หน้าเรือนพักของแม่ทัพหวังการเข้ามาหรือออกไป กระทั่งลาป่วยลาหยุด ล้วนต้องยื่นคำขอต่อแม่ทัพประจำค่ายสาวงามแค่บอกกล่าวผู้คุมเรือนให้เป็นตัวแทนไปรายงานต่อแม่ทัพหวังผ่านทหารยามหน้าห้อง มิต้องยุ่งยากอันใด หากแต่ในฐานะครูฝึก ซานซานจำต้องยื่นใบลาขอหยุดงานด้วยตนเองต่อหน้าแม่ทัพหวัง โดยแจ้งความประสงค์ว่าต้องการกลับไปเยี่ยมครอบครัว ยังไม่ลืมฝากฝังทหารใหม่ให้ร่วมฝึกกับเขาหวังมู่ที่ยามนี้กลายเป็นผู้เป็นคน ทำตัวเหมาะสมกับตำแหน่งแม่ทัพแล้วจึงยิ้มรับ โบกมือเรียกรองแม่ทัพหยางมามอบหมายงาน ให้ดูแลฝึกฝนทหารทั้งหมดอาหนิงที่รู้ข่าวว่าได้ฝึกกับรองแม่ทัพหยางถึงกับดีใจมาก นางรีบกระโดดโลดเต้นมารอฝึกก่อนใครหลังจากออกมานอกประตูค่ายทหาร ซานซานยังต้องแต่งกายให้กลมกลืนกับสาวงามทั้งสองคน นางเปลี่ยนจากชุดทหารหญิงเป็นชุดสีขาว เกล้าผมต่ำ เช่ารถม้าเดินทางผ่าเผย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการลอบเดินทางด้วยวิชาตัวเบาเร้นกายวังขององค์ชายสามยิ่งใหญ่หรูหรายามนี้เต็มไปด้วยสาวงามแต่งกายไว้ทุกข์เดินไปเดินมา น่าแปลกนัก ทั้งๆ ที่พวกนางใส่ชุดขาวคาดผ้าขาวไร้ปิ่นประดับผม ประทินโฉมพองาม ทว่าดวงหน้าแต่ละคนกลับไร้วี่แววโศกสลด มีแค่ส
ทางฝั่งห้องลับของค่ายปีกเหล็กแม้ว่าถอนพิษได้หมดแล้ว แต่อวัยวะภายในที่เสียหายยังต้องการเวลาพักฟื้นระยะหนึ่งจึงอ่อนแรงอยู่มากหลายวันมาแล้วที่หยุนผิงยังคงนอนบนเตียงด้วยใบหน้าแดงก่ำไม่สร่างซาให้ชายผู้ถูกขังอีกคนคอยช่วยเหลือเปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นท่าทางอีกฝ่ายมีสีหน้าเบิกบานในการปรนนิบัตินาง ช่างน่าแปลกใจ…หญิงสาวขยับนั่งพิงหัวเตียง ดื่มน้ำแกงบำรุงจนหมดแล้วเอ่ยอย่างกังวล “ไม่รู้ว่าด้านนอกมีข่าวใดบ้าง?”จ้าวหมิงนั่งอ่านตำราอยู่อีกฝั่ง กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ“พี่ใหญ่ส่งข่าวมาแล้วว่าด้านนอกปกติเรียบร้อยดี สำนักนารีแดงของเจ้าก็สงบสุขดีไม่น่าห่วงอันใด ทางราชสำนักกำลังจัดงานศพของข้าอย่างยิ่งใหญ่ คดีลอบทำร้ายก็กำลังสืบอยู่”หยุนผิงนิ่งฟังจนจบอดมิได้ที่ต้องเลิกคิ้วสูง “ท่านไม่ห่วงบรรดาชายาของท่านบ้างหรือไร? พวกนางกำลังตกอยู่ในภาวะสามีตายเชียวนะ”คราวนี้ไม่ใส่ใจมิได้แล้ว จ้าวหมิงละสายตาจากตำราตรงหน้าทันที เขาลืมสตรีอื่นไปได้อย่างไร?ชายหนุ่มถลึงตามองหญิงสาวบนเตียง “ทุกอย่างคือความผิดของเจ้า”หยุนผิงกะพริบตาปริบๆ “อะไร?”จ้าวหมิงเอ่ยเสียงเครียด “เพราะหลายวันมานี้ข้าคอยพะวงเพียงเจ้าทำให้ลืมพวกนางไปสิ้น
พสุธากว้าง อาชาแกร่ง ควบตะบึงบนผืนหญ้า เคียงคู่ทหารกล้าค่ายปีกเหล็กวันนี้คึกคักกว่าวันวานมากนัก ซานซานนำพาทหารใหม่ประชันกับทหารเก่าอย่างอาจหาญหญิงสาวอยู่บนหลังม้าพุ่งทะยานขึ้นหน้า ไม่ต่างจากพญาอินทรีกางปีกแผ่บารมีไพศาลขุนศึกจำลองของอีกฝ่ายคือหยางเฉิง นำพาทหารเก่าควบตะบึงอีกฝั่ง เป้าหมายคือธงรบสีแดงสะบัดพลิ้วบนยอดเขาแม่ทัพหวังมู่ยืนตระหง่านเคียงข้างเส้นชัย ท่าทางห้าวหาญเคร่งขรึมไร้ซึ่งท่าทีกักขฬะเหมือนเก่า รอนับหัวผู้เหลือรอดมาถึงยอดเขาอย่างเที่ยงธรรมซานซานกับหยางเฉิงไม่มีสิทธิ์ประมือ เพียงขึ้นหน้านำทางให้ทหารกล้าในอาณัติ ทุกคนเบื้องหลังต้องต่อสู้ด้วยกำลังกายและกระบวนท่าที่ฝึกฝนของตนเองเสียงสวบสาบของปลายเท้าเหยียบย่ำพนาดังแว่วไปทั่วหุบเขา ผสานเสียงปะทะกันของทหารแต่ละฝ่ายดังระงม สัตว์ป่าพากันหลบเลี่ยงพรึบพับอย่างรู้หน้าที่ไม่นาน ...ซานซานกับหยางเฉิงก็ขึ้นมาถึงยอดเขา เบื้องหลังคือทหารที่รอดจากการปะทะ ผลการประชันคือทหารเก่าเหลือห้าคน ทหารใหม่เหลือสี่คนหวังมู่หัวเราะฮ่าๆ “ข้าชนะอีกแล้ว”ซานซานกับหยางเฉิงลอบมองหน้ากันแวบหนึ่งแท้จริงแล้วผลแพ้ชนะหาได้สำคัญไม่ ทั้งสองหวังผลหลังจากนี
ภายในห้องรับรองตำหนักบูรพาเรื่องขององค์ชายน้อยจ้าวสุนในวันนี้กลับตาลปัตรถึงขั้นที่ว่าสองพยัคฆ์มานั่งร่ำสุราคุยกัน“ตั้งแต่เมื่อใดที่เจ้าสงสัยข้า”สุ้มเสียงเคร่งขรึมของโซวอ๋องเอ่ยถามเนิบช้ายามวางจอกเหล้าลงบนโต๊ะหลังดื่มจนหมดตามคำเชื้อเชิญจ้าวเหว่ยดื่มเหล้าหมดจอกเช่นกันก่อนตอบเสียงเรียบ “หลานชายผู้นี้ไม่เคยสงสัยในตัวเสด็จอาเช่นท่าน แท้จริงก็เพิ่งรู้แค่ไม่นาน ทั้งเหตุผลของท่านที่ข้าพอเข้าใจได้ และเหตุการณ์ร้ายที่ท่านยั้งมือไม่สังหารข้าจนตาย”โซวอ๋องเลิกคิ้วสูง แววตาคมดำที่มองยังคงลึกล้ำเช่นเดิม เขาแค่นหัวเราะแล้วเอ่ย “เจ้าคงเกลียดข้ามากกระมัง”รัชทายาทหนุ่มยกยิ้มบาง ส่ายหน้าเบาๆ พลางรินเหล้าให้โซวอ๋อง “ข้ายอมรับว่าโกรธท่านมาก แต่ไม่เคยเกลียด กลับมาครานี้ยังคิดเปิดศึกกับท่าน เดินหมากการเมืองอย่างไร้เยื่อใย ดึงท่านเข้ามาร่วมคดีใหญ่ หมายเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว”โซวอ๋องรับจอกเหล้าที่หลานชายรินให้ ยกยิ้มเย็น“เจ้ายังคงเป็นพยัคฆ์ร้ายในสายตาข้าเสมอ”จ้าวเหว่ยเลิกคิ้วท้าทาย “ย่อมเป็นเช่นนั้น”เสียงหัวเราะทุ้มต่ำสายหนึ่งบังเกิดขึ้นในลำคอแกร่งของโซวอ๋อง เป็นเสียงหัวเราะที่จ้าวเหว่ยไม่ได้ยินมานานมาก
โซวอ๋องหันมองสตรีในดวงใจ เขาต้องการทวงความเป็นธรรมให้นางไม่เคยเปลี่ยนไป “ฮองเฮาเป็นถึงมารดาแห่งต้าถัง สมควรเสวยสุขที่สุด ไม่ควรอมทุกข์เยี่ยงนี้”เขาหันกลับมาทางฮ่องเต้อีกครั้ง แววตาแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ เข้าขั้นวิกฤตต่อความรู้สึกเต็มที“เสด็จพี่ไม่ควรทำร้ายจิตใจนางมากไปกว่านี้ ควรมองนางบ้าง สังเกตนางบ้างว่าเจ็บปวดเพียงใด ยามเห็นพระองค์ทรงรักกับสตรีอื่น ไม่เคยมีนางอยู่ในสายตา”ยิ่งนานคำพูดจากบุรุษที่เคร่งขรึมเย็นชาถนอมคำมาตลอดก็ยิ่งฟังมิได้ อารมณ์ที่เก็บงำเอาไว้ถึงเจ็ดปียิ่งปะทุออกมาแต่ทุกคนยังคงเงียบฟังต่อไปมีเพียงฮองเฮาที่ไม่อาจทนฟังได้อีกแล้ว นางกลั้นใจเอ่ย “พอเถิดโซวอ๋อง ฝ่าบาทไม่เคยทำร้ายจิตใจข้าแม้แต่น้อย”เส้นเสียงแว่วหวานของฮองเฮามีผลต่อโซวอ๋องจริงๆ บุรุษห้าวหาญถึงกับนิ่งเงียบไม่กล่าวต่อฮองเฮามองพระสวามีผ่านม่านน้ำตาฮ่องเต้ส่งสายพระเนตรให้ สื่อความนัยว่า ตามสบายเถิดฮองเฮาค่อยๆ ยืดตัวออกจากการประคองของหลี่กุ้ยเฟย กล่าวด้วยสุ้มเสียงสั่นเทา “คนที่ทำให้ข้าทุกข์ตรมหาใช่ฝ่าบาทไม่ การที่เขาจะมีใคร โปรดปรานสตรีคนไหนมิได้มีผลต่อหัวใจข้า”ทุกคนพลันตกอยู่ในภวังค์ ได้ยินถ้อยวาจาของฮ
แน่นอนว่าการก่อกบฏไม่เคยอยู่ในหัวของโซวอ๋องตัวของจ้าวเหว่ยเองก็ไม่เคยคิดว่าโซวอ๋องจะทำถึงขั้นนั้นทุกเล่ห์เหลี่ยมล้วนเป็นแค่หมากการเมืองที่มีในทุกราชวงศ์ ขัดแข้งขัดขาหาผลประโยชน์ แย่งชิงอำนาจ ใครพลาดแค่ปราชัย ไม่นับเป็นอะไรหากแต่เมื่อประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมาจากโอรสสวรรค์ ย่อมมิใช่เพียงคำถามทั่วไป เพราะนั่นหมายถึงแท่นประหารสำหรับตัดหัวคนทั้งตระกูลถึงเก้าชั่วโคตรเลยทีเดียวฮองเฮาได้ฟังพลันใจสั่น เอ่ยปากอย่างห้ามไม่อยู่“ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะด้วยเพคะ”ฮ่องเต้ปรายพระเนตรมอง แค่นสุรเสียงเนิบช้า “เราถามโซวอ๋อง หาได้ถามฮองเฮาไม่ ไยเดือดร้อนแทน”ครานี้ประหนึ่งฟ้าฟาดใส่หน้ายิ่งกว่าเดิม ทั้งโซวอ๋องและฮองเฮาหน้าซีดเผือดจ้าวเหว่ยไม่แปลกใจความนัยของคำตรัสนั้น เพราะเขาได้คุยกับซานซานถึงเรื่องลับนี้มาก่อนแล้ว เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อผู้สนใจเพียงงานราชกิจกับบุปผาวังหลังจักล่วงรู้เช่นกันฮองเฮาทรงตัวไม่อยู่แล้ว เรียวขางามใต้กระโปรงผ้าเนื้อดีอ่อนยวบทันตา ยังดีที่ยืนใกล้หลี่กุ้ยเฟย นางรีบยื่นมือมารับร่างอ่อนระทวยของฮองเฮาไว้ด้วยสัญชาตญาณ“น้องหลิวเฟิ่ง”“พี่ฮุ่ยเยี่ยน”สตรีทั้งสองเรียกนามกันอย่างเผล