เมื่อมาถึงโต๊ะที่จี้เหวินนั่งอยู่ องค์หญิงทอดพระเนตรเห็นเพียงนางกำลังคนหม้อข้าวต้มเบาๆ อยู่เหนือเตาไฟอ่อนๆ กลิ่นเป๋าฮื้อตุ๋นโชยจางๆ ลอยมาแต่ไกล ทว่าดูธรรมดาเกินไป“เคี่ยวข้าวต้ม หรือ” อันหรูกระซิบกับตัวเอง สีหน้าเริ่มหมดความสนใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะละสายตาหันไปอีกด้านหนึ่งข้างๆ เตาอีกฟาก เสี่ยวหนี่กำลังจัดวางวัตถุดิบอย่างรวดเร็วและกระฉับกระเฉง โต๊ะของนางไม่เหมือนใครเพราะเต็มไปด้วยถาดไม้ขนาดเล็กเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แต่ละถาดแยกวัตถุดิบออกจากกันชัดเจน ดูสะอาดตาและน่าติดตามยิ่งกว่าหม้อข้าวต้ม ที่เห็นเมื่อครู่อันหรูเดินเข้าไปใกล้ เสี่ยวหนี่ที่นางพุงเป้าหมายไว้ต่อมา เสี่ยวหนี่แค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆ อย่างพอเหมาะ จากนั้นก็กลับไปก้มหน้าทำงานต่อ ไม่ได้เอ่ยทักใดๆ อีกองค์หญิงสิบสี่อันหรูกวาดสายตาลงบนโต๊ะตรงหน้า แววตาเริ่มเปล่งประกายขึ้น รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นอะไรแบบนี้องค์หญิงสิบสี่อันหรูสาวพระเท้าเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว ดวงเนตรจับจ้องลงไปยังวัตถุดิบที่เรียงรายตรงหน้า สนใจจริงจังถาดแรก มีเนื้อกุ้งบดละเอียดวางเคียงกับหัวไชเท้า วุ้นเส้นแห้งถาดที่สอง เป็นไก่บดละเอียดวางเคี
จากนั้นหันกลับมาเตรียมไส้ต่อ มือหยิบหมูบดในชามใหญ่ มาคลุกกับเห็ดหอมสับหยาบและเกาลัดต้มสุกที่นางบี้ไว้หยาบ ๆ ด้วยครกเล็ก “หมูบดให้พลังงานดี เห็ดหอมช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ส่วนเกาลัด...ช่วยบำรุงไต รสสัมผัสก็หนึบ ๆ หวานมันกำลังดี”เหมาะกับพวกคนดื้อที่ชอบอดอาหารตอนทำงานอย่างเสียวหนี่สินะ เสี่ยวหนี่คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมามือของนางทำงานต่อเนื่องอย่างชำนาญ ไส้หมูถูกคลุกให้เข้ากัน จัดลงถ้วยอีกใบ เรียงเคียงกับสองไส้ก่อนหน้าต่อมาคือเนื้อปลาขาวนึ่งที่ยังอุ่นอยู่ในผ้าขาวบาง นางค่อย ๆ แกะเอาเฉพาะเนื้อ บดให้เนียน แล้วโรยสาหร่ายแห้งป่นที่เตรียมไว้ใส่ลงไป พร้อมพริกไทยป่นเล็กน้อย“ปลาขาวเหมาะกับคนที่ฟื้นไข้ หรือคนที่อ่อนแรง สาหร่ายทะเลก็ช่วยล้างพิษร้อนภายใน...รสอ่อนแต่หอมแบบเย็น ๆ”อันหรูพยักหน้าเบา ๆ แล้วเงียบไป ราวกับเริ่มครุ่นคิดและจดจำในสิ่งที่หนี่อวาบอกไว้เสี่ยวหนี่หันไปจัดการเต้าหู้ขาวบดกับผักโขมลวกที่นางบีบน้ำจนแห้งสนิทไว้เรียบร้อย คลุกกับงาขาวคั่วส่งกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกกลิ่นน้ำมันงาที่คลุกเคล้าเพิ่มความหอมยิ่งยวนใจ“ไส้นี้เย็นที่สุด เต้าหู้บำรุงเลือด ผักโขมก็เพิ่มธาตุเหล็ก งาขาวช่วยให้ลำไส้ท
ตำหนักพระพันปีที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับสามรองจากตำหนักชิงหนิงกงของฮองเฮาบัดนี้พระพันปีหรือไทเฮาฟู่ฉีนั่งบนบัลลังก์ทองใบหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าความรู้สึกภายในใจเมื่อพบหน้าชวีหยา ชวีหยาตำแหน่งกุ้ยเฟยผู้งดงามอ่อนหวานแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่สายตาที่ถอดมองผู้อื่นอ่อนโยนอบอุ่นเหมือนมารดากระนั้น อาภรณ์สีมุกขลิบลวดลายสีทองด้านหลังปักรูปหงส์สยายปีกพร้อมโบยบินแม้จะไม่ได้สะกดสายตาผู้พบเห็นแต่ก็ทำให้ผู้ที่พบเจออดที่จะหันมองซ้ำไม่ได้ ฝีเท้าที่ก้าวเดินราวกับวิ่งแต่ทว่าในใจอยากจะมีเวทมนตร์พาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าไทเฮาในทันที ชวีหยาไม่ลืมที่จะย่อกายลงอย่างงดงามแม้จะร้อนใจเพียงใด นั้นยิ่งทำให้ชวีหยามีกิริยาน่ามอง นางงดงามเกินกว่าจะนั่งในตำแหน่งอื่นใดคงเกิดมาเพื่อตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้นแต่เสียดายที่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังนั่งแค่ตำแหน่งกุ้ยเฟย“ทรงประชวรว่าด้วยไม่อยากอาหารมาหลายวันแล้ว จะทำอย่างไรดีเพคะไทเฮา”ด้วยความกังวลใจที่เก็บสะสมไว้จึงกลั่นออกมาเป็นคำพูดในทันทีโดยที่ไม่ได้เกริ่นนำ“อย่าเรียกว่าอาการประชวรเลย คงแค่ไม่มีของที่ชอบ ปกติหยางหยางมักจะกินแต่ของโปรดมาตั้งแต่เด็กๆ” ไทเฮาฟู่ฉีหยิบกำไลหยกขึ้นมาพิ
ข้าวนึ่งพาตัวเองกลับมาบ้านด้วยความฉุนเฉียว ไอ้บ้า บังอาจมาไล่ให้ไปตาย มารดาแกสิต้องไปตายแม่ยัดเอ้ย หัวเสียอย่างที่สุด ที่ที่ดีที่สุดคือบ้าน ที่อบอุ่นที่สุดคือบ้าน ที่สำหรับซับน้ำตาคือบ้าน กลับมาไม่ทันไรได้กลิ่นหอมฉุยลอยมาจากห้องครัว ยังไงที่บ้านก็ยังมีของกินไว้รอมีคนที่รักรออยู่ “กลับมาแล้วค่ะแม่…แม่ พี่หงส์”เรียกหาแม่กับพี่สะใภ้แต่ไม่มีใครตอบ เดินเข้าครัวหิวจนตาลาย เปิดหม้อซึ้งกลิ่นหอมทะลุเข้าจมูกชวนน้ำลายสอ หยิบเกี้ยวนึ่งแผ่นเกี๊ยวบางเฉียบมองเห็นไส้ล้นทะลักและยังมีไอร้อนลอยวนใส่ปากเคี้ยวงับๆ ไม่ง้อน้ำจิ้ม “อื้ออร่อยจัง” หยิบยัดใส่ปากอีกสองสามชิ้นแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน“อั๊กๆๆๆๆๆๆ หะหะหายใจไม่ออก อย่าบอกนะว่าเกี๊ยวกุ้ง” ไม่ทันแล้ว แน่นหน้าอกอึดอัดจนเซถลาพยายามพยุงตัวไว้แต่อาการหายใจไม่ออกและดวงตาพร่ามัวยังเล่นงานไม่หยุด ลมหายใจติดขัดเหมือนกำลังจะขาดใจและในที่สุดข้าวนึ่งก็ไม่อาจฝืนตัวเองให้ยืนได้อีกแล้วไม่อาจทรงตัวร่างเล็กกลิ้งหลุนๆ ลงจากบันไดพร้อมกับเสียงกรีดร้องของคุณสุคนธ์ แม่ของข้าวนึ่งทุกอย่างดับวูบ“ฟาดเข้าไป ฟาดอีก” เสียงดังราวกับปีศาจตวาดลั่น บอกคนรับใช้ร่างกายกำยำให้ฟาดไม
สามวันผ่านไปเสี่ยวหนี่ที่นั่งอยู่บนแท่นนอนมองรอบๆ บริเวณหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาเสี่ยวอี้นั่งโบกพัดไปมา นี่ฉันคงอ่านนิยายจีนมากไปใช่ไหม หลุดเข้ามาในซีรีส์จีนสินะตายแล้วเรื่องอะไรดังหรือเปล่านี่ ไม่มีหน้าต่างระบบคอยให้เควสหรอกหรอ “คุณหนูรองเจ้าขา อย่าเพิ่งลุกเจ้าค่ะ” น่านไงคุณหนูรอง เจ้าคะเจ้าขาพูดซะเพราะเลย เป็นคุณหนูรองสินะทำไมไม่เป็นคุณหนูสามจะได้พูดได้ว่าข้านี่แหละคุณหนูสามฮ่าาาา “บัณทิตย่อมมีมือมีตีน (ไม่เป็นไรฉันลุกเองได้) ” อย่ามาลองภูมิแหมภาษาจีนนี่คล่องเคยดูมาเยอะเสี่ยวอี้รีบเข้ามาพยุง ฮูหยินใหญ่จี้เหยากับจี้เหวินเข้ามาในห้องท่าทีหยิ่งผยองเชิดหน้าเบ้ปากชัดเจนว่าตั้งใจมาหาเรื่องต่อ เสี่ยวหนี่จ้องมองอ้าปากค้างยิ่งตอกย้ำว่านี่คือซีรีส์จีน สองสาวแต่งกายพีเรียดจีนขนาดนี้ นี่ไม่ใช่อโยธยาเป็นแน่แท้“เหอะยังไม่หายใช่ไหม” จี้เหยาเบ้ปาก“เป็นท่านเองนับถือมานาน (อีเ-ี้ยนี่ใคร) ” อดไม่ได้ยิ้มอย่างภูมิใจที่จำคำพูดแบบจอมยุทธ์ได้แม่นยำ ฮูหยินใหญ่จี้เหยาส่ายหน้าไปมากับคำพูดของเสี่ยวหนี่“เป็นอย่างไร เห็นๆ อยู่ว่าเอาใจท่านพ่อจนพวกเราเข้าไม่ถึง วันนี้กลับมาทำทีลุกไม่ไหว เฮอะ” จี้เหยาฮูหยินใหญ่พ
กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล นี่มันกลิ่นอาหารชนิดไหนกัน“กงกงกวงซุนท่านได้กลิ่นอะไรไหม” ขันทีกวงซุนใช้จมูกสูดดมหากลิ่นที่ว่า หันซ้ายหันขวามองหาที่มา“ไม่ได้กลิ่นพ่ะย่ะค่ะ”“กงกงท่านคงต้องไปพบหมอหลวงแล้วหากเป็นเช่นนี้ ข้าจะตามกลิ่นหอมนั่นไป”“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ นั่นอาจเป็นปีศาจที่ใช้อุบายล่อหลอกให้ฝ่าบาทไปติดกับพวกมัน” หยางลี่ส่ายหน้าไปมากับความคิดพิเรนทร์ของขันทีกวงซุน ปีศาจหรือจะมีได้อย่างไรกันในเมื่อท้องร้องเพียงนี้กลิ่นหอมนั่นได้กลิ่นแล้วยั่วน้ำลายไม่น้อย“ไม่ไปก็อยู่รอที่นี่ ข้าไปเพียงลำพัง”ด้านหลังเนินเขาที่หมู่บ้านใหญ่เร้นกายมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคหบดีที่ยิ่งใหญ่อย่างโจหลิวเยว่ ทั้งยังมีฮูหยินน้อยใหญ่อีกถึง12คน แต่มีบุตรีเพียงสองจากฮูหยินใหญ่และอนุคนโปรด “เสี่ยวหนี่ดูเจ้าสิ ทำอะไรกินกลิ่นถึงได้โชยไปจนข้าคลื่นเหียน” จี้เหยากับจี้เหวินแม่เลี้ยงและพี่สาวต่างมารดาของเสี่ยวหนี่ พาตัวเองเข้ามาหยุดยืนเอามืออุดจมูกเมื่อได้กลิ่นอาหารของเสี่ยวหนี่ที่มีหน้าที่ทำเป็นประจำ “อาหารชนิดนี้เรียกว่าอะไร ทำไมกลิ่นเหม็นสิ้นดี”“แกงสมุนไพรหรือแกงแค หรือจะเรียกแกงอ่อมไม่สิแกงใส่ผักน้อยกว่า ข้าไม่ได้ทำให้พวกท่
“นายหญิงเจ้าขามีคนผู้หนึ่ง ท่าทีราวกับ ราวกับ…เอ่อ” โจวจี้เหยาพยักขมวดคิ้วจนไฝกระตุก“รีบพูดมาเอาแต่อ้ำอึ้งเจ้ายังอยากจะได้เบี้ยหวัดของเดือนนี้ไหม” โจวจี้เหวินตวาดดังๆ มารยาทยามโมโหช่างไม่ต่างจากโจวจี้เหยามารดาของนาง“จะจะเจ้าค่ะ บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งองอาจหล่อเหลา อีกผู้หนึ่งเดินตามราวกับขันที” จี้เหวินยิ้มมุมปาก“จะต้องเป็นคหบดีที่ร่ำรวยแน่ แล้วเขาพูดอะไรกับเจ้าหรือต้องการอะไรกับบ้านโจวของเรา” จี้เหยาพูดขึ้นยิ้มๆ“เอ่อ เอ่อเขาบอกว่ากำลังหิวพอดี เดินตามกลิ่นอาหารที่หอมกระจายออกไปรอบๆ บริเวณ เขาถามข้าว่าพอจะให้เขาได้อิ่มท้องสักมื้อไหม ทั้งสองท่านยังมอบทองให้ข้าน้อยเพื่อมาขออนุญาตท่านเจ้าบ้าน”“ทองจริงหรือไม่เอามานี่ โง่อย่างเจ้าดูไม่ออกหรอกว่าจริงหรือปลอม ในป่าเขาเช่นนี้ใครจะมีทอง” จี้เหวินคว้าทองจากมือคนรับใช้ไปพิศดู“ทองจริงๆ ด้วยท่านแม่ ไปเชิญเขาเข้ามา เขาต้องการอะไรถึงนำเอาทองมาแลก ท่านแม่ท่านให้ข้าไปรับแขกดีไหม”“ได้เลยลูกแม่แล้วอย่าลืมท่าทีอ่อนหวานงดงามที่เจ้าฝึกฝนมาเสียล่ะ ว่าแต่เขาอยากได้อะไรเจ้าได้ยินเขาบอกว่าอย่างไร”“เอ่อ เอ่อ…ข้าน้อยได้ยินเขาพูดถึงกลิ่นอาหารที่คุณหนูรองหนี่ฮวาท
“ขอให้ท่านทั้งสองเดินทางราบรื่น”ฮูหยินจี้เหยากล่าวคำลากวงซุนขันทียื่นถุงเงินให้กับฮูหยินโจวอีกครั้งจี้เหวินที่ย่อการลงงดงามอย่างที่สุดหยางลี่กับกวงซุนขันทีจากไปแล้ว จี้เหวินถอนหายใจ ปล่อยมือที่ยกขึ้นมาระดับเอวให้ดูมีกิริยาดีลงข้างตัวพูดด้วยเสียงอันดังไม่สะกดกลั้นความรู้สึกแม้แต่น้อย“ข้าแทบจะกระอักเลือดตายกับการที่ต้องวางท่าให้ดูสง่างามราวกับหญิงสาวชาววัง”“ทนเอาหน่อย เจ้าปีนี้20แล้วยังไม่ได้ออกเรือนแขกไปใครมาเจ้าวางท่าตามอย่างที่แม่สอน ไม่นานจะต้องมีคนมาตกหลุมพลางที่เราขุดขึ้นมากับมือ”“ท่านแม่แล้วคนเขาจะไม่รู้หรือว่าเราหลอกลวง”“จะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วถึงเวลานั้นก็ช่างมันเถอะ”ฮูหยินโจวยิ้ม มุมปาก“นายหญิงเจ้าขา นายท่านเรียกนายหญิงกับคุณหนูใหญ่เข้าพบเจ้าค่ะ”“น่าเบื่อจริงข้านะน่ะไม่อยากต้องมาหาคำแก้ตัว”โจวจี้เหยาบ่นงึมงำ“ก็พูดความจริงไปสิเจ้าค่ะท่านแม่ท่านพ่อไร้เรี่ยวแรง แม้กระทั่งแรงจามยังไม่มีจะทำอะไรพวกเราได้”โจวจี้เหยาเดินนำจีเหวินเข้าไปข้างในห้องนอนของดจวหลิ่วเยว่ ยังไม่ทันจะถึงตัวด้วยซ้ำเสียงเข้มก็พูดดังๆขึ้นมา“พวกเจ้ากำลังทำอะไร พวกเจ้าคิดว่าจะหลอกลวง
จากนั้นหันกลับมาเตรียมไส้ต่อ มือหยิบหมูบดในชามใหญ่ มาคลุกกับเห็ดหอมสับหยาบและเกาลัดต้มสุกที่นางบี้ไว้หยาบ ๆ ด้วยครกเล็ก “หมูบดให้พลังงานดี เห็ดหอมช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ส่วนเกาลัด...ช่วยบำรุงไต รสสัมผัสก็หนึบ ๆ หวานมันกำลังดี”เหมาะกับพวกคนดื้อที่ชอบอดอาหารตอนทำงานอย่างเสียวหนี่สินะ เสี่ยวหนี่คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมามือของนางทำงานต่อเนื่องอย่างชำนาญ ไส้หมูถูกคลุกให้เข้ากัน จัดลงถ้วยอีกใบ เรียงเคียงกับสองไส้ก่อนหน้าต่อมาคือเนื้อปลาขาวนึ่งที่ยังอุ่นอยู่ในผ้าขาวบาง นางค่อย ๆ แกะเอาเฉพาะเนื้อ บดให้เนียน แล้วโรยสาหร่ายแห้งป่นที่เตรียมไว้ใส่ลงไป พร้อมพริกไทยป่นเล็กน้อย“ปลาขาวเหมาะกับคนที่ฟื้นไข้ หรือคนที่อ่อนแรง สาหร่ายทะเลก็ช่วยล้างพิษร้อนภายใน...รสอ่อนแต่หอมแบบเย็น ๆ”อันหรูพยักหน้าเบา ๆ แล้วเงียบไป ราวกับเริ่มครุ่นคิดและจดจำในสิ่งที่หนี่อวาบอกไว้เสี่ยวหนี่หันไปจัดการเต้าหู้ขาวบดกับผักโขมลวกที่นางบีบน้ำจนแห้งสนิทไว้เรียบร้อย คลุกกับงาขาวคั่วส่งกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกกลิ่นน้ำมันงาที่คลุกเคล้าเพิ่มความหอมยิ่งยวนใจ“ไส้นี้เย็นที่สุด เต้าหู้บำรุงเลือด ผักโขมก็เพิ่มธาตุเหล็ก งาขาวช่วยให้ลำไส้ท
เมื่อมาถึงโต๊ะที่จี้เหวินนั่งอยู่ องค์หญิงทอดพระเนตรเห็นเพียงนางกำลังคนหม้อข้าวต้มเบาๆ อยู่เหนือเตาไฟอ่อนๆ กลิ่นเป๋าฮื้อตุ๋นโชยจางๆ ลอยมาแต่ไกล ทว่าดูธรรมดาเกินไป“เคี่ยวข้าวต้ม หรือ” อันหรูกระซิบกับตัวเอง สีหน้าเริ่มหมดความสนใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะละสายตาหันไปอีกด้านหนึ่งข้างๆ เตาอีกฟาก เสี่ยวหนี่กำลังจัดวางวัตถุดิบอย่างรวดเร็วและกระฉับกระเฉง โต๊ะของนางไม่เหมือนใครเพราะเต็มไปด้วยถาดไม้ขนาดเล็กเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แต่ละถาดแยกวัตถุดิบออกจากกันชัดเจน ดูสะอาดตาและน่าติดตามยิ่งกว่าหม้อข้าวต้ม ที่เห็นเมื่อครู่อันหรูเดินเข้าไปใกล้ เสี่ยวหนี่ที่นางพุงเป้าหมายไว้ต่อมา เสี่ยวหนี่แค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆ อย่างพอเหมาะ จากนั้นก็กลับไปก้มหน้าทำงานต่อ ไม่ได้เอ่ยทักใดๆ อีกองค์หญิงสิบสี่อันหรูกวาดสายตาลงบนโต๊ะตรงหน้า แววตาเริ่มเปล่งประกายขึ้น รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นอะไรแบบนี้องค์หญิงสิบสี่อันหรูสาวพระเท้าเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว ดวงเนตรจับจ้องลงไปยังวัตถุดิบที่เรียงรายตรงหน้า สนใจจริงจังถาดแรก มีเนื้อกุ้งบดละเอียดวางเคียงกับหัวไชเท้า วุ้นเส้นแห้งถาดที่สอง เป็นไก่บดละเอียดวางเคี
"ฝานขิงอ่อนให้บางๆ หน่อย" เสี่ยวหนี่ตอบเรียบๆ ก่อนส่งขิงสดหัวเล็กให้ จี้เหวินยิ้มรับ รีบหยิบมีดขึ้นมาฝานอย่างกระตือรือร้น แม้ว่าท่าทีจะดูตั้งใจ แต่เสี่ยวหนี่ก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าอีกฝ่ายเพียงอยากทำให้รอบข้างเห็นว่าเป็นคนทำอาหาร หาได้ลงมือจริงจังนักเสี่ยวหนี่เดินกลับไปตั้งหม้อเคลือบใบใหญ่บนเตาไฟอ่อน เทน้ำซุปกระดูกไก่ที่เคี่ยวจนใสแจ๋วลงไปให้ท่วม แล้วเทข้าวที่แช่น้ำไว้ตามลงมา ใช้ทัพพีไม้คนเบาๆ เพื่อไม่ให้เม็ดข้าวติดก้นหม้อไออุ่นค่อยๆ ลอยขึ้น คลุ้งไปด้วยกลิ่นหวานละมุนของน้ำซุป เสี่ยวหนี่ลดไฟลงให้เบาอีกระดับ ก่อนจะหยิบผ้าฝ้ายสะอาดชุบน้ำมาปิดปากหม้อไว้ ช่วยให้ไอน้ำหมุนเวียนภายใน ทำให้ข้าวสุกนุ่มในเนื้อซุปโดยไม่ต้องเปิดฝาบ่อยๆ"ระวังอย่าให้เดือดพล่านเชียวนะ ปล่อยให้เคี่ยวไปเรื่อยๆ ข้าวจะเนียนละลายในน้ำได้เอง" เสี่ยวหนี่หันมากำชับพลางยื่นทัพพีให้จี้เหวิน"เจ้าก็คนเรื่อยๆ รักษาไฟให้ดี ข้าวต้มนี้ต้องอาศัยเวลา ไม่ใช่เร่งได้ด้วยความร้อนแรง" นางพูดพลางปรายตาไปทางหม้อใหญ่” เจ้าให้ข้าทำอะไรที่มันยากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ “” เจ้าคิดว่าการต้มข้าวมันง่ายหรือไร เจ้าเองที่เคยแต่กินมาตลอด ได้เริ่มด้วยการ
”เจ้าสองคนพี่น้อง ต่อไปก็ต้องร่วมแรงร่วมใจ จะได้สมปรารถนาของท่านโจว””ก็นั้นสินะ“เสี่ยวหนี่กับเสี่ยวอี้พยักหน้ารัวๆทันที“จริงที่สุดเลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อค้าหลี่หัวไวจริงๆ คุณหนูทั้งสองช่วยกันทำจึงจะสำเร็จลุล่วง“เสี่ยวอี้กระซิบเบาๆข้างหูหนี่ฮวา“คุณหนูเจ้าขา… ทำไมพวกเราไม่คิดข้ออ้างนี้ให้ได้ตั้งแต่แรกกันคะ แบบนี้คุณหนูก็ไม่ต้องทำสองจานให้เหนื่อยแล้ว…”เสี่ยวหนี่ถอนหายใจเงียบๆกระซิบกับเสี่ยวอี้เบาๆ“ทำได้แค่ตอนมีคนสั่งอาหารเท่านั้นแหละ… ตอนสอบฝีมือล่ะก็ ข้าก็ต้องทำสองจานอยู่ดี เจ้าจะให้ข้าทำการบ้านแทน แล้วไปบอกอาจารย์ว่าให้คิดคะแนนของจี้เหวินจากงานของข้าหรือ? โลกนี้มีอาจารย์ที่ไหนยอมกันบ้างเล่า…หากมีอาจารย์เช่นนั้นอยู่จริง ก็สมควรเอาไปเลี้ยงไว้เป็นของหายากแล้วล่ะ”เสี่ยวอี้ทำหน้าสลด ทั้งคู่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกัน คอตกเงียบๆอย่างเข้าใจกันถ่องแท้ หยางลี่เห็นภาพนั้นแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย มองหน้าเด็กสาวสองคนสลับกันอย่างงุนงง“อะไรกัน… ข้าพลาดเรื่องอะไรไปหรือ?”ตงเจี้ยนหัวเราะเบาๆแต่ไม่อธิบายอะไรก็ในเมื่อเข้ารู้อยู่แก่ใจ ภาพที่เขาเห็นที่บ้านโจวในวันนั้นเป็นเสี่ยวหนี่ที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ใช่จ
หยางลี่ฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มเขา ราวกับพอใจอย่างลึกซึ้ง“เจ้านี่... ใจดีมากกว่าที่ข้าคิดไม่ได้เอาแต่เลอะเทอะเลื่อนเปื้อนไปวันๆ อย่างภาพที่เจ้าสร้างขึ้นมาสินะ”เสี่ยวหนี่ก้มหน้าลงช้า ๆ เหมือนจะแก้เขิน“อย่ามองข้าในแง่ดีขนาดนั้น ข้าก็แค่กลัวว่าหากท่านพ่อไม่อยู่แล้วใครจะปกป้องข้า” อันนี้มาจากใจ เขาบอกสุรามักจะเผยความจริง“ข้าน่ะเหรอ สิ่งที่ถนัดที่สุดก็คือไข่เจียวฮะฮะฮ่า”หยางลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ พลางคิดในใจว่าไข่เจียวของเสี่ยวหนี่ก็รสชาติไม่เลวนะ แต่ซอสราดปลาในวันนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าคงจะเป็นฝีมือของจี้เหวินเพราะเสี่ยวหนี่ที่อ้างว่าตัวเองจะเก่งได้ก็ต่อเมื่อต้องผ่านการฝึกฝน สรุปแล้วก็คือหยางลี่เชื่อสนิทใจว่าหนี่ฮวาตามจี้เหวินเข้ามาในวังเพราะบิดาผลักดันเพื่อให้เข้ามาฝึกฝนวิธีการปรุงอาหารของวังหลวงตงเจี้ยนที่เงียบฟังมานานเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มบาง รินชาใส่ถ้วยตัวเองอย่างสุขุม ก่อนจะพูดเสียงเรียบๆ“เจ้าก็ถ่อมตัวมากเกินไป วันนั้น…อุ๊ป”เสี่ยวหนี่กระโดดเข้าคว้าคอตงเจี้ยนเอามืออุดปากแน่น ขยิบตาให้ตงเจี้ยน“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านเมาละสิท่า อย่าพูดอะไรให้ร้ายข้าเลย ข้าแค่คนชอบกินแอบ
จังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังมาเร็วๆ จากข้างใน แล้วร่างสูงโปร่งในชุดองครักษ์ก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืด ท่าทางรีบร้อน ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ว่าแล้วเชียวทำไมท่านตงเจี้ยนจึงให้เอาเงินไปให้ที่โรงเตี๊ยมอวี้ฮวาถังที่แท้ก็เอาไปเลี้ยงหญิงงามนี่เอง“อ้าวพี่ตง! ท่านกลับมาแล้วรึ ข้า... เป็นห่วงแทบแย่! ได้ข่าวว่าท่านออกเวรกลางคืนแล้วหายไปนาน! ดูสิกลิ่นสุราหึ่งเลยทำไมท่านไม่เอากลับมาฝากข้าบ้างเล่า อ้อ ข้าจำได้แล้วแม่นางน้อยจากนางในห้องเครื่องฝึกหัดนี่เอง แหม๋มมม ช่างร้ายจริงๆนะ ข้าบอกปุ๊บท่านก็ไปพานางมาปั๊บ ไม่ต้องห่วงๆ ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เฉิงอวี้ผู้นี้เก็บความลับเก่งที่สุด”เสียงเฟิงอวี้เฉิงดังลั่น ราวกับเด็กน้อยที่ดีใจเห็นพี่ชายกลับมาจากเดินป่า ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เฟิงอวี้เฉิงรู้ โลกรู้ ส่งซิกด้วยสายตา จ้องตาเฟิงอวี้เฉิงและยกมือขึ้นลูบจมูกสองครั้งเป็นการส่งสัญญาณว่า….หุบปาก….ที่รู้กันเฉพาะตงเจี้ยนกับเฟิงเฉิงอวี้เฟิงอวี้เฉิงรับรู้ทันที พยักหน้าหงึกๆ แล้วลดเสียงลงเล็กน้อย หันมาเห็นหยางลี่ฮ่องเต้ก็หน้าซีดไปแวบหนึ่งรีบกล่าวกับหยางลี่อย่างนอบน้อม“ท่าน...แขกของพี่ตงหรือขอรับ? ขออภัยที่ข้าเสียงดั
ยามชวีคล้อยไปแล้ว ดวงจันทร์สูงลิบเหนือฟ้า เรือนพักของนางในฝึกหัดสกุลโจวตั้งอยู่ชานพระตำหนักด้านในสุดเงียบงัน ไม่มีเสียงขานรับ ไม่มีแสงไฟใดเล็ดลอดออกมา นอกจากแสงตะเกียงเล่มน้อยในมือของหรูซินสาวใช้คนสนิทของกุ้ยเฟยชวีหยา“เงียบเกินไปไม่แน่ว่าจะมีคนหรืออาจ…กำลังกกกอดกันอยู่” ชวีหยาพูดเบาๆ พลางทอดสายตามองแสงเงาของต้นหม่อนที่ทอดทับบนพื้นอิฐสะกดอารมณ์ขุ่นมัวในใจ“ไปเคาะประตู” นางเอ่ยเสียงนุ่มสาวใช้เดินเข้าไปเคาะเบา ๆ ที่ประตูไม้ก๊อก ๆ ๆสักพักเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ใกล้เข้ามา บานประตูเปิดออกอย่างระวัง เผยให้เห็นจี้เหวินในชุดนอนบางเบา ใบหน้าไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มแต่กระนั้นก็งดงามสดใสมีส่วนคล้ายเสี่ยวหนี่ไม่น้อย ดวงตายังพร่ามัวเล็กน้อยจากการถูกปลุกจากการหลับใหลกะทันหัน“ท่านเป็นใคร...? มาเคาะประตูอยู่ได้ไม่รู้หรืออย่างไรว่านี่คือเรือนพักของนางในฝึกหัดยามนอนห้ามใครรบกวน” จี้เหวินเอ่ยถามอย่างงุนงง ก่อนที่สายตาจะเหลือบเห็นเครื่องประดับมุกทองบนศีรษะของอีกฝ่าย สีหน้าก็เปลี่ยนวูบ ร่างกายรีบโค้งต่ำแทบจะคุกเข่า“ขะ…ขอประทานอภัยเพคะกุ้ยเฟย ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านจะแวะมาในยามดึกดื่นเช่นนี้”“ยามชวี” ชวีหย
ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เมื่อครู่ก็ต้องให้อวี้เฉิงเป็นคนจัดการเรื่องค่าอาหารและเครื่องดื่มหากมาบ่อยๆ เขาคงตัวเบาลงเพราะจน “ถ้ายังจะกลับไปเรือนห้องเครื่องตอนนี้ คงลำบากมากแน่” หยางลี่เอ่ยเรียบ ๆตงเจี้ยนพยักหน้าขึ้นลง“ใกล้สุดน่าจะเป็นเรือนอารักขาของข้าน้อย พักได้สะดวกกว่า อีกอย่าง... ขืนพาไปวังในตอนนี้ คงวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม”"ไม่หรอกน่าท่านป้าเหม่ยซูใจดีที่สุด"หยางลี่หันมาทางเสี่ยวอี้ที่ประคองเสี่ยวหนี่อยู่ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา“ให้พวกเจ้าพักที่เรือนอารักขาก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”“เรือน...อารักขา เรือนอารักขา เรือนอารัก ….ขาเหมือนขาหมูไหมฮ่าาาาา” เสี่ยวอี้ถอนหายใจกับเสียงเจื้อยแจ้วของหนี่ฮวา ตงเจี้ยนเองถอนใจเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ข้าทำหน้าที่องครักษ์ถวายอารักขาโดยตรง พอดีช่วงนี้ได้รับมอบหมายให้ตรวจตราความสงบในเมือง...”“แอบหนีไปเที่ยวยังกล้าบอกว่าตรวจตราฮ่าาาา” เสี่ยวหนี่ที่เพิ่งเงยหน้าจากอาการมึนงงเบิกตากว้าง “เงียบๆ ไว้อย่าแพร่งพรายเชียว ข้าจะไม่ได้ออกไปร่ำสุรากับเจ้าอีกหากมีคนรู้ความลับนี้”“โอเคๆๆ” เสี่ยวหนี่ตอบพร้อมกับยิ้มตาหยี“แล้วท่านล่ะ? อย่าบอกนะว่าเป็นแม่ทัพ เป็นทูต
“ท่านรู้ไหม…” เสี่ยวหนี่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยแต่ร่าเริง “บ้านเกิดของข้า… มีร้านขนมตั้งหลายร้าน! เดินไปนิดเดียวก็เจอร้านบะหมี่ ร้านข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่! แล้วข้างบ้านข้าก็มีร้านขายชาไข่มุก…เจ้าเคยกินไหม?”“ชา…ไข่มุก? คงเป็นอาหารที่สูงส่งสินะไข่มุกนำมาทำชาน่าทึ่งจริงๆ” ตงเจี้ยนทวนเสียงเบา ๆ พลางขมวดคิ้วงุนงง“ใช่! เป็นชาใส่นม แล้วก็มีลูกกลม ๆ ดำ ๆ อยู่ข้างใน มันเด้ง ๆ เคี้ยวเพลินมากเลยล่ะ!ไม่ใช่ไข่มุกจริงๆ หรอกน่าเขาแค่เปรียบเปรย” เสี่ยวหนี่อธิบายเสียงดังฟังชัด มือก็วาดภาพกลางอากาศประกอบ“มีร้านชื่ออะไรน้า… โอ้! ใช่แล้ว! มีร้านชื่อเสี่ยวฉุนอวี้ อร่อยสุดๆ แต่เชื่อไหมร้านนั้นนะน่ะชื่อเป็นจีนแต่เมนูส้มตำอร่อยสุดยอดไปเลย ถ้าข้าได้กลับไปนะ จะพาท่านสองคนไปกิน!ทั้งส้มตำและชาไข่มุก”หยางลี่ยิ้มบาง ๆ เขายกจอกสุราขึ้นจิบอีกครั้ง “เจ้าคงคิดถึงบ้านมากเลยสินะ”“ใช่…คิดถึงชาไข่มุกด้วย” เสียงของเสี่ยวหนี่เบาลงชั่วขณะ ดวงตาวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มกว้างอีกครั้ง “แต่ตอนนี้…ข้ามีพวกท่านแล้วนี่! ข้ามีเพื่อน!ไม่สิสหายจอมยุทธ์ แน่จริงก็เข้ามา คารวะท่านผู้อาวุโส เว่ยเส้าเทียนคือพ่อของเจ้า ซ