ในห้องรับรองส่วนตัวแห่งตำหนักกุ้ยเฟย เครื่องหอมค่อยๆ คลุ้งลอยไปทั่วบริเวณ อบอวลด้วยกลิ่นดอกเหมยแห้ง ทว่ากลับมิอาจกลบความตึงเครียดที่กำลังแผ่กระจายระหว่างสองพ่อลูกใต้เท้าจางโยว่เซียน นั่งตรงข้ามกับบุตรีคนโปรดของตน ดวงตาเรียบนิ่งแต่เจือความขุ่นเคือง เขาเอ่ยเสียงหนัก“เจ้านั่งเฉยอย่างนี้มาเกือบปีแล้ว ฝ่าบาทไม่เคยเรียกเจ้าเข้าตำหนัก ไม่เคยแม้แต่แตะมือตั้งแต่วันแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย แล้วเมื่อไรเจ้าจะได้เป็นฮองเฮาเสียที”ชวีหยายกถ้วยชาขึ้นจิบ กลบความอึดอัดที่แล่นไล่ในอก กลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก ก่อนจะวางถ้วยลงอย่างนุ่มนวลแล้วตอบเสียงเบา“เรื่องนี้… ก็ต้องแล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงพิจารณา ลูกเพียงทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด”คำตอบนั้นอ่อนโยน… แต่กลับทำให้ใต้เท้าจางเค้นเสียงหัวเราะเย็นเยียบออกมา ใต้เท้าจางขยับกายโน้มตัวเล็กน้อย เสียงต่ำจนแทบกระซิบ “เจ้านี่มัน… ใจอ่อนจนใช้การไม่ได้เสียจริง ชวีหยา ในวังหลัง ใจดีคือจุดอ่อน ใจอ่อนคือหนทางสู่ความพินาศ”ชวีหยาหลุบตาต่ำเงียบงัน ใต้เท้าจางเน้นชัดทุกคำ“ไม่ได้ด้วยเล่ห์… ก็ต้องเอาด้วยกล ตำแหน่งฮองเฮานั้นมิใช่ของใครอื่น เป็นของเจ้า ข้าลงทุนมาทั้งชีวิตเพื่อสิ่งน
กลิ่นหอมของชาดอกเหมยอวี้ลอยอ่อนละมุนในห้อง ตรงกลางห้องไม้หอม ไทเฮาฟู่ฉีประทับอยู่บนแท่นนั่งในท่าสบาย สีหน้าสงบและอ่อนโยน แต่แววตาคมกริบหยางลี่ประทับอยู่ตรงเบื้องล่าง บรรยากาศระหว่างมารดากับบุตรชายไม่ตึงเครียดนัก “ฮ่องเต้รู้ใช่ไหม. งานต้อนรับเหมันต์ปีนี้ จะมีขุนนางและราชวงศ์จากต่างแคว้นเข้าร่วมมากเพียงใด” น้ำเสียงไทเฮานุ่มนวล ทว่าในทุกถ้อยคำมีความหมายหยางลี่พยักหน้าช้าๆ“ลูกทราบดีพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาไม่ต้องกังวล เรื่องการจัดงานทั้งหมดลูกได้สั่งให้มีการเตรียมการไว้แล้ว”ไทเฮาพลิกถ้วยชาช้าๆ ไม่รีบไม่ร้อน ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า“แล้ว...เจ้าคิดจะให้ใครนั่งข้างเจ้าในวันงานหรือไม่ สนมคนไหนหรือใครเป็นพิเศษในงานนี้”หยางลี่ชะงักไปนิด มือที่วางอยู่บนตักขยับแนบแน่นกว่าเดิม“…ข้อนั้นยังมิได้ตัดสินใจแน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ”“หากเป็นชวีหยาจริงละ…” ไทเฮาเงยหน้าขึ้นช้าๆ น้ำเสียงยังเรียบดังเคย แต่เยือกเย็นกว่าเดิม“งานที่รวมสายตาจากทั่วแว่นแคว้น หากผู้คนเห็นชวีหยา บุตรสาวตระกูลจาง นั่งเคียงเจ้าดังฮองเฮาในงาน จะมิยิ่งทำให้พวกเขาตระกูลจางชูคอราวหงส์เหินหรืออย่างไร”“...” หยางลี่นิ่ง ไม่ตอบ“เจ้าก็รู้ดี ตระกูลจางนั้นแกร
“เสี่ยวหนี่ไม่รู้ว่าท่านคือฮ่องเต้ แล้วจะไปขอพบฮ่องเต้ทำไม ข้าเกรงว่า… นี่จะเป็นเพียงกลอุบายขององค์ชายรองที่อยากให้ฝ่าบาทไปร่วมโต๊ะมากกว่า”ตงเจี้ยนยิ้มเอื่อยๆ อย่างรู้ทันน้องชายตัวแสบของหยางลี่“องค์ชายรอง… ฝ่าบาทท่านก็รู้ ว่าชอบแกล้งฝ่าบาทอย่างไรบ้าง บางทีเขาก็พูดโกหกได้เนียนราวกับบทละครชั้นครู บางครั้งก็จงให้จับโกหกได้เพื่อให้ท่านว้าวุ่นใจเช่นนี้”หยางลี่นิ่งฟัง แววตาผ่อนลงเล็กน้อยตงเจี้ยนกล่าวต่อ“เสี่ยวหนี่ที่ข้าเห็น…เป็นหญิงสาวที่ใสซื่อ ตรงไปตรงมา และหากนางจะขอพบฮ่องเต้…พูดตามตรงว่าเป็นไปได้ยากมาก”“นางเคยพูดกับฝ่าบาทว่า ไม่ชอบฮ่องเต้ เพราะไม่รู้จัก นั่นหมายความว่า...นางชอบพ่อค้าหลี คนที่นางได้รู้จัก ได้หัวเราะ ได้กินของอร่อยด้วยกัน ได้ร่วมดื่มยามค่ำคืน ถ้าเสี่ยวหนี่คนนั้นจะเปลี่ยนใจโดยที่ไม่รู้ความจริง… ข้าจะยอมก้มกราบเรียกอวี่หรงว่าอาจารย์”หยางลี่หลุดหัวเราะเบาๆ สีหน้าเริ่มคลายความเคร่งเครียด แต่แววตาก็ยังซ่อนความปวดร้าวอยู่“เจ้ารู้หรือไม่ตงเจี้ยน…ข้าอยากให้เสี่ยวหนี่… เลือกพ่อค้าหลี มากกว่าฮ่องเต้ แม้ทั้งสองจะเป็นข้าคนเดียวกันก็ตาม ข้าแค่อยากให้แน่ใจ ว่าสิ่งที่นางมอบให้ ไม่
“โอ้ว เจ้าเก่งจริงๆ นะ เสี่ยวหนี่” เซียหยามองตามอย่างสนใจ “ข้าต้องทำให้อร่อยๆ หน่อยเพราะนี่ก็เป็นมื้อเที่ยงข้าน่ะ” เสี่ยวหนี่ตอบกลับด้วยสายตาเป็นประกายกลิ่นเนื้อย่างผสมกลิ่นสมุนไพรอบอวลไปทั่วห้องครัวเล็กๆ แห่งนี้ เสียงฉ่าดังขึ้นเมื่อเสี่ยวหนี่วางแผ่นเนื้อหมักลงบนกระทะร้อน น้ำมันงาที่ทาเคลือบบางๆ ส่งกลิ่นหอมไหม้อ่อนๆ ผสมกลิ่นสมุนไพร ราวกับเรียกให้คนที่เดินผ่านหน้าครัวต้องชะงัก“โห เสียงนี่ช่าง...ชวนหิวเหลือเกิน!” เซียหยาเบิกตากลม เสี่ยวหนี่หัวเราะเบาๆ ไม่วางตาจากเนื้อที่กำลังเปลี่ยนสีทีละนิด“การย่างสเต๊กก็เหมือนการวาดภาพนะเซียหยา ต้องค่อยๆ เติมสี เติมกลิ่น เติมสัมผัส...ให้กลมกล่อมพอดี”“แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรล่ะ” เซียหยาขยับเข้ามาใกล้ เสี่ยวหนี่เอียงหน้าคิดก่อนจะตอบ “สเต๊กน่ะมีหลายระดับ ข้าจะเล่าให้ฟังนะ… แล้วเจ้าค่อยเลือกว่าชอบแบบไหนที่สุด”เสี่ยวหนี่ชี้ไปที่เนื้อบนกระทะ แล้วเริ่มอธิบายอย่างจริงจังแต่เสียงยังอ่อนโยนอบอุ่น“ระดับแรกสุด… Raw หรือ ดิบสนิท เนื้อแทบไม่โดนไฟเลย แค่เอามาแต่งรสแล้วเสิร์ฟเลย เหมาะสำหรับคนที่เชื่อว่าเนื้อสดๆ มีพลังชีวิตอยู่ในตัว ยังแดงฉ่ำและมีสัมผัสนุ่มแบ
“แอ๊ด...”บานประตูไม้ถูกเปิดออกอย่างไม่เกรงใจนัก หยางลี่นั่งหลังตรงอยู่หน้ากระดาษร่างจดหมาย ด้านข้างมีตงเจี้ยนยืนสงบเงียบอย่างองอาจ ส่วนขันทีกวงซุนกำลังรินชาลงจอกให้กับหยางลี่เสียงรองเท้ากระทบพื้นอย่างมั่นใจดังเข้ามาพร้อมน้ำเสียงกึ่งหยอกเย้ากึ่งจริงจัง“พี่ชาย พี่ชายคนดีของข้า….” อวี่หรงเอ่ยทักเสียงใส ยิ้มกว้างราวกับไม่เคยมีคำว่าเคาะประตูอยู่ในพจนานุกรมหยางลี่ชะงักปลายพู่กันก่อนจะเก็บม้วนจดหมายนั้นไว้อย่างแนบเนียน ไม่ทันไรอวี่หรงก็เดินมาประชิดแล้วยืนเท้าเอวส่งสายตาพิฆาต...กึ่งออดอ้อนเท้าแขนกับขอบโต๊ะ มองพี่ชายอย่างจับผิด“โอะโห ที่นี่กลิ่นน้ำหมึกหอมเชียว ใช้หมึกหอมเลยหรือ พี่ข้าเขียนจดหมายถึงหญิงงามคนไหนอยู่น่ะ”หยางลี่ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะวางพู่กันลงอย่างสงบแล้วใช้แขนเสื้อปิดกระดาษบนโต๊ะอย่างแนบเนียน ริมฝีปากเรียบเฉย “ไม่มีใครทั้งนั้น”“งั้นท่านกำลังเขียนอะไรน่ะครั้งก่อนร่างจดหมายถึงโจวชัวครั้งนี้ร่างถึงใครอีกหนอ” “เรื่องราชการ” หยางลี่ตอบเสียงเรียบ ใบหน้าเรียบเฉย“อ้อ งั้นก็พักได้แล้วสิ เพราะว่าเที่ยงนี้ข้าจะเลี้ยงมื้อพิเศษ โจวชัวเพิ่งมาถึง ก็เลยอยากให้เขารู้สึกอบอุ่นแบบบ้านๆ ข้
ท้องฟ้าสว่างจ้าเมฆบางลอยเอื่อยเสี่ยวหนี่เดินนำองค์ชายโจวชัวข้ามลานหินขาวมายังเรือนฝั่งทิศตะวันออก“องค์ชายรอง ข้ามาส่งแขกเจ้าค่ะ”“ข้าไม่ใช่แขกแต่เป็นฝรั่ง” เสี่ยวหนี่ยิ้มตาหยีอวี่หรงชะงักเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นจากการผูกสายรัดเอว “เสี่ยวหนี่เจ้าเหรอที่มาส่งโจวชัว แล้วนี่เจ้ามาเร็วจัง ข้าน่ะเพิ่งแต่งตัวเสร็จ จะไปหาเจ้าอยู่พอดี” เขาขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วหันไปมองเพื่อน โจวชัวหัวเราะเบาๆ สะบัดชายเสื้อคลุมแผ่ว “ก็ข้าเบื่อรอน่ะสิ เลยต้องหาคนนำทางแถวๆ นี้ แปลกใจจริงๆ ที่เจ้ายังไม่มีภรรยาอีกนะ” โจวชัวพูดขึ้นอย่างหยอกเย้า แววตาขบขันแล้วเขาก็หันไปพูดกับเสี่ยวหนี่เป็นภาษาอังกฤษทันที“This guy… comes here every time and still doesn’ t have a wife, huh?” (เจ้านี่... มากี่ทีก็ยังไม่มีเมียสักทีเนอะ) เสี่ยวหนี่กลั้นขำไว้ไม่อยู่ ดวงตาแพรวพราวเป็นประกาย หันกลับไปตอบด้วยภาษาเดียวกัน“Because he meddles too much, nags, and spies on women. Plus, he's obsessed with his little boy. No girl would like that.” (ก็เพราะเขาชอบเสือกเรื่องคนอื่น จู้จี้ ตามจับผิดตอแยผู้หญิง แถมยังติดลูกชายของเขามากๆ อีก สาวไหนจ