซึมซาบถึงใจปลาหิมะย่างใบเก๋ากี้มีกลิ่นหอมของชาไหม้จางๆ จากถ่านชา เนื้อปลาสีขาวนวลทาเคลือบด้วยซอสใสหวานเค็ม เนื้อวัวตุ๋นถูกวางบนถาดเหล็กร้อนฉ่า กลิ่นพริกหอมผสมพุทราเคี่ยวส่งกลิ่นหอมจนน้ำลายสอ ทำให้จินตนาการรสชาติว่าคงหวานหอมเนื้อวัวตุ๋นก็คงนุ่มจนละลายในปากเสี่ยวหนี่กัดคำแรกของเกี๊ยวทอดไส้ปู แล้วตาโต“อืมมม! ไส้แน่นมากกกก กลิ่นปูชัด ซอสไข่เค็มเค
“ท่านรู้ไหม…” เสี่ยวหนี่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยแต่ร่าเริง “บ้านเกิดของข้า… มีร้านขนมตั้งหลายร้าน! เดินไปนิดเดียวก็เจอร้านบะหมี่ ร้านข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่! แล้วข้างบ้านข้าก็มีร้านขายชาไข่มุก…เจ้าเคยกินไหม?”“ชา…ไข่มุก? คงเป็นอาหารที่สูงส่งสินะไข่มุกนำมาทำชาน่าทึ่งจริงๆ” ตงเจี้ยนทวนเสียงเบา ๆ พลางขมวดคิ้วงุนงง“ใช่! เป็นชาใส่นม แล้วก็มีลูกกลม ๆ ดำ ๆ อยู่ข้างใน มันเด้ง ๆ เคี้ยวเพลินมากเลยล่ะ!ไม่ใช่ไข่มุกจริงๆ หรอกน่าเขาแค่เปรียบเปรย” เสี่ยวหนี่อธิบายเสียงดังฟังชัด มือก็วาดภาพกลางอากาศประกอบ“มีร้านชื่ออะไรน้า… โอ้! ใช่แล้ว! มีร้านชื่อเสี่ยวฉุนอวี้ อร่อยสุดๆ แต่เชื่อไหมร้านนั้นนะน่ะชื่อเป็นจีนแต่เมนูส้มตำอร่อยสุดยอดไปเลย ถ้าข้าได้กลับไปนะ จะพาท่านสองคนไปกิน!ทั้งส้มตำและชาไข่มุก”หยางลี่ยิ้มบาง ๆ เขายกจอกสุราขึ้นจิบอีกครั้ง “เจ้าคงคิดถึงบ้านมากเลยสินะ”“ใช่…คิดถึงชาไข่มุกด้วย” เสียงของเสี่ยวหนี่เบาลงชั่วขณะ ดวงตาวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มกว้างอีกครั้ง “แต่ตอนนี้…ข้ามีพวกท่านแล้วนี่! ข้ามีเพื่อน!ไม่สิสหายจอมยุทธ์ แน่จริงก็เข้ามา คารวะท่านผู้อาวุโส เว่ยเส้าเทียนคือพ่อของเจ้า ซ
ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เมื่อครู่ก็ต้องให้อวี้เฉิงเป็นคนจัดการเรื่องค่าอาหารและเครื่องดื่มหากมาบ่อยๆ เขาคงตัวเบาลงเพราะจน “ถ้ายังจะกลับไปเรือนห้องเครื่องตอนนี้ คงลำบากมากแน่” หยางลี่เอ่ยเรียบ ๆตงเจี้ยนพยักหน้าขึ้นลง“ใกล้สุดน่าจะเป็นเรือนอารักขาของข้าน้อย พักได้สะดวกกว่า อีกอย่าง... ขืนพาไปวังในตอนนี้ คงวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม”"ไม่หรอกน่าท่านป้าเหม่ยซูใจดีที่สุด"หยางลี่หันมาทางเสี่ยวอี้ที่ประคองเสี่ยวหนี่อยู่ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา“ให้พวกเจ้าพักที่เรือนอารักขาก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”“เรือน...อารักขา เรือนอารักขา เรือนอารัก ….ขาเหมือนขาหมูไหมฮ่าาาาา” เสี่ยวอี้ถอนหายใจกับเสียงเจื้อยแจ้วของหนี่ฮวา ตงเจี้ยนเองถอนใจเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ข้าทำหน้าที่องครักษ์ถวายอารักขาโดยตรง พอดีช่วงนี้ได้รับมอบหมายให้ตรวจตราความสงบในเมือง...”“แอบหนีไปเที่ยวยังกล้าบอกว่าตรวจตราฮ่าาาา” เสี่ยวหนี่ที่เพิ่งเงยหน้าจากอาการมึนงงเบิกตากว้าง “เงียบๆ ไว้อย่าแพร่งพรายเชียว ข้าจะไม่ได้ออกไปร่ำสุรากับเจ้าอีกหากมีคนรู้ความลับนี้”“โอเคๆๆ” เสี่ยวหนี่ตอบพร้อมกับยิ้มตาหยี“แล้วท่านล่ะ? อย่าบอกนะว่าเป็นแม่ทัพ เป็นทูต
ยามชวีคล้อยไปแล้ว ดวงจันทร์สูงลิบเหนือฟ้า เรือนพักของนางในฝึกหัดสกุลโจวตั้งอยู่ชานพระตำหนักด้านในสุดเงียบงัน ไม่มีเสียงขานรับ ไม่มีแสงไฟใดเล็ดลอดออกมา นอกจากแสงตะเกียงเล่มน้อยในมือของหรูซินสาวใช้คนสนิทของกุ้ยเฟยชวีหยา“เงียบเกินไปไม่แน่ว่าจะมีคนหรืออาจ…กำลังกกกอดกันอยู่” ชวีหยาพูดเบาๆ พลางทอดสายตามองแสงเงาของต้นหม่อนที่ทอดทับบนพื้นอิฐสะกดอารมณ์ขุ่นมัวในใจ“ไปเคาะประตู” นางเอ่ยเสียงนุ่มสาวใช้เดินเข้าไปเคาะเบา ๆ ที่ประตูไม้ก๊อก ๆ ๆสักพักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ใกล้เข้ามา บานประตูเปิดออกอย่างระวัง เผยให้เห็นจี้เหวินในชุดนอนบางเบา ใบหน้าไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มแต่กระนั้นก็งดงามสดใสมีส่วนคล้ายเสี่ยวหนี่ไม่น้อย ดวงตายังพร่ามัวเล็กน้อยจากการถูกปลุกจากการหลับใหลกะทันหัน“ท่านเป็นใคร...? มาเคาะประตูอยู่ได้ไม่รู้หรืออย่างไรว่านี่คือเรือนพักของนางในฝึกหัดยามนอนห้ามใครรบกวน” จี้เหวินเอ่ยถามอย่างงุนงง ก่อนที่สายตาจะเหลือบเห็นเครื่องประดับมุกทองบนศีรษะของอีกฝ่าย สีหน้าก็เปลี่ยนวูบ ร่างกายรีบโค้งต่ำแทบจะคุกเข่า“ขะ…ขอประทานอภัยเพคะกุ้ยเฟย ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านจะแวะมาในยามดึกดื่นเช่นนี้”“ยามชวี” ชวีหย
จังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังมาเร็วๆ จากข้างใน แล้วร่างสูงโปร่งในชุดองครักษ์ก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ท่าทางรีบร้อน ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ว่าแล้วเชียวทำไมท่านตงเจี้ยนจึงให้เอาเงินไปให้ที่โรงเตี๊ยมอวี้ฮวาถังที่แท้ก็เอาไปเลี้ยงหญิงงามนี่เอง“อ้าวพี่ตง! ท่านกลับมาแล้วรึ ข้า... เป็นห่วงแทบแย่! ได้ข่าวว่าท่านออกเวรกลางคืนแล้วหายไปนาน! ดูสิกลิ่นสุราหึ่งเลยทำไมท่านไม่เอากลับมาฝากข้าบ้างเล่า อ้อ ข้าจำได้แล้วแม่นางน้อยจากนางในห้องเครื่องฝึกหัดนี่เอง แหม๋มมม ช่างร้ายจริงๆนะ ข้าบอกปุ๊บท่านก็ไปพานางมาปั๊บ ไม่ต้องห่วงๆ ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เฉิงอวี้ผู้นี้เก็บความลับเก่งที่สุด”เสียงเฟิงอวี้เฉิงดังลั่น ราวกับเด็กน้อยที่ดีใจเห็นพี่ชายกลับมาจากเดินป่า ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เฟิงอวี้เฉิงรู้ โลกรู้ ส่งซิกด้วยสายตา จ้องตาเฟิงอวี้เฉิงและยกมือขึ้นลูบจมูกสองครั้งเป็นการส่งสัญญาณว่า….หุบปาก….ที่รู้กันเฉพาะตงเจี้ยนกับเฟิงเฉิงอวี้เฟิงอวี้เฉิงรับรู้ทันที พยักหน้าหงึกๆ แล้วลดเสียงลงเล็กน้อย หันมาเห็นหยางลี่ฮ่องเต้ก็หน้าซีดไปแวบหนึ่งรีบกล่าวกับหยางลี่อย่างนอบน้อม“ท่าน...แขกของพี่ตงหรือขอรับ? ขออภัยที่ข้าเสียงดั
หยางลี่ฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มเขา ราวกับพอใจอย่างลึกซึ้ง“เจ้านี่... ใจดีมากกว่าที่ข้าคิดไม่ได้เอาแต่เลอะเทอะเลื่อนเปื้อนไปวันๆ อย่างภาพที่เจ้าสร้างขึ้นมาสินะ”เสี่ยวหนี่ก้มหน้าลงช้า ๆ เหมือนจะแก้เขิน“อย่ามองข้าในแง่ดีขนาดนั้น ข้าก็แค่กลัวว่าหากท่านพ่อไม่อยู่แล้วใครจะปกป้องข้า” อันนี้มาจากใจ เขาบอกสุรามักจะเผยความจริง“ข้าน่ะเหรอ สิ่งที่ถนัดที่สุดก็คือไข่เจียวฮะฮะฮ่า”หยางลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ พลางคิดในใจว่าไข่เจียวของเสี่ยวหนี่ก็รสชาติไม่เลวนะ แต่ซอสราดปลาในวันนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าคงจะเป็นฝีมือของจี้เหวินเพราะเสี่ยวหนี่ที่อ้างว่าตัวเองจะเก่งได้ก็ต่อเมื่อต้องผ่านการฝึกฝน สรุปแล้วก็คือหยางลี่เชื่อสนิทใจว่าหนี่ฮวาตามจี้เหวินเข้ามาในวังเพราะบิดาผลักดันเพื่อให้เข้ามาฝึกฝนวิธีการปรุงอาหารของวังหลวงตงเจี้ยนที่เงียบฟังมานานเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มบาง รินชาใส่ถ้วยตัวเองอย่างสุขุม ก่อนจะพูดเสียงเรียบๆ“เจ้าก็ถ่อมตัวมากเกินไป วันนั้น…อุ๊ป”เสี่ยวหนี่กระโดดเข้าคว้าคอตงเจี้ยนเอามืออุดปากแน่น ขยิบตาให้ตงเจี้ยน“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านเมาละสิท่า อย่าพูดอะไรให้ร้ายข้าเลย ข้าแค่คนชอบกินแอบ
”เจ้าสองคนพี่น้อง ต่อไปก็ต้องร่วมแรงร่วมใจ จะได้สมปรารถนาของท่านโจว””ก็นั้นสินะ“เสี่ยวหนี่กับเสี่ยวอี้พยักหน้ารัวๆทันที“จริงที่สุดเลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อค้าหลี่หัวไวจริงๆ คุณหนูทั้งสองช่วยกันทำจึงจะสำเร็จลุล่วง“เสี่ยวอี้กระซิบเบาๆข้างหูหนี่ฮวา“คุณหนูเจ้าขา… ทำไมพวกเราไม่คิดข้ออ้างนี้ให้ได้ตั้งแต่แรกกันคะ แบบนี้คุณหนูก็ไม่ต้องทำสองจานให้เหนื่อยแล้ว…”เสี่ยวหนี่ถอนหายใจเงียบๆกระซิบกับเสี่ยวอี้เบาๆ“ทำได้แค่ตอนมีคนสั่งอาหารเท่านั้นแหละ… ตอนสอบฝีมือล่ะก็ ข้าก็ต้องทำสองจานอยู่ดี เจ้าจะให้ข้าทำการบ้านแทน แล้วไปบอกอาจารย์ว่าให้คิดคะแนนของจี้เหวินจากงานของข้าหรือ? โลกนี้มีอาจารย์ที่ไหนยอมกันบ้างเล่า…หากมีอาจารย์เช่นนั้นอยู่จริง ก็สมควรเอาไปเลี้ยงไว้เป็นของหายากแล้วล่ะ”เสี่ยวอี้ทำหน้าสลด ทั้งคู่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกัน คอตกเงียบๆอย่างเข้าใจกันถ่องแท้ หยางลี่เห็นภาพนั้นแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย มองหน้าเด็กสาวสองคนสลับกันอย่างงุนงง“อะไรกัน… ข้าพลาดเรื่องอะไรไปหรือ?”ตงเจี้ยนหัวเราะเบาๆแต่ไม่อธิบายอะไรก็ในเมื่อเข้ารู้อยู่แก่ใจ ภาพที่เขาเห็นที่บ้านโจวในวันนั้นเป็นเสี่ยวหนี่ที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ใช่จ
จากนั้นหันกลับมาเตรียมไส้ต่อ มือหยิบหมูบดในชามใหญ่ มาคลุกกับเห็ดหอมสับหยาบและเกาลัดต้มสุกที่นางบี้ไว้หยาบ ๆ ด้วยครกเล็ก “หมูบดให้พลังงานดี เห็ดหอมช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ส่วนเกาลัด...ช่วยบำรุงไต รสสัมผัสก็หนึบ ๆ หวานมันกำลังดี”เหมาะกับพวกคนดื้อที่ชอบอดอาหารตอนทำงานอย่างเสียวหนี่สินะ เสี่ยวหนี่คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมามือของนางทำงานต่อเนื่องอย่างชำนาญ ไส้หมูถูกคลุกให้เข้ากัน จัดลงถ้วยอีกใบ เรียงเคียงกับสองไส้ก่อนหน้าต่อมาคือเนื้อปลาขาวนึ่งที่ยังอุ่นอยู่ในผ้าขาวบาง นางค่อย ๆ แกะเอาเฉพาะเนื้อ บดให้เนียน แล้วโรยสาหร่ายแห้งป่นที่เตรียมไว้ใส่ลงไป พร้อมพริกไทยป่นเล็กน้อย“ปลาขาวเหมาะกับคนที่ฟื้นไข้ หรือคนที่อ่อนแรง สาหร่ายทะเลก็ช่วยล้างพิษร้อนภายใน...รสอ่อนแต่หอมแบบเย็น ๆ”อันหรูพยักหน้าเบา ๆ แล้วเงียบไป ราวกับเริ่มครุ่นคิดและจดจำในสิ่งที่หนี่อวาบอกไว้เสี่ยวหนี่หันไปจัดการเต้าหู้ขาวบดกับผักโขมลวกที่นางบีบน้ำจนแห้งสนิทไว้เรียบร้อย คลุกกับงาขาวคั่วส่งกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกกลิ่นน้ำมันงาที่คลุกเคล้าเพิ่มความหอมยิ่งยวนใจ“ไส้นี้เย็นที่สุด เต้าหู้บำรุงเลือด ผักโขมก็เพิ่มธาตุเหล็ก งาขาวช่วยให้ลำไส้ท
เมื่อมาถึงโต๊ะที่จี้เหวินนั่งอยู่ องค์หญิงทอดพระเนตรเห็นเพียงนางกำลังคนหม้อข้าวต้มเบาๆ อยู่เหนือเตาไฟอ่อนๆ กลิ่นเป๋าฮื้อตุ๋นโชยจางๆ ลอยมาแต่ไกล ทว่าดูธรรมดาเกินไป“เคี่ยวข้าวต้ม หรือ” อันหรูกระซิบกับตัวเอง สีหน้าเริ่มหมดความสนใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะละสายตาหันไปอีกด้านหนึ่งข้างๆ เตาอีกฟาก เสี่ยวหนี่กำลังจัดวางวัตถุดิบอย่างรวดเร็วและกระฉับกระเฉง โต๊ะของนางไม่เหมือนใครเพราะเต็มไปด้วยถาดไม้ขนาดเล็กเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แต่ละถาดแยกวัตถุดิบออกจากกันชัดเจน ดูสะอาดตาและน่าติดตามยิ่งกว่าหม้อข้าวต้ม ที่เห็นเมื่อครู่อันหรูเดินเข้าไปใกล้ เสี่ยวหนี่ที่นางพุงเป้าหมายไว้ต่อมา เสี่ยวหนี่แค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆ อย่างพอเหมาะ จากนั้นก็กลับไปก้มหน้าทำงานต่อ ไม่ได้เอ่ยทักใดๆ อีกองค์หญิงสิบสี่อันหรูกวาดสายตาลงบนโต๊ะตรงหน้า แววตาเริ่มเปล่งประกายขึ้น รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นอะไรแบบนี้องค์หญิงสิบสี่อันหรูสาวพระเท้าเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว ดวงเนตรจับจ้องลงไปยังวัตถุดิบที่เรียงรายตรงหน้า สนใจจริงจังถาดแรก มีเนื้อกุ้งบดละเอียดวางเคียงกับหัวไชเท้า วุ้นเส้นแห้งถาดที่สอง เป็นไก่บดละเอียดวางเคี
"ฝานขิงอ่อนให้บางๆ หน่อย" เสี่ยวหนี่ตอบเรียบๆ ก่อนส่งขิงสดหัวเล็กให้ จี้เหวินยิ้มรับ รีบหยิบมีดขึ้นมาฝานอย่างกระตือรือร้น แม้ว่าท่าทีจะดูตั้งใจ แต่เสี่ยวหนี่ก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าอีกฝ่ายเพียงอยากทำให้รอบข้างเห็นว่าเป็นคนทำอาหาร หาได้ลงมือจริงจังนักเสี่ยวหนี่เดินกลับไปตั้งหม้อเคลือบใบใหญ่บนเตาไฟอ่อน เทน้ำซุปกระดูกไก่ที่เคี่ยวจนใสแจ๋วลงไปให้ท่วม แล้วเทข้าวที่แช่น้ำไว้ตามลงมา ใช้ทัพพีไม้คนเบาๆ เพื่อไม่ให้เม็ดข้าวติดก้นหม้อไออุ่นค่อยๆ ลอยขึ้น คลุ้งไปด้วยกลิ่นหวานละมุนของน้ำซุป เสี่ยวหนี่ลดไฟลงให้เบาอีกระดับ ก่อนจะหยิบผ้าฝ้ายสะอาดชุบน้ำมาปิดปากหม้อไว้ ช่วยให้ไอน้ำหมุนเวียนภายใน ทำให้ข้าวสุกนุ่มในเนื้อซุปโดยไม่ต้องเปิดฝาบ่อยๆ"ระวังอย่าให้เดือดพล่านเชียวนะ ปล่อยให้เคี่ยวไปเรื่อยๆ ข้าวจะเนียนละลายในน้ำได้เอง" เสี่ยวหนี่หันมากำชับพลางยื่นทัพพีให้จี้เหวิน"เจ้าก็คนเรื่อยๆ รักษาไฟให้ดี ข้าวต้มนี้ต้องอาศัยเวลา ไม่ใช่เร่งได้ด้วยความร้อนแรง" นางพูดพลางปรายตาไปทางหม้อใหญ่” เจ้าให้ข้าทำอะไรที่มันยากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ “” เจ้าคิดว่าการต้มข้าวมันง่ายหรือไร เจ้าเองที่เคยแต่กินมาตลอด ได้เริ่มด้วยการ
”เจ้าสองคนพี่น้อง ต่อไปก็ต้องร่วมแรงร่วมใจ จะได้สมปรารถนาของท่านโจว””ก็นั้นสินะ“เสี่ยวหนี่กับเสี่ยวอี้พยักหน้ารัวๆทันที“จริงที่สุดเลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อค้าหลี่หัวไวจริงๆ คุณหนูทั้งสองช่วยกันทำจึงจะสำเร็จลุล่วง“เสี่ยวอี้กระซิบเบาๆข้างหูหนี่ฮวา“คุณหนูเจ้าขา… ทำไมพวกเราไม่คิดข้ออ้างนี้ให้ได้ตั้งแต่แรกกันคะ แบบนี้คุณหนูก็ไม่ต้องทำสองจานให้เหนื่อยแล้ว…”เสี่ยวหนี่ถอนหายใจเงียบๆกระซิบกับเสี่ยวอี้เบาๆ“ทำได้แค่ตอนมีคนสั่งอาหารเท่านั้นแหละ… ตอนสอบฝีมือล่ะก็ ข้าก็ต้องทำสองจานอยู่ดี เจ้าจะให้ข้าทำการบ้านแทน แล้วไปบอกอาจารย์ว่าให้คิดคะแนนของจี้เหวินจากงานของข้าหรือ? โลกนี้มีอาจารย์ที่ไหนยอมกันบ้างเล่า…หากมีอาจารย์เช่นนั้นอยู่จริง ก็สมควรเอาไปเลี้ยงไว้เป็นของหายากแล้วล่ะ”เสี่ยวอี้ทำหน้าสลด ทั้งคู่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกัน คอตกเงียบๆอย่างเข้าใจกันถ่องแท้ หยางลี่เห็นภาพนั้นแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย มองหน้าเด็กสาวสองคนสลับกันอย่างงุนงง“อะไรกัน… ข้าพลาดเรื่องอะไรไปหรือ?”ตงเจี้ยนหัวเราะเบาๆแต่ไม่อธิบายอะไรก็ในเมื่อเข้ารู้อยู่แก่ใจ ภาพที่เขาเห็นที่บ้านโจวในวันนั้นเป็นเสี่ยวหนี่ที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ใช่จ
หยางลี่ฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มเขา ราวกับพอใจอย่างลึกซึ้ง“เจ้านี่... ใจดีมากกว่าที่ข้าคิดไม่ได้เอาแต่เลอะเทอะเลื่อนเปื้อนไปวันๆ อย่างภาพที่เจ้าสร้างขึ้นมาสินะ”เสี่ยวหนี่ก้มหน้าลงช้า ๆ เหมือนจะแก้เขิน“อย่ามองข้าในแง่ดีขนาดนั้น ข้าก็แค่กลัวว่าหากท่านพ่อไม่อยู่แล้วใครจะปกป้องข้า” อันนี้มาจากใจ เขาบอกสุรามักจะเผยความจริง“ข้าน่ะเหรอ สิ่งที่ถนัดที่สุดก็คือไข่เจียวฮะฮะฮ่า”หยางลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ พลางคิดในใจว่าไข่เจียวของเสี่ยวหนี่ก็รสชาติไม่เลวนะ แต่ซอสราดปลาในวันนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าคงจะเป็นฝีมือของจี้เหวินเพราะเสี่ยวหนี่ที่อ้างว่าตัวเองจะเก่งได้ก็ต่อเมื่อต้องผ่านการฝึกฝน สรุปแล้วก็คือหยางลี่เชื่อสนิทใจว่าหนี่ฮวาตามจี้เหวินเข้ามาในวังเพราะบิดาผลักดันเพื่อให้เข้ามาฝึกฝนวิธีการปรุงอาหารของวังหลวงตงเจี้ยนที่เงียบฟังมานานเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มบาง รินชาใส่ถ้วยตัวเองอย่างสุขุม ก่อนจะพูดเสียงเรียบๆ“เจ้าก็ถ่อมตัวมากเกินไป วันนั้น…อุ๊ป”เสี่ยวหนี่กระโดดเข้าคว้าคอตงเจี้ยนเอามืออุดปากแน่น ขยิบตาให้ตงเจี้ยน“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านเมาละสิท่า อย่าพูดอะไรให้ร้ายข้าเลย ข้าแค่คนชอบกินแอบ
จังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังมาเร็วๆ จากข้างใน แล้วร่างสูงโปร่งในชุดองครักษ์ก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ท่าทางรีบร้อน ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ว่าแล้วเชียวทำไมท่านตงเจี้ยนจึงให้เอาเงินไปให้ที่โรงเตี๊ยมอวี้ฮวาถังที่แท้ก็เอาไปเลี้ยงหญิงงามนี่เอง“อ้าวพี่ตง! ท่านกลับมาแล้วรึ ข้า... เป็นห่วงแทบแย่! ได้ข่าวว่าท่านออกเวรกลางคืนแล้วหายไปนาน! ดูสิกลิ่นสุราหึ่งเลยทำไมท่านไม่เอากลับมาฝากข้าบ้างเล่า อ้อ ข้าจำได้แล้วแม่นางน้อยจากนางในห้องเครื่องฝึกหัดนี่เอง แหม๋มมม ช่างร้ายจริงๆนะ ข้าบอกปุ๊บท่านก็ไปพานางมาปั๊บ ไม่ต้องห่วงๆ ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เฉิงอวี้ผู้นี้เก็บความลับเก่งที่สุด”เสียงเฟิงอวี้เฉิงดังลั่น ราวกับเด็กน้อยที่ดีใจเห็นพี่ชายกลับมาจากเดินป่า ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เฟิงอวี้เฉิงรู้ โลกรู้ ส่งซิกด้วยสายตา จ้องตาเฟิงอวี้เฉิงและยกมือขึ้นลูบจมูกสองครั้งเป็นการส่งสัญญาณว่า….หุบปาก….ที่รู้กันเฉพาะตงเจี้ยนกับเฟิงเฉิงอวี้เฟิงอวี้เฉิงรับรู้ทันที พยักหน้าหงึกๆ แล้วลดเสียงลงเล็กน้อย หันมาเห็นหยางลี่ฮ่องเต้ก็หน้าซีดไปแวบหนึ่งรีบกล่าวกับหยางลี่อย่างนอบน้อม“ท่าน...แขกของพี่ตงหรือขอรับ? ขออภัยที่ข้าเสียงดั
ยามชวีคล้อยไปแล้ว ดวงจันทร์สูงลิบเหนือฟ้า เรือนพักของนางในฝึกหัดสกุลโจวตั้งอยู่ชานพระตำหนักด้านในสุดเงียบงัน ไม่มีเสียงขานรับ ไม่มีแสงไฟใดเล็ดลอดออกมา นอกจากแสงตะเกียงเล่มน้อยในมือของหรูซินสาวใช้คนสนิทของกุ้ยเฟยชวีหยา“เงียบเกินไปไม่แน่ว่าจะมีคนหรืออาจ…กำลังกกกอดกันอยู่” ชวีหยาพูดเบาๆ พลางทอดสายตามองแสงเงาของต้นหม่อนที่ทอดทับบนพื้นอิฐสะกดอารมณ์ขุ่นมัวในใจ“ไปเคาะประตู” นางเอ่ยเสียงนุ่มสาวใช้เดินเข้าไปเคาะเบา ๆ ที่ประตูไม้ก๊อก ๆ ๆสักพักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ใกล้เข้ามา บานประตูเปิดออกอย่างระวัง เผยให้เห็นจี้เหวินในชุดนอนบางเบา ใบหน้าไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มแต่กระนั้นก็งดงามสดใสมีส่วนคล้ายเสี่ยวหนี่ไม่น้อย ดวงตายังพร่ามัวเล็กน้อยจากการถูกปลุกจากการหลับใหลกะทันหัน“ท่านเป็นใคร...? มาเคาะประตูอยู่ได้ไม่รู้หรืออย่างไรว่านี่คือเรือนพักของนางในฝึกหัดยามนอนห้ามใครรบกวน” จี้เหวินเอ่ยถามอย่างงุนงง ก่อนที่สายตาจะเหลือบเห็นเครื่องประดับมุกทองบนศีรษะของอีกฝ่าย สีหน้าก็เปลี่ยนวูบ ร่างกายรีบโค้งต่ำแทบจะคุกเข่า“ขะ…ขอประทานอภัยเพคะกุ้ยเฟย ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านจะแวะมาในยามดึกดื่นเช่นนี้”“ยามชวี” ชวีหย
ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เมื่อครู่ก็ต้องให้อวี้เฉิงเป็นคนจัดการเรื่องค่าอาหารและเครื่องดื่มหากมาบ่อยๆ เขาคงตัวเบาลงเพราะจน “ถ้ายังจะกลับไปเรือนห้องเครื่องตอนนี้ คงลำบากมากแน่” หยางลี่เอ่ยเรียบ ๆตงเจี้ยนพยักหน้าขึ้นลง“ใกล้สุดน่าจะเป็นเรือนอารักขาของข้าน้อย พักได้สะดวกกว่า อีกอย่าง... ขืนพาไปวังในตอนนี้ คงวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม”"ไม่หรอกน่าท่านป้าเหม่ยซูใจดีที่สุด"หยางลี่หันมาทางเสี่ยวอี้ที่ประคองเสี่ยวหนี่อยู่ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา“ให้พวกเจ้าพักที่เรือนอารักขาก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”“เรือน...อารักขา เรือนอารักขา เรือนอารัก ….ขาเหมือนขาหมูไหมฮ่าาาาา” เสี่ยวอี้ถอนหายใจกับเสียงเจื้อยแจ้วของหนี่ฮวา ตงเจี้ยนเองถอนใจเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ข้าทำหน้าที่องครักษ์ถวายอารักขาโดยตรง พอดีช่วงนี้ได้รับมอบหมายให้ตรวจตราความสงบในเมือง...”“แอบหนีไปเที่ยวยังกล้าบอกว่าตรวจตราฮ่าาาา” เสี่ยวหนี่ที่เพิ่งเงยหน้าจากอาการมึนงงเบิกตากว้าง “เงียบๆ ไว้อย่าแพร่งพรายเชียว ข้าจะไม่ได้ออกไปร่ำสุรากับเจ้าอีกหากมีคนรู้ความลับนี้”“โอเคๆๆ” เสี่ยวหนี่ตอบพร้อมกับยิ้มตาหยี“แล้วท่านล่ะ? อย่าบอกนะว่าเป็นแม่ทัพ เป็นทูต
“ท่านรู้ไหม…” เสี่ยวหนี่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยแต่ร่าเริง “บ้านเกิดของข้า… มีร้านขนมตั้งหลายร้าน! เดินไปนิดเดียวก็เจอร้านบะหมี่ ร้านข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่! แล้วข้างบ้านข้าก็มีร้านขายชาไข่มุก…เจ้าเคยกินไหม?”“ชา…ไข่มุก? คงเป็นอาหารที่สูงส่งสินะไข่มุกนำมาทำชาน่าทึ่งจริงๆ” ตงเจี้ยนทวนเสียงเบา ๆ พลางขมวดคิ้วงุนงง“ใช่! เป็นชาใส่นม แล้วก็มีลูกกลม ๆ ดำ ๆ อยู่ข้างใน มันเด้ง ๆ เคี้ยวเพลินมากเลยล่ะ!ไม่ใช่ไข่มุกจริงๆ หรอกน่าเขาแค่เปรียบเปรย” เสี่ยวหนี่อธิบายเสียงดังฟังชัด มือก็วาดภาพกลางอากาศประกอบ“มีร้านชื่ออะไรน้า… โอ้! ใช่แล้ว! มีร้านชื่อเสี่ยวฉุนอวี้ อร่อยสุดๆ แต่เชื่อไหมร้านนั้นนะน่ะชื่อเป็นจีนแต่เมนูส้มตำอร่อยสุดยอดไปเลย ถ้าข้าได้กลับไปนะ จะพาท่านสองคนไปกิน!ทั้งส้มตำและชาไข่มุก”หยางลี่ยิ้มบาง ๆ เขายกจอกสุราขึ้นจิบอีกครั้ง “เจ้าคงคิดถึงบ้านมากเลยสินะ”“ใช่…คิดถึงชาไข่มุกด้วย” เสียงของเสี่ยวหนี่เบาลงชั่วขณะ ดวงตาวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มกว้างอีกครั้ง “แต่ตอนนี้…ข้ามีพวกท่านแล้วนี่! ข้ามีเพื่อน!ไม่สิสหายจอมยุทธ์ แน่จริงก็เข้ามา คารวะท่านผู้อาวุโส เว่ยเส้าเทียนคือพ่อของเจ้า ซ